ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ปธ.สมาคมธนาคารไทยแจง เก็บค่าธรรมเนียม ‘กดเอทีเอ็ม-ถอนเงินหน้าเคาน์เตอร์’ กำลังพิจารณา” และ “ลูกสาวประธานหัวเว่ยถูกจับในแคนาดา “

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ปธ.สมาคมธนาคารไทยแจง เก็บค่าธรรมเนียม ‘กดเอทีเอ็ม-ถอนเงินหน้าเคาน์เตอร์’ กำลังพิจารณา” และ “ลูกสาวประธานหัวเว่ยถูกจับในแคนาดา “

8 ธันวาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 1-7 ธ.ค. 2561

  • ปธ.สมาคมธนาคารไทยแจง เก็บค่าธรรมเนียม “กดเอทีเอ็ม-ถอนเงินหน้าเคาน์เตอร์” กำลังพิจารณา
  • จ่อแจก “ซิมแก้จน” ส่งเสริมการเข้าถึงข่าวสารที่จำเป็นต่อการยกคุณภาพชีวิต
  • กยศ. ลดเบี้ยปรับ 85% จูงใจคนเบี้ยคืนเงิน ลูกหนี้ชั้นดีคืนครบก่อนกำหนดลดต้น 3%
  • ป.ป.ช. ยัน สรุปสำนวนนาฬิกาหรูทันกรอบเวลาปลายเดือน ธ.ค. นี้
  • ลูกสาวประธานหัวเว่ยถูกจับในแคนาดา อาจถูกส่งไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ
  • ปธ.สมาคมธนาคารไทยแจง เก็บค่าธรรมเนียม “กดเอทีเอ็ม-ถอนเงินหน้าเคาน์เตอร์” กำลังพิจารณา

    ที่มาภาพ: Johny vino เว็บไซต์ Unsplash (http://bit.ly/2E8zC2u)

    จากกรณีที่มีกระสแข่าวว่า ธนาคารพาณิชย์จะเก็บค่าธรรมเนียมจากการเบิกเงินผ่านตู้เอทีเอ็มแม้จะเป็นตู้ของธนาคารที่ผู้เบิกมีบัญชีอยู่ รวมทั้งจะเก็บค่าธรรมเนียมจากการเบิกเงินที่เคาน์เตอร์ธนาคาร นายปรีดี ดาวฉายประธานสมาคมธนาคารไทย ชี้แจงว่า ขณะนี้ เรื่องเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม และใช้บริการผ่านเคาน์เตอร์ ยังอยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะ เนื่องจากต้องดูรายละเอียด ผลกระทบ และประโยชน์ที่ได้รับให้ครอบคลุมทุกฝ่าย เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่และกระทบกับลูกค้า

    โดยสมาคมธนาคารไทยจะมีการหารือกับธนาคารสมาชิก และธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และแจ้งให้ประชาชนทราบ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน โดยปัจจุบันแต่ละธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมการกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม 4 ครั้งต่อเดือน

    ทีมข่าวเจาะประเด็นของไทยรัฐรายงานว่า นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยถึงสาเหตุ 3 ประการที่ทำให้มีแนวคิดจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว คือ 1. ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสด มีต้นทุนที่ธนาคารต้องดูแลรับผิดชอบค่อนข้างแพงมาก 2. ธนาคารได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมโอนเงินและชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลแบงกิ้งไปแล้ว และ 3. เมื่อธนาคารมีต้นทุนที่จะต้องแบกรับ เพราะฉะนั้น ธนาคารย่อมสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนั้นๆ กับผู้ใช้บริการได้

    และเมื่อถามว่าการใช้บัตรเอทีเอ็มกดเงินจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารเจ้าของบัตรจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือไม่ นายกอบศักดิ์ก็ได้ตอบกับทีมข่าวของไทยรัฐว่า “เมื่อคุณนำบัตรเอทีเอมของแบงก์ ก. ไปกดกับแบงก์ ก. แบงก์ ก. เขามีต้นทุนที่ให้บริการในส่วนนี้นะครับ ซึ่งต้นทุนที่เกิดขึ้นก็คือ ต้นทุนของตู้เอทีเอ็ม, ต้นทุนของการทำธุรกรรม, ต้นทุนการขนเงินสดไปเข้าตู้ และต้นทุนอื่นๆ อีกหลายประการที่จะต้องเกิดขึ้น แต่อาจจะไม่ใช่เป็นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่ครั้งแรกที่กดเงิน อาจเป็นครั้งต่อไปที่กดเงิน หรืออย่างไรก็ตาม ต้องหารือกันก่อน” และยังกล่าวด้วยว่า “แทนที่คุณจะไปกดเงินตู้เอทีเอ็มจ่ายค่าอาหารให้เพื่อน คุณก็แค่โอนเงินผ่านดิจิทัลแบงกิงก็จะสะดวกกว่า และไม่มีค่าธรรมเนียมด้วย” 

    แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนที่ว่าจะเริ่มใช้มาตรการนี้เมื่อใดนั้น นายกอบศักดิ์ตอบว่า “ไม่ใช่เดือนนี้หรือเดือนหน้า อย่างไรก็ตาม ต้องรอคณะทำงานฯ หารือให้รอบคอบเสียก่อน”

    จ่อแจก “ซิมแก้จน” ส่งเสริมการเข้าถึงข่าวสารที่จำเป็นต่อการยกคุณภาพชีวิต

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (http://bit.ly/2E7sRhM)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า วันที่ 1 ธ.ค. 2561 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมว่า กระทรวงการคลังจะเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา แจกซิมโทรศัพท์มือถือให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตฟรี เพื่อเป็นการส่งเสริมประชาชนได้เข้าถึงแหล่งข้อมูล และข่าวสารที่จำเป็นต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตให้หลุดพ้นความยากจน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการเพาะปลูก แนวโน้มราคาสินค้าเกษตร เพื่อให้สามารถวางแผนเพาะปลูกได้ ไม่เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด เป็นต้น โดยแนวทางช่วยเหลือมี 2 รูปแบบ คือ กรณีที่ผู้มีรายได้น้อยมีซิมมือถือและมีอินเทอร์เน็ตใช้อยู่แล้ว จะให้พิจารณาเพิ่มจำนวนอินเทอร์เน็ตฟรีให้เพียงพอต่อการใช้ ส่วนกรณีผู้มีรายได้น้อยที่ยังไม่มีซิมมือถือ ก็จะให้แจกซิมพร้อมสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้

    “การแจกซิมเน็ตเพราะรัฐบาลมีความเชื่อว่า หากประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงจะช่วยมีความสามารถ และหายยากจนไวขึ้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าแจกให้ไปดูหนัง เล่นเกม ฟังเพลง”

    ส่วนรายละเอียดของการแจกซิมอินเทอร์เน็ตอยู่ระหว่างรอคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คำนวณรายละเอียดค่าใช้จ่ายและจำนวนอินเทอร์เน็ตว่าจะเป็นเท่าไรถึงเพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งขณะนี้คลังเสนอให้ไปพิจารณาแล้ว 6 เดือน ขณะที่งบประมาณได้เสนอให้ กสทช. หักรายได้จากค่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อชดเชยค่าอินเทอร์เน็ตให้ โดยภาคเอกชนจะจ่ายเท่าเดิม แต่จะแบ่งเงินบางส่วนที่ส่งเข้ารัฐไปไว้ช่วยซิมมือถือ

    กยศ. ลดเบี้ยปรับ 85% จูงใจคนเบี้ยคืนเงิน ลูกหนี้ชั้นดีคืนครบก่อนกำหนดลดต้น 3%

    วันที่ 4 ธ.ค. 2561 เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ออกระเบียบเพื่อให้สิทธิสำหรับกลุ่มผู้กู้ยืมปกติที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งถือว่าเป็นผู้กู้ยืมชั้นดีหรือผู้กู้ยืมที่อยู่ในช่วงปลอดหนี้ หากมาชำระหนี้ปิดบัญชีก่อนกำหนด จะได้รับการลดหย่อนเงินต้น 3% ณ วันที่ชำระหนี้ปิดบัญชี ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุน ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการผ่อนผันการชำระเงินคืนกองทุน ลดหย่อนหนี้ หรือระงับการเรียกให้ชำระหนี้ พ.ศ.2561 ซึ่งระบบจะทำการลดหนี้ให้อัตโนมัติ เมื่อผู้กู้ยืมติดต่อชำระหนี้ปิดบัญชีที่หน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

    นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ยังได้มีมติอนุมัติมาตรการจูงใจให้ผู้กู้ยืมมาชำระหนี้ปิดบัญชีเพิ่มเติม สำหรับผู้กู้ยืมที่ผิดนัดชำระหนี้ทุกราย โดยจะลดเบี้ยปรับให้ 85% ของเบี้ยปรับ ณ วันที่ชำระหนี้ปิดบัญชี ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2561 – 31 พ.ค. 2562 เท่านั้น เนื่องจากกองทุนเห็นว่ามีผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันจำนวนไม่น้อยมีความต้องการจะปลดภาระหนี้ของตน แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เนื่องจากมีเบี้ยปรับที่เกิดจากการค้างชำระหนี้จำนวนมาก

    “มาตรการดังกล่าวเป็นแนวคิดที่คณะกรรมการได้พิจารณาอย่างรอบคอบมาระยะหนึ่งแล้ว กองทุนหวังว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันตัดสินใจชำระปิดบัญชีเพื่อปลดภาระหนี้ของตนเองได้เร็วขึ้น โดยคาดว่าจะมีผู้กู้ยืมมาเข้าร่วมมาตรการไม่ต่ำกว่า 1 แสนราย”นายชัยณรงค์ กล่าว

    นายชัยณรงค์ กล่าวว่า ผู้กู้ยืมสามารถลงทะเบียนแจ้งขอใช้สิทธิลดเบี้ยปรับได้ตามเงื่อนไขที่ประกาศทางหน้าเว็บไซต์ กยศ. หรือดาวน์โหลดแบบแจ้งความประสงค์ได้ที่ www.studentloan.or.th/discount-form/ และส่งแฟกซ์มายังเบอร์ 0-2016-4940 และ 0-2016-4950

    ป.ป.ช. ยัน สรุปสำนวนนาฬิกาหรูทันกรอบเวลาปลายเดือน ธ.ค. นี้

    ที่มาภาพ : https://social.tvpoolonline.com/

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า วันที่ 7 ธ.ค. ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการแสวงข้อเท็จจริง กรณีการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ขณะนี้บริษัทผู้ผลิตนาฬิกาที่ต่างประเทศ ส่งข้อมูลเกี่ยวกับซีเรียลนัมเบอร์ของนาฬิการุ่นเดียวกับที่ พล.อ. ประวิตร ครอบครองมาให้ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว

    โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. จะสรุปสำนวนพร้อมทำความเห็นให้ตน จากนั้นตนจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาในช่วงปลายเดือน ธ.ค. นี้ ตามกรอบเวลาเดิมที่กำหนดไว้ ส่วนจะได้ข้อสรุปเป็นอย่างไร ขึ้นกับดุลพินิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

    ลูกสาวประธานหัวเว่ยถูกจับในแคนาดา อาจถูกส่งไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ

    เหมิง หวันโจว บุตรสาวของนายเหริน เจิ้งเฟย ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://bit.ly/2SxxGVc)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2561 สำนักข่าวต่างประเทศและบีบีซี รายงานว่า ทางการแคนาดาจับกุม เหมิง หวันโจว บุตรสาวของนายเหริน เจิ้งเฟย ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน ที่นครแวนคูเวอร์ เมื่อ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยทางการแคนาดาไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดของการจับกุมครั้งนี้ แต่มีการคาดการณ์กันว่าการจับกุมนางสาวเหมิง ซึ่งนั่งเก้าอี้รองประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทหัวเว่ย อาจเกี่ยวข้องกับการที่ทางการสหรัฐฯ กำลังดำเนินการสอบสวนบริษัทหัวเว่ย ที่อาจละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯต่ออิหร่าน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่ นางสาวเหมิง กำลังเผชิญหน้ากับการถูกส่งตัวไปดำเนินคดีในสหรัฐฯ ด้วย

    บีบีซี รายงานว่า สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดาได้ออกแถลงการณ์ประท้วงการจับกุมนางสาวเหมิง และเรียกร้องให้ทางการแคนาดาปล่อยตัวนางสาวเหมิงโดยทันที ในขณะที่บริษัทหัวเว่ย ได้ออกมาตอบโต้การจับกุมบุตรสาวประธานบริษัทหัวเว่ยว่า รายละเอียดของข้อมูลในข้อกล่าวหามีน้อยมาก และไม่ได้รู้สึกว่านางสาวเหมิงได้ทำความผิดตามข้อกล่าวหา

    บีบีซี ชี้ว่า การจับกุมนางสาวเหมิง รองประธานหัวเว่ย มีขึ้นขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอยู่ในความเปราะบาง เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทำสงครามการค้ากับจีน ในขณะที่การจับกุมนางสาวเหมิงยังไม่ได้ช่วยในข้อตกลงสหรัฐฯ และจีนระงับสงครามการค้าเป็นเวลา 90 วันด้วย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เจรจาทวิภาคีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในระหว่างเดินทางมาประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา