ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ชี้พรรคไหนเสนอชื่อ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯต่อให้มาคุย – มติ ครม.ไฟเขียว ธอส. จัด 6 หมื่นล้าน ปล่อยกู้ “บ้านล้านหลัง”

“บิ๊กตู่” ชี้พรรคไหนเสนอชื่อ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯต่อให้มาคุย – มติ ครม.ไฟเขียว ธอส. จัด 6 หมื่นล้าน ปล่อยกู้ “บ้านล้านหลัง”

20 พฤศจิกายน 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยก่อนตอบคำถามสื่อมวลชนนายกรัฐมนตรีได้ถามว่า “คิดถึงกันหรือไม่ นายกฯ ไม่อยู่หลายวัน แต่นายกฯ คิดถึงทุกคนเสมอ คิดถึงสื่อคิดถึงคนไทย คิดถึงคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย และถึงแม้นายกฯ จะไม่อยู่ก็ได้มอบหมายภารกิจต่างๆ ไว้แล้ว ก็ทราบว่าปัญหาอยู่หลายด้านเหมือนกัน ซึ่งก็จะมีการชี้แจงให้ทราบ ตอนนี้อยากให้คนไทยนึกถึงเพลงเพลงหนึ่งคือเพลง บ้านเรา” จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ได้ร้องเพลง “บ้านเรา” ของนายสุเทพ วงศ์กำแหง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญคือการเป็นประธานอาเซียนและเจ้าภาพในการประชุมอาเซียนในปีหน้า เราทุกคนจะต้องร่วมมือกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ซึ่งทุกประเทศต่างก็ยินดีที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งหน้านี้ และไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตามขอให้ทำหน้าที่ให้ดี เพราะรัฐบาลนี้เริ่มต้นไปให้เกือบหมดแล้ว เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ พร้อมระบุว่าการเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือและได้รับมิตรไมตรีอย่างดี ทั้งจากฝรั่งเศส สิงคโปร์ และปาปัวนิวกินี ได้รับการตอบรับทั้งด้านการลงทุนและการค้าจำนวนมาก

โดยขอร้องว่าไม่อยากให้พวกเราทำลายโอกาสเหล่านี้ แม้เราจะมีการต่อสู้ในหลายๆ ด้าน แต่ก็ขอร้องว่าอย่าไปฟังคำพูดที่ชอบพูดกันออกมาง่ายๆ ว่าจะแก้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะการพูดนั้นมันง่าย แต่เวลาทำมันยาก และหากทำได้จริงก็คงทำมานานแล้ว เรื่องนี้ตนไม่อยากจะไปโทษใคร และอย่าหาว่าตนไปโทษใครเลย บรรดาคุณๆ ทั้งหลาย ตนไม่ไปโทษเพียงแต่เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด แต่คงจะไม่ครบหรือถูกใจทุกคน

เชิญชวน ปชช. ร่วมกิจกรรม “Bike อุ่นไอรัก” 9 ธ.ค.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดกิจกรรมปั่นจักรยาน Bike อุ่นไอรัก ในโอกาสพิธีเปิดงานอุ่นไอรักคลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2561 จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้ทราบโดยทั่วถึงกัน พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ www.bikeunairuk 2018.com และสมัครด้วยตนเองได้ที่สำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพมหานคร และศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1111 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการร่วมกันถวายพระเกียรติและเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในการออกกำลังกาย ซึ่งวันที่ 9 ธันวาคม จะมีกิจกรรมที่คลองลัดโพธิ์

แจงใช้ ม.44 ยืดเวลาแบ่งเขตเลือกตั้ง – เพิ่มอำนาจ กกต.แก้ปัญหา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2561 ให้อำนาจคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขยายการแบ่งเขตเลือกตั้งได้ว่า ตนไม่ได้ไปก้าวล่วง แต่เป็นการร้องขอขึ้นมาจากหลายส่วนว่ามันยังมีปัญหา มีความขัดแย้งกันอยู่หลายประการ ตนเพียงแต่มอบอำนาจให้ กกต. มีอำนาจเด็ดขาดในการแก้ไขปรับปรุง ไม่ได้หมายความว่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับใคร แต่เพื่อให้เกิดความรอบคอบจากการรับฟังความคิดเห็นที่ทั่วถึง

“ข้อสำคัญเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบกับโรดแมปทั้งสิ้น ถ้าไม่เชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นไปตามโรดแมปที่ผมประกาศไว้ ก็ไม่ต้องมาถามผมว่าจะเลือกตั้งเมื่อไร สุดแล้วแต่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นตามมา ก็เป็นเรื่องของส่วนรวมที่จะไปว่ากันมา รวมถึงฝ่ายการเมืองก็ว่ากันมาและ กกต. ก็เป็นผู้ตัดสินใจ ผมจะไม่ไปก้าวล่วงตรงนู้นโดยเด็ดขาด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามกรณีที่พรรคเล็กเตรียมยื่นขอให้เลื่อนวันเลือกตั้ง จาก 24 กุมภาพันธ์ 2562 ออกไปนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ มีการพูดกันไปมาในสื่อ ตนไม่จำเป็นต้องชี้แจงแล้ว เป็นเรื่องของ กกต. สิ่งสำคัญเรารู้อยู่แล้วรัฐบาลมีความจริงใจแค่ไหน แม้กระทั่งกฎหมายจะเอื้ออำนวยให้เลือกตั้งได้ถึงพฤษภาคม 2562 แต่ตนเองเป็นคนเสนอว่าขอให้มีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. เป็นระยะแรกของกฎหมายด้วยซ้ำไป

“ขอให้ดูเจตนารมณ์ของผมตรงนี้ ทุกคนต้องช่วยทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้ รวมถึงหลังการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องสงบสุข หลายอย่างเป็นโอกาสของเราอยู่แล้วในช่วงที่ผ่านมา 4 ปี บ้านเมืองเราสงบสุข ทุกอย่างมีความก้าวหน้า มีการเจริญเติบโต เราจะทำลายโอกาสของเราได้อย่างไร เราจะเอาการเมืองมาทำลายกันหรือ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้พรรคไหนเสนอชื่อ “ประยุทธ์” นั่งนายกฯต่อ ให้มาคุยกัน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุรัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบมาเพื่อพวกเรา ว่า ก็เป็นเรื่องของการพูด ถ้าฟังหรือเอามาเป็นปัญหาทุกอันมันก็ไปไม่ได้หมด ตนไม่ไปตอบโต้หรือโต้แย้ง

เมื่อถามว่า กรณีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ระบุจะเสนอชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ เพียงคนเดียว สนใจและพร้อมรับหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องการเสนอชื่อ ยังไม่เห็นมีใครมาเสนอตนสักที การเสนอชื่อตนก็ต้องมาพบปะเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ไปพูดกันในสื่อในอะไรต่างๆ เหล่านี้ ส่วนตนจะมีอะไรก็อยู่ในใจเพราะในใจก็คือในใจ จะใช้คำว่านอกใจก็ไม่ได้ แต่ถ้าข้างนอกก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาไว้ตนจะพูดอีกทีก็แล้วกัน ยังมีเวลาอยู่

อัดงบฯช่วยคนจนเพิ่ม – วอนสื่ออย่ามองเป็นเรื่องการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ค่าน้ำ ค่าไฟ จะทยอยเพิ่มไปเรื่อยๆ วันนี้อาจจะได้สำหรับคนที่มีบัตรแล้ว เพราะเรามีเงินแค่นี้ก็ต้องจัดหมุนเวียนเงินที่มีอยู่ให้เหมาะสม หากจะให้ทีเดียวทั้งหมดก็อาจจะทำให้ประชาชนพอใจ แต่รัฐบาลต้องแบกรับหนี้สิน

นอกจากนี้ เรื่องระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณตอนนี้ก็ออกมาใหม่แล้ว การจะนำเงินไปทำอะไรต้องอยู่ในกรอบของเงินงบประมาณทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต่อไปก็ต้องคำนึงถึงสิ่งตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาความไม่สมดุลในการใช้จ่ายงบประมาณในหลายภาคส่วน ปัญหาสำคัญที่สุดคือมีการกล่าวอ้างว่าคนจนจนกว่าเดิม ซึ่งเราต้องไปดูรายละเอียด เจาะทุกเรื่อง

“ผมเห็นใจผู้มีรายได้น้อย วันนี้ก็มีโครงการบ้านล้านหลังที่จะให้มีการผ่อนชำระ แต่ก็ต้องมีรายได้เพียงพอที่จะผ่อนในราคาที่มีดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ซึ่งรัฐบาลทำทุกอย่าง ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การดูแลผู้สูงอายุ ค่าน้ำ ค่าไฟ พลังงาน เดี๋ยวจะยอยออกมาตามลำดับ ผมไม่อยากให้สื่อเขียนว่ารัฐบาลนี้แจก เพื่อการเมือง ไม่ใช่เรื่อง ทุกอย่างกว่าจะออกมาได้มันต้องดูกฎหมาย ดูวิธีการ ดูงบประมาณที่มีอยู่จึงจะทยอยออกมาตามลำดับ เราก็พยายามเร่งสปีดให้เต็มที่ พอดีมันก็ออกมาในช่วงนี้ อย่าหาว่าเป็นเรื่องการเมืองไปทั้งหมดเลย มันเป็นเรื่องของการทำงานต่อเนื่อง”

“วันหน้ารัฐบาลใหม่มาก็คงต้องทำต่อเนื่อง เพราะหลายโครงการผมก็ทำต่อเนื่องจากของเขา บางเรื่องดี แต่ดีไม่หมด เราก็มาแก้ไขให้ดีทั้งหมดทั้งสาธารณสุข หรือการศึกษาฯ ซึ่งจะให้แต่ละกระทรวงมาชี้แจงว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ต้องสร้างการรับรู้ให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายรู้ว่าเราทำอะไรให้เขาบ้าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แคะมาตรการอุ้มชาวสวนยาง-ปาล์ม-มะพร้าวชุดใหญ่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำว่า เรื่องของเกษตรกรสวนยาง สวนปาล์ม แม้กระทั่งมะพร้าว วันนี้ได้มีการหารือในที่ประชุม ครม. มีหลายมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรหลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งมาตรการเร่งด่วน เช่นการรับซื้อน้ำมันปาล์ม 18 บาทต่อกิโลกรัมประมาณ 1.6 แสนตัน เพื่อนำไปผลิตไฟฟ้าโดยซื้อจากลานเท โรงสกัดน้ำมันปาล์มของเกษตรกรโดยตรง ส่วนระยะยาวจะมีการเพิ่มการใช้น้ำมันบี 20 ปีโดยตั้งเป้าปีละประมาณ 5 แสนตัน

สำหรับยางพารา ไทยยังคงเหลือสต๊อกอีก 4 ล้านตันที่ต้องส่งออกไปขายต่างประเทศ รวมแล้วมียางมากกว่าประเทศอื่นในโลก ดังนั้นราคายางจึงขึ้นอยู่กับปริมาณ เราต้องสร้างความเข้มแข็ง เช่น ลดการปลูก แก้ปัญหาการปลูกในพื้นที่บุกรุก วันนี้มีมาตรการเสนอเข้ามาแล้วต้องรอฟังในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติก่อน โดยจะมีโครงการช่วยเหลือไม่เกิน 15 ไร่ และจะเพิ่มเติมมาตรการในเรื่องใช้ยางในประเทศ แต่ไม่ว่าจะเอายางไปทำอะไรก็ตามหากต้นทุนสูงขึ้น ราคาผลผลิตที่เกิดจากกยางก็จะแพงขึ้น สิ่งเหล่านี้รัฐบาลเสียเงินอยู่แล้ว โดยส่วนแรกคือมาตรการเร่งด่วนช่วยเกษตรกร จากนั้นดูแลผู้ประกอบการที่ต้องถือว่าต้องช่วยต้องดูแลทุกภาคส่วน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องยาง ปาล์ม มะพร้าว วันนี้กระทรวงพาณิชย์เสนอมาตรการเข้ามา และตนสั่งการให้ด่านตรวจทุกจุดของทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาการลักลอบนำสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศจะต้องมีผลสัมฤทธิ์ในการจับกุมและการดำเนินการ เราจำเป็นต้องใช้นโยบายทางด้านความมั่นคงเข้าไปเกี่ยวข้องโดยใช้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าไปดำเนินการ รวมถึงเรื่องเร่งด่วนอื่นๆ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบโดยรวม

ต่อคำถามากรณีการประท้วงของเกษตรกร พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนเข้าใจว่าเดือดร้อนถึงได้เรียกประชุมไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เพื่อนำแนวทางไปหารือกัน มันต้องใช้เงินมากพอสมควร เรื่องประท้วงต่างๆ แต่ขอร้องอย่าประท้วงเลย รัฐบาลดูแลทุกเรื่อง ขออย่างเดียวให้เข้าใจว่าทุกอย่างในกรณีที่รัฐบาลให้เงินไปเพียงแค่บรรเทาความเดือดร้อนเป็นการชั่วคราว สิ่งที่อยากขอคือการปรับเปลี่ยนตัวเอง และเข้าใจบริบทการค้าการลงทุนในปัจจุบัน

“ทุกคนทราบดีว่าเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไร หลายประเทศมีปัญหา หลายประเทศดีขึ้นแต่น้อยมาก เรารักษาสภาพได้ขนาดนี้ถือว่าดีมาก เรื่องยางพาราและปาล์มรัฐบาลต้องช่วยแน่นอน รวมถึงพืชผลการเกษตรอื่นๆ แล้วถามว่าจะทำอย่างไรหรือจะให้พูดหาเสียงอย่างเดียวว่าแก้ปัญหายางแล้วก็จบแล้ว แต่รัฐบาลนี้เตรียมแก้ทั้งยางปาล์มอ้อยเยอะแยะไปหมดหลายเรื่องด้วยกันเป็นปัญหาที่ต้องแก้ทั้งระบบ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

“กอบศักดิ์” ยันเศรษฐกิจไทยังแข็ง แม้ขยายตัวลดลง

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึง รายงานตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่มีขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.3 ซึ่ง เป็นการขยายตัวที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

โดยยืนยันว่าจากข้อเท็จจริง เศรษฐกิจภายในของประเทศยังคงมีความเข้มแข็ง สะท้อนได้จากการบริโภคในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ยังขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกขยายตัวร้อยละ 3.7 ไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 4.5 และไตรมาสที่ 3 ขยายตัวร้อยละ 5 ซึ่งเป็นการเติบโตที่อยู่ในระดับที่ดี ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐด้วยเช่นกัน

“ปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสที่ 3 ขยายตัวไม่ดีนักเป็นผลมาจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่หดตัวซึ่งถือเป็นปัจจัยภายนอกและเป็นปัจจัยที่ประเทศไทยกำลังเร่งแก้ไข โดยเฉพาะการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน โดยถือว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆ มีความคืบหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังมั่นใจว่าการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศปีนี้ที่ระดับร้อยละ 4.2 ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ”

นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ภาพรวมที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลดลงมาจากเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงผันผวน สะท้อนจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน ตลาดเกิดใหม่กำลังน่ากังวลและเงินทุนเข้าออกมีความผันผวน ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ รวมถึงไทย ทำให้ตลาดทุนและตลาดหุ้นไทยมีความไม่แน่นอน

“รัฐบาลได้เตรียมนโยบายรองรับ เพื่อทำให้เศรษฐกิจในประเทศเข้มแข็งมากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ เช่น ผ่านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐหรือ EEC โดยความชัดเจนของโครงการต่างๆ คาดว่าในช่วงต้นปีหน้าจะมีความชัดเจนขึ้น รองรับกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังขันได้ และการเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ ด้วยการลดภาระค่าใช้จ่ายทำให้มีเงินสำหรับกำลังซื้อมากขึ้น โดยเฉพาะภาคเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน การออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวและ การเพิ่มวงเงินให้กับผู้มีรายได้น้อย” นายกอบศักดิ์กล่าว

จัด 4 มาตรการ อัดฉีดเงินกว่า 3.87 หมื่นล้านผ่าน “บัตรคนจน”

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติม ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 4 มาตรการ รวมค่าใช้จ่ายจำนวน 38,730 ล้านบาท ได้แก่

  1. การบรรเทาค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึง กันยายน 2562 รวม 10 เดือน แบ่งเป็น ค่าไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ค่าน้ำไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน โดยผู้มีรายได้น้อยที่ใช้จ่ายไม่ถึงวงเงินดังกล่าวจะได้รับการยกเว้น ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ชำระไปจะถูกโอนกลับเข้ามาที่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  2. สนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปี 500 บาทต่อคน ในเดือนธันวาคม 2561
  3. สนับสนุนค่าเดินทางรักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 1,000 บาทต่อคน
  4. ช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน 400 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน 10 เดือนนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ที่มาภาพ: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

“4 มาตรการนี้ถือเป็นของขวัญ ซึ่งหลายโครงการไม่ได้เพิ่งมาคิดและทำในวันนี้ เพราะมีกระบวนการสอบถามความเห็นจากประชาชน ซึ่งใช้เวลามาพอสมควร แต่มาประจวบเหมาะกับเวลาช่วงสิ้นปีพอดี ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะรัฐบาลมีตัวเลขผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ซึ่งที่แล้วมายังไม่มีรัฐบาลใด ออกนโยบายส่งตรงไปยังผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านการเดินทาง การใช้ชีวิต การรักษาพยาบาล โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่าในอนาคต ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา ควรนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติ เพราะถือว่าตอบรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต” นายพุทธิพงษ์กล่าว

อนึ่ง ปัจจุบันมีผู้ที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศแล้วจำนวนวน 14.5 ล้านคน เข้าใช้สิทธิ์แล้ว 11.4 ล้านคน

อัดงบฯ 1.8 หมื่นล้าน อุ้มชาวสวนยาง

ในพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการสำหรับมาตรการช่วยเหลือช่วยสวนยางเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรชาวสวนยางและคนกรีดยาง ภายใต้วงเงิน 18,604.95 ล้านบาท โดยช่วยเหลือเป็นเงิน 1,800 บาทต่อไร่ ไม่เกินรายละ 15 ไร่ ในจำนวนนี้ให้แบ่งจ่ายกับเจ้าของสวน 1,100 บาท คนกรีด 700 บาท

โดยแบ่งเป็นงบประมาณที่จ่ายให้ชาวสวนยางและคนกรีด 18,071 ล้านบาท งบประมาณชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 393.05 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธ.ก.ส. ให้เจ้าของและคนกรีดยาง 13.98 ล้านบาท และงบบริหารโครงการ 126.50 ล้านบาท ซึ่งงบบริหารจัดการนี้จะใช้จากกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา 49(3) แห่ง พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย 2548 ระยะเวลาการดำเนินโครงการ 10 เดือน (ธันวาคม 2561 – กันยายน 2562)

ทั้งนี้ แหล่งงบประมาณ รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินทั้งหมดนี้ ให้ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน เพื่อเป็นการชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริงรวมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานค่าธรรมเนียมโอนเงิน และชดเชยต้นทุนเงินหรือตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป

นายพุทธิพงษ์กล่าวต่อไปว่า มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เป็นเจ้าของสวนยางเปิดกรีดจำนวน 999,065 ราย คนกรีดยางจำนวน 304,266 ราย คิดเป็นพื้นที่เปิดกรีดรวมประมาณ 10,039,672.29 ไร่ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์หามาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางให้ได้ภายใน 7 วัน หลังราคายางตกต่ำ

“หากไม่มีปัญหา อุปสรรค สามารถดำเนินการได้ภายใน 3 เดือน โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) อีกครั้งเพื่อดูรายละเอียดและพิจารณาให้รอบคอบ ส่วนกรณีที่จะมีการนำยางไปใช้ทำถนนในอดีตกรมบัญชีกลางยังไม่สามารถประกาศราคากลางออกมาได้ แต่หลังจากนี้น่าจะดำเนินการได้แล้ว” นายพุทธิพงษ์กล่าว

บี้ส่วนราชการเร่งเบิกจ่ายงบฯ –ก่อหนี้ผูกพันก่อน ก.ย.62

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบแนวทางปฏิบัติของส่วนราชการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายเดิมเมื่อปี 2502

โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ส่วนราชการที่ต้องการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องเสนอเรื่องให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบ เพื่อให้มีการใช้งบประมาณที่ครอบคลุมและดำเนินการใช้จริงภายในกรอบเวลาที่ได้กำหนดไว้

ทั้งนี้ ส่วนราชการจะต้องแสดงรายละเอียดโครงการที่จะขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2561 และเมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ส่วนราชการจะต้องดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือน กันยายน 2562

“หากส่วนราชการใดไม่ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันตามที่ได้รับอนุมัติจาก ครม. ก็ถือว่างบนั้นตกไป หากจะดำเนินโครงการดังกล่าวต้องเสนอเรื่องเข้า ครม. ในปีถัดไป” นายพุทธิพงษ์กล่าว

โยกสิทธิบริหาร “ตลาดนัดจัตุจักร” ให้กทม. เริ่ม 1 ธ.ค.นี้

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบการรายงานความคืบหน้าจากกระทรวงคมนาคม ในข้อสรุประหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในเรื่องการบริหารตลาดนัดจตุจักร ดังนี้

  1. ให้ รฟท. ตกลงกับ กทม. ในการเช่าที่ดินเพื่อบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรทั้งหมด พื้นที่ 68 ไร่ 1 งาน 88 ตารางวา
  2. ให้กำหนดอัตราค่าเช่าปีละ 169.42 ล้านบาท ระยะเวลาการเช่า 10 ปี หรือไม่เกินปี 2571 และให้มีการทบทวนอัตราค่าเช่าทุก 3 ปี
  3. สัญญาเช่าต่างๆ จำนวน 32 สัญญา ที่ รฟท. มีอยู่ในปัจจุบัน ให้โอนสิทธิและหน้าที่ไปยัง กทม. ทั้งหมด เพื่อการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ให้ กทม. เริ่มเข้าบริหารตลาดนัดจตุจักร ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2561 โดยกำหนดอัตราค่าเช่าแผงละ 1,800 บาท จากเดิมที่คิดค่าเช่าอยู่แผงละ 3,157 บาท
  5. ให้ กทม. ได้ยื่นรับโอนสิทธิและหน้าที่ในการทำสัญญาว่าจ้างต่างๆ ทั้งเรื่องการรักษาความปลอดภัย การรักษาความสะอาด การจัดเก็บขยะให้แล้วเสร็จ
  6. การทำสัญญากับผู้เช่าในทุกประเภทของ กทม. ถ้ามีผู้เช่ารายใดที่ยังค้างค่าเช่าเดิมกับ รฟท. ขอให้แจ้งให้ผู้เช่าให้ชำระค่าเช่าที่ค้างไว้ให้ครบก่อนที่จะต่อสัญญาใหม่

สั่ง ขรก. วางตัวเป็นกลาง – หนุนเลือกตั้ง ส.ว.

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบแนวทางปฏิบัติภายหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แล้ว เพื่อให้การเลือกตั้ง ส.ว. เป็นไปอย่างเรียบร้อย สุจริต เที่ยงธรรม ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีแนวทางปฏิบัติของส่วนราชการ 4 เรื่อง

  1. ให้ข้าราชการพนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐอาสาสมัครของหน่วยงานต่างๆ ให้ความร่วมมือช่วยเหลือสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ว. ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย
  2. ให้ข้าราชการพนักงาน เจ้าหน้าที่รัฐอาสาสมัครวางตัวเป็นกลาง
  3. ให้หน่วยงานต่างๆ สนับสนุนสถานที่การจัดการเลือกตั้ง ส.ว.
  4. สนับสนุนการให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนเท่าที่แต่ละหน่วยงานจะทำได้

ยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่าเพิ่ม 4 ประเทศ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่องเที่ยวของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival: VOA) เพิ่มเติม 4 ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก วานูอาตู นาอูรู และจอร์เจีย นอกจากนั้นยังได้มีการเพิ่มประเทศที่สามารถเที่ยวในไทยได้ 30 วัน ผ่านพาสปอร์ตได้ทันทีโดยไม่ต้องขอ Visa (ผ.30) อีก 7 ประเทศ ได้แก่ ลัตเวีย ลิทัวเนีย ซานมารีโน อันดอร์รา ยูเครน มัลดีฟส์ และมอริเชียส

ขณะเดียวกันได้ยกเลิก VOA 15 ประเทศ ได้แก่ โอมาน เช็ก ฮังการี โปแลนด์ ลิกเตนสไตน์ เอสโตเนีย สโลวีเนีย สโลวัก ลัตเวีย ลิทัวเนีย ซานมารีโน อันดอร์รา ยูเครน มัลดีฟส์ และมอริเชียส เนื่องจากประเทศเหล่านี้ได้รับทั้งสิทธิ VOA และสิทธิ์ ผ.30 จึงทำการยกเลิกให้เหลือเพียงสิทธิ คือ ผ.30 ซึ่งเป็นสิทธิที่ดีกว่า VOA และจีน

ทำให้ปัจจับันมีประเทศที่ได้รับสิทธิ์ VOA ทั้งสิ้น 18 ประเทศ รวมกับอีกหนึ่งเขตเศรษฐกิจพิเศษ คือ ไต้หวัน และประเทศที่ได้รับสิทธิ์ ผ.30 ทั้งสิ้น 55 ประเทศ รวมกับอีกหนึ่งเขตบริหารพิเศษ คือ ฮ่องกง

ไฟเขียว ธอส. จัด 6 หมื่นล้าน ปล่อยกู้ “บ้านล้านหลัง”

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ “โครงการบ้านล้านหลัง” ตามที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เสนอ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งโครงการดังกล่าว ธอส. จะปล่อยกู้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ระยะเวลาการกู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี ภายใต้วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • กรณีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อคนต่อเดือน (กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 ถึงปีที่ 5 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กรณีสวัสดิการ MRR -1% ต่อปี, กรณีรายย่อย MRR -0.75%, กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี)

เมื่อกู้ 1 ล้านบาท จะสามารถผ่อนชำระ 5 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3,800 บาท ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ 1. ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม) 2. ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน (1,900-2,300 บาท) 3. ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ 4. ฟรีค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง (1% ของวงเงินจำนอง)

ทั้งนี้ ผู้ประกอบอาชีพประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่าบ้านหรือผ่อนชำระเงินดาวน์บ้านไม่น้อยกว่า 12 เดือน มาประกอบการพิจารณา เพื่อคำนวณรายได้เพิ่มเติม หรือลูกค้าที่เข้าโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน มีประวัติการออมสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าเงินงวดผ่อนชำระเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน สามารถใช้เป็นหลักฐานที่มาของรายได้และนำค่าเช่าหรือวงเงินที่ผ่อนชำระเงินดาวน์ที่อยู่อาศัยมานับรวมเป็นการออมได้

  • กรณีรายได้เกิน 25,000 บาทต่อคนต่อเดือน (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีสวัสดิการ MRR -1% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR -0.50% กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ย MRR ตั้งแต่ปีที่ 1 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระ 3 ปีแรกเริ่มต้นเพียง 3,800 บาทเช่นกัน

นอกจากนี้นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. เปิดเผยว่า โครงการบ้านล้านหลังอยู่ภายใต้วงเงินรวมทั้งหมด 60,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากสินเชื่อ 50,000 ล้านบาทข้างต้นแล้ว ธอส. ยังมีสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre-finance) ภายใต้วงเงินอีก 10,000 ล้านบาท รวมวงเงินสินเชื่อภายใต้โครงการบ้านล้านหลัง 60,000 ล้านบาท

โดยให้กู้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณสมบัติพร้อมกับปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดนำไปจัดทำที่อยู่อาศัยที่มีราคาขาย ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย ไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ อัตราดอกเบี้ย MLR -1.25% ต่อปี เฉพาะกรณีสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนกรณีก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายเกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR -0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.25% ต่อปี)

อนึ่ง ธอส. ได้ประเมินว่าธนาคารจะสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ จากโครงการนี้ราว 6,103 ล้านบาท แต่ธนาคารจะขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพียงแค่ 3,876 ล้านบาท ซึ่งเป็นเฉพาะในส่วนของรายได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงเท่านั้น ส่วนที่เหลือ เช่น ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอื่นๆ ธอส. จะเป็นผู้รับภาระเอง

จัดงบกลาง 525 ล้าน หนุน กฟผ.ซื้อปาล์มผลิตไฟฟ้า

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้เพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้งบกลาง สำหรับการเร่งรัดในการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ภายในวงเงิน 525 ล้านบาท มาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับกระทรวงพลังงาน โดยที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 160,000 ตัน ในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 – กุมภาพันธ์ 2562 จากพื้นที่แหล่งผลิตสำคัญ เช่น กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 576 ล้านหน่วย โดยที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะขอรับเงินชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิง กับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า ในวงเงิน 525 ล้านบาท

“มาตรการดังกล่าวเป็นการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มภายในประเทศ ซึ่งเดิมในการประชุม ครม. รอบที่แล้วได้มีการขยายระยะเวลาของการส่งออกจากเดิมจะสิ้นสุดประมาณเดือนพฤศจิกายนนี้ จะขยายเพิ่มขึ้นอีก 6 เดือน ประมาณเดือนพฤษภาคม 2562” นายณัฐพรกล่าว

ขรก.เกษียณเฮ! อายุเกิน 70 ปี รับบำเหน็จดำรงชีพเพิ่ม 1 แสนบาท

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ออกตามความใน พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ออกตามความใน พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561

กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ดังนี้

  1.  ปรับเพิ่มเงินให้ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญซึ่งได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดบำนาญรวมกันทุกประเภท และรวม ช.ค.บ. แล้ว ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มขึ้นเมื่อรวมกับเบี้ยหวัดบำนาญแล้วจะได้รับเงิน เดือนละ 10,000 บาท
  2.  ขยายเพดานของวงเงินบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมที่ให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 400,000 บาท เป็น ให้ขอรับได้ในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยหากผู้รับบำนาญเคยขอรับบำเหน็จดำรงชีพ ไปบางส่วนแล้ว ให้ขอรับได้ไม่เกินจำนวนเงินที่ยังไม่ครบตามสิทธิ แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

ทั้งนี้ หลังจากที่กฎกระทรวงประกาศใช้แล้ว จะมีผลใช้บังคับใน 60 วันหลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว กรมบัญชีกลางจะร่างหลักเกณฑ์และปรับระบบการจ่ายเงินให้รองรับกับการขอรับบำเหน็จดำรงชีพตามวงเงินที่กำหนดขึ้นใหม่ และจะประกาศหลักเกณฑ์ให้ทราบโดยเร็วต่อไป

การแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้ผู้รับบำนาญสามารถดำรงชีพอยู่ได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ และเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพให้แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ

อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เพิ่มเติม