ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “4 รัฐมนตรีลาออก เคาะแคนดิเดตนายกฯ ‘บิ๊กตู่-อุตตม-สมคิด’ – บิ๊กตู่ไม่ลาออก ลั่น ‘มึงมาไล่ดูสิ'”และ ระเบิดโบสถ์คาทอลิกในฟิลิปปินส์ ตาย 20

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “4 รัฐมนตรีลาออก เคาะแคนดิเดตนายกฯ ‘บิ๊กตู่-อุตตม-สมคิด’ – บิ๊กตู่ไม่ลาออก ลั่น ‘มึงมาไล่ดูสิ'”และ ระเบิดโบสถ์คาทอลิกในฟิลิปปินส์ ตาย 20

2 กุมภาพันธ์ 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 26 ม.ค. – 1 ก.พ. 2562

  • 4 รัฐมนตรีลาออก เคาะ 3 แคนดิเดตนายกฯ “บิ๊กตู่-อุตตม-สมคิด” – บิ๊กตู่ยันไม่ลาออก ลั่น “มึงมาไล่ดูสิ”
  • นายกฯ ยัน ไม่ได้โทษเกษตรกรสร้างฝุ่น ขู่ ออกคำสั่งห้ามนั่งรถคนเดียว แก้ PM2.5
  • ป.ป.ช.แจง เลือกตั้งไม่ชัด-ขาดเสรีภาพ เหตุดัชนีโปร่งใสไทยแย่ลง
  • ขู่ไทย ไม่ปล่อยแข้งบาห์เรนอาจเจอคว่ำบาตรบอลโลกปี 65
  • ระเบิดโบสถ์คาทอลิกในฟิลิปปินส์ ตาย 20
  • 4 รัฐมนตรีลาออก เคาะ 3 แคนดิเดตนายกฯ “บิ๊กตู่-อุตตม-สมคิด” – บิ๊กตู่ยันไม่ลาออก ลั่น “มึงมาไล่ดูสิ”

    นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์,ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม,นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562

    เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่าเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2562 ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงข่าว หลังจากที่ได้ไปยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ กับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป โดยเหตุผลของการตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองครั้งนี้ ดร.อุตตม กล่าวว่า เพื่อไปทำงานที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อย่างเต็มตัว และถือว่าภารกิจในตำแหน่งรัฐมนตรีได้เสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นทั้ง 4 รัฐมนตรีได้ขึ้นไปสักการะท้าวมหาพรหมบนดาดฟ้าของตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนเดินทางกลับ


    ชอตนายกฯ ลั่น “มึงมาไล่ดูสิ”
    ที่มา: YouTube ของไทยรัฐ

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า วันที่ 30 ม.ค. 2562 เมื่อเวลา 16.15 น. ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค พปชร. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค ว่า ที่ประชุม กก.บห.มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบรายชื่อบุคคลที่พรรคจะเสนอชื่อในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรค โดยไม่เรียงตามลำดับรายชื่อ จำนวน 3 รายชื่อ ได้แก่ 1. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2. นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค และ 3. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

    นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปพรรคจะประสานนัดหมายเพื่อทำการเรียนเชิญและทาบทามทั้ง 3 รายชื่อดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตามนายอุตตมได้ขอนำกลับไปพิจารณาเช่นกันว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อไร โดยจะต้องได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 8 ก.พ. 2562 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะส่งรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปทาบทาม พล.อ. ประยุทธ์ และนายสมคิดเมื่อไหร่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ภายหลังมีมติในวันนี้ ผู้บริหารของพรรคจะประสานนัดหมายต่อไป

    “คนที่พรรคคิดว่าเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค หนึ่ง เรื่องความรู้ความสามารถ สามารถนำพาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้าได้ สอง ได้รับการยอมรับจากประชาชน เป็นบุคคลที่ประชาชนชื่นชม ชื่นชอบ เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย สาม ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” นายสนธิรัตน์กล่าว

    ต่อมา วันที่ 1 ก.พ. 2562 เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า ในช่วงท้ายของการแถลงผลงาน 4 ปีของรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวถึงเรื่องการลาออกก่อนมีการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าไม่มีผู้นำรัฐบาลที่ลาออกเพื่อการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐอเมริกา หรือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน พร้อมทั้งระบุว่ารัฐธรรมนูญ กฎกติกา และธรรมเนียมปฏิบัติหรือมารยาทเกี่ยวกับเลือกตั้งทั่วโลก ไม่มีกฎหมายใดบอกว่าผู้สมัครรับเลือกตั้ง เมื่อมีตำแหน่งบริหารอยู่ด้วยต้องลาออก

    “อย่าไปไล่ล่ากันมากนัก พอไล่คนนี้แล้วลาออก แล้วเดี๋ยวมาไล่นายกฯ ออก ก็กฎหมายว่าอย่างนี้ มึงมาไล่ดูสิ ไล่ให้ได้สิ ผมไม่ท้าทาย แต่ไม่ออก” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สปริงนิวส์ (http://bit.ly/2HIeyTV)

    ในวันเดียวกัน เว็บไซต์สปริงนิวส์รายงานว่า นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยแกนนำพรรคประกอบด้วยนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลัง ได้นำแฟ้มนโยบายกฎระเบียบของพรรค และหนังสือยินยอมให้เสนอชื่อให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี มาเชิญ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ ก็ได้กล่าวว่าขอบคุณที่ทุกคนให้ความไว้วางใจ โดยขอเวลา 2-3 วันพิจารณานโยบายของพรรคก่อน เพราะขณะนี้หลายพรรคก็มีนโยบายต่างๆ ออกมาเช่นกัน และยังมีเวลาตัดสินใจถึงวันที่ 8 ก.พ. 2562

    นายกฯ ยัน ไม่ได้โทษเกษตรกรสร้างฝุ่น ขู่ ออกคำสั่งห้ามนั่งรถคนเดียว แก้ PM2.5

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
    ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

    วันที่ 30 ม.ค. 2562 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 มาจากหลายภาคส่วน ไม่ได้พูดถึงเกษตรกรอย่างที่มีคนกล่าวหา เพียงแต่บอกว่าการเผาวัชพืชหรือตอซังข้าวก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่นละออง วันนี้มีการนำเรื่องฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานมาหาเสียง โจมตีรัฐบาล ตนพยายามทำทุกอย่าง ตอนนี้มาตรการระยะสั้นคือใช้น้ำแก้ปัญหา ให้ข้อมูลประชาชน มีการจัดหาหน้ากากให้

    ส่วนการจราจรต้องมีการตรวจรถควันดำ แต่เมื่อตรวจมากก็จะโดนด่า หาว่าทำให้รถติด ทั้งที่เจ้าของรถจะต้องมีจิตสำนึก ต้องรู้อยู่แล้วว่ารถตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าก่อมลพิษก็อย่าขับออกมา สามารถตรวจเช็กสภาพรถจากศูนย์ได้อยู่แล้ว ดังนั้น รถดีเซลไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถบัส ต้องตรวจเช็กสภาพรถจากอู่มา ต่อไป ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ เจอผิดตรงไหนต้องจอดตรงนั้น แล้วให้หาคนมารับเอง

    พล.อ. ประยุทธ์ บอกว่า จะออกคำสั่ง คสช. แต่ไม่ใช้มาตรา 44 ให้ต่อไปนี้ นั่งรถคนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อนนั่งรถไปด้วย 2-3 คน จะนั่งแท็กซี่คนเดียวไม่ได้ ต้องลากคนขึ้นไปด้วย 2-3 ที่หมาย ถ้าไม่แก้กันตนจะทำแบบนี้ เบื้องต้นจะออกคำสั่งให้ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร) และทหารทุกคนเข้าไปตรวจทุกโรงงาน น้ำเสีย ขยะ ทั้งกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด 76 จังหวัด

    ต่อมา วันที่ 1 ก.พ. 2562 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือประชาชนใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเครื่องยนต์ดีเซลเดินทางเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลเท่าที่จำเป็น หรืองดใช้ระยะหน่ึ่งจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพราะการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์เป็นต้นเหตุของการเกิดฝุ่นละอองมากที่สุด”

    ป.ป.ช.แจง เลือกตั้งไม่ชัด-ขาดเสรีภาพ เหตุดัชนีโปร่งใสไทยแย่ลง

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 มกราคม นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2018 ปรากฏว่า 2 ใน 3 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 43 คะแนน ซึ่งประเทศที่ได้อันดับความโปร่งใสสูงสุดคือเดนมาร์ก ได้ 88 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน สำหรับไทยได้ 36 คะแนน อยู่ลำดับที่ 99 จาก 180 ประเทศ ทั้งนี้ จากปี 2017 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 96 ได้ 37 คะแนน

    นายวรวิทย์กล่าวว่า ในการให้ค่าคะแนน CPI ปี 2018 องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) ให้คะแนนและจัดอันดับประเทศไทย โดยพิจารณาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งไทยได้คะแนนเท่าเดิม 6 แหล่ง คะแนนลดลง 3 แหล่ง 1. ด้านพัฒนาการจัดการสถาบันระหว่างประเทศ 2. ด้านการให้คำปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ 3. ด้านความหลากหลายของโครงการประชาธิปไตย ซึ่งพิจารณาจากการถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ทั้งนี้ที่คะแนนลดลง น่าจะเป็นเพราะปีที่ผ่านมาสังคมโลกมองว่าไทยยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีข้อจำกัดเรื่องสิทธิเสรีภาพบางประการเพื่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ ทำให้การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และกระบวนการยุติธรรมยังไม่ชัดเจน

    นายวรวิทย์กล่าวว่า เพื่อเพิ่มค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตและการลดปัญหาการทุจริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องรวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต โดยรัฐบาลต้องมีเจตจำนงในการแก้ไขปัญหาการทุจริตที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ภาครัฐต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนต้องไม่ให้ความร่วมมือในการให้สินบนทุกรูปแบบและมีการควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ ภาคประชาสังคมต้องมีความตื่นตัว ไม่ยอม ไม่ทน ไม่เฉย ต่อการทุจริตทุกรูปแบบ สร้างค่านิยมสุจริต ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต

    นายวรวิทย์กล่าวว่า สำหรับในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมีคดีเกิดขึ้นจะมีการศึกษาเพื่อวางมาตรการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก หรือวางมาตรการเพื่อส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มาตรการป้องกันการทุจริตกรณีการค้าระหว่างประเทศแบบรัฐต่อรัฐจากโครงการจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบจีทูจี, มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ, มาตรการเพื่อวางเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ตลอดจนการป้องกันการทุจริต โดยใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่จะเริ่มการเรียนการสอนในปีการศึกษาแรกของปี 2562

    อ่านเพิ่มเติม: ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันปี 2561 ไทยคะแนนหล่นมาที่ 36 อันดับร่วงอยู่ที่ 99

    ขู่ไทย ไม่ปล่อยแข้งบาห์เรนอาจเจอคว่ำบาตรบอลโลกปี 65

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (http://bit.ly/2HKOEz5)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2562 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ได้ออกแถลงการณ์กรณีที่นานาชาติเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวนายฮาคีม อัลอาไรบี นักฟุตบอลบาห์เรน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำในประเทศไทย มีเนื้อหาระบุว่า คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ในฐานะกรรมการของไอโอซี ได้ยื่นหนังสือขอให้รัฐบาลไทยหาทางช่วยเหลือตามหลักพื้นฐานแห่งสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม

    ด้าน ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับวงการกีฬาไทยโดยชี้ว่า “หากมีการส่งตัวข้ามแดน ประเทศไทยอาจเผชิญกับผลกระทบเชิงลบที่ร้ายแรงมากจากฟีฟ่าและฟุตบอลโลก ประเทศไทยอาจเผชิญกับการถูกคว่ำบาตรในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2565 ประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ”

    สำหรับ ฮาคีม อัลอาไรบี หลบหนีออกจากบาห์เรนและได้รับอนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลออสเตรเลีย ปัจจุบันเล่นฟุตบอลอยู่กับสโมสรฟุตบอลพาสโคเวลเอฟซีในเมืองเมลเบิร์น เขาเดินทางมายังประเทศไทยเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และถูกจับกุมตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิตามหมายจับของของทางการบาห์เรน ระบุเป็นผู้ต้องหาในความผิดฐานเข้าร่วมการประท้วงในช่วงอาหรับสปริงเมื่อปี 2555

    ระเบิดโบสถ์คาทอลิกในฟิลิปปินส์ ตาย 20

    วันที่ 27 ม.ค. 2560 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายานว่า เหตุวางระเบิด 2 ลูกซ้อนที่โบสถ์คาทอลิกทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

    เหตุระเบิดลูกแรกเกิดขึ้นขณะมีการทำพิธีบูชาขอบพระคุณ หรือพิธีมิสซา ที่โบสถ์ Cathedral of Our Lady of Mount Carmel ในเมืองโจโล ซึ่งเคยถูกโจมตีด้วยระเบิดมาแล้วในอดีต และเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารได้รับแจ้งเหตุ ก็มีการจุดชนวนระเบิดอีกลูกบริเวณที่จอดรถของโบสถ์

    เหตุวางระเบิดนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในภูมิภาคนี้ทำประชามติเพื่อให้ตนเองมีอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น เมืองโจโลเป็นฐานที่ตั้งของกลุ่มติดอาวุธมาเป็นเวลานานแล้ว รวมถึงกลุ่มอาบูไซยาฟ แต่ถึงขณะนี้ ยังไม่มีกลุ่มไหนออกมาอ้างและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตี

    ทั้งนี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเรือน