ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ประกาศเลือกตั้ง พ.ย. 61 – มติ ครม. ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ค้างสต็อกแสนตัน

“บิ๊กตู่” ประกาศเลือกตั้ง พ.ย. 61 – มติ ครม. ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ค้างสต็อกแสนตัน

11 ตุลาคม 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

นายกฯประกาศจัดเลือกตั้ง พ.ย. 61 – วอนทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุม คสช. มีการรับทราบการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 (พ.ร.ป.) ซึ่ง คสช. จะพิจารณาช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมตามความจำเป็น ยืนยันไม่ได้ต้องการหน่วงเวลาไว้แต่อย่างใด

“ในเดือนตุลาคมนี้เป็นเดือนแห่งความโศกเศร้า อยากให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบก่อน คาดว่าจะมีการประกาศวันเลือกตั้งในช่วงเดือนมิถุนายน 2561 และพร้อมที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตอนนี้ขอให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบเรียบร้อย ซึ่งตนได้สั่งการให้หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนจำนวนมากที่เดินทางมาเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขอให้ช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน อย่าให้เกิดความขัดแย้ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการประชุม คสช. พล.อ. ประยุทธ์ ได้รับแจ้งจากนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย ว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) มีเวลาเขียนกฎหมายลูกทั้งหมด 240 วัน จากนั้นจะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีก 60 วัน ซึ่งหากมีการแก้ไขก็จะยืดเวลาไปอีก แต่ทั้งนี้ คาดว่ากฎหมายลูกทั้งหมดจะประกาศใช้ในเดือนมิถุนายน 2561 และเมื่อนับไปอีก 150 วัน การเลือกตั้งจึงจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561

ส่วนการปลดล็อกพรรคการเมืองนั้น พล.อ. ประยุทธ์ รับทราบว่า เมื่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง มีผลบังคับใช้แล้ว พรรคการเมืองต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่ง คสช. จะหาข้อยุติและจุดลงตัวในเรื่องนี้ให้ได้ โดย พล.อ. ประยุทธ์ ขอหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน จากนั้นจะประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ

ก่อสร้างพระเมรุมาศจำลองทั่วประเทศคืบหน้ากว่า 90%

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการสร้างพระเมรุมาศจำลองในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศว่า วันนี้ได้รับทราบการรายงานจากกระทรวงมหาดไทยแล้วว่ามีการดำเนินการคืบหน้าไปแล้วกว่าร้อยละ 90 และขณะนี้ได้มีการจัดสร้างสถานที่เผาดอกไม้จันทน์สำหรับประชาชนเป็นการเฉพาะกิจ ซึ่งกำลังดำเนินการเพิ่มเติมอยู่

“เป็นพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนทุกคนทั่วประเทศได้มีโอกาสร่วมพิธีพร้อมกับประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันไม่ได้เจรจานำเข้าเนื้อหมูสหรัฐฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการร่วมไทย-สหรัฐฯ ต้องพิจารณา ซึ่งยังไม่มีการตกลงใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มีการพูดคุยเป็นการส่วนตัวระหว่างตนกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

“ผมได้สั่งการให้ให้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปหารือกับกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ เพื่อศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการนำเข้า ซึ่งจะต้องทำให้เป็นไปตามกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ และกฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เตรียมจัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี 60

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 2560 ว่า เรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าอะไรที่เราสามารถดำเนินการได้บ้าง ขณะนี้สิ่งที่เราขับเคลื่อนได้มากหน่อยคือการใช้งบลงทุนของภาครัฐ ขณะนี้มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 90% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดูและประชาชนระดับฐานรากในการออกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า รัฐบาลมีกำลังใจ แม้จะมีวงเงินจำนวนไม่มาก แต่ก็สามารถแบ่งเบาภาระให้กับผู้มีรายได้น้อยไปได้บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด และที่ดีที่สุดที่รัฐบาลสามารถทำในเวลานี้ เพราะเป็นโครงการที่รัฐบาลสามารถทำได้ตรงตามเป้าหมาย  และไม่เคยมีการลงทะเบียนแบบนี้มาก่อน พร้อมขอบคุณความร่วมมือจากภาคเอกชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชน

ชี้เริ่มสร้างรถไฟความเร็วสูง พ.ย.นี้

ส่วนความคืบหน้าในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องรถไฟความเร็วสูงมีการหารือความร่วมมือระหว่างกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะการอบรมวิศวกรไทย-จีน ตอนนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว ส่วนการเตรียมพื้นที่จุดแรกที่จะดำเนินการก่อสร้าง ก็มีประเด็นที่ต้องหารือกับโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 3 แห่ง และคาดว่าจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ในเดือนพฤศจิกายน 2560 นอกจากนี้ตนยังได้เน้นย้ำในที่ประชุมถึงการจัดทำแผนงานโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ขอให้ทุกกระทรวงมีแผนการดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง

”บิ๊กตู่” ชี้ “ทักษิณ” หมิ่นเบื้องสูง-เป็นหน้าที่กระบวนการยุติธรรม

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงจะตรวจสอบอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มหมิ่นเบื้องสูงที่เคลื่อนไหวใต้ดินที่ประเทศเพื่อนบ้าน ว่า “กรณีที่มีคนระบุว่าเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องอันนี้เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมจะพิจารณาว่าผิดไม่ผิดอย่างไร ผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องตรงนั้น มีหน้าที่ให้กระบวนการยุติธรรมเขาทำงาน”

นายกฯ ขอประชาชนติดตาม แจ้งเตือนกรมอุตุฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ว่า ต้องยอมรับว่าประเทศมีความเสี่ยงสูง เพราะเป็นพื้นที่ลุ่ม ปริมาณน้ำจึงไหลจากตอนบนลงมาสะสม ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมมาโดยตลอด ขณะเดียวกัน หากฝนตกที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล ก็จะทำให้มีน้ำสะสมมากขึ้น จึงต้องแยกจากกันระหว่างการแก้ไขปัญหาน้ำของรัฐบาลกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง คือพื้นที่ทั่วประเทศและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนนี้เราต้องเตรียมความพร้อม ตนได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ พร้อมกับขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์จากการแจ้งเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งตนได้สั่งการให้จัดทำเป็นตัววิ่งแจ้งเตือนภัยสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบผ่านสื่อต่างๆ แล้ว

“เรื่องน้ำทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าเราสามารถบริหารจัดการน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ไหลลงมาจากภาคเหนือ หรือปริมาณน้ำที่ตกลงมาขังท่วมในแต่ละพื้นที่ การระบายน้ำออกสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ก็พยายามจะทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ส่วนปัญหาพื้นที่นอกคันกั้นน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่อื่นๆ ซึ่งเป็นการระบายน้ำออกข้าง หากมีน้ำฝนหรือพายุมาเพิ่มก็ต้องระมัดระวัง ผมเป็นห่วงพวกท่าน ก็ต้องเข้าใจ ภารกิจของรัฐบาลตอนนี้ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ไม่ได้มุ่งหวังให้เกิดความเสียหาย เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ ต้องเข้าใจและเตรียมตัว” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ว่า ในเขื่อนหลักมีปริมาณน้ำสะสมร้อยละ 79 โดยยังสามารถรับน้ำได้อีกร้อยละ 20 เนื่องจากขณะนี้มีความเสี่ยงที่ประเทศจะต้องเจอกับสถานการณ์พายุฝน จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำในจุดที่สำคัญแล้ว

จากการสำรวจพบว่า ในพื้นที่ภาคอีสาน และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดเชียงรายลงมา มีปริมาณน้ำสะสมในเขื่อนค่อนข้างมาก และจะใกล้จะเต็มความจุของเขื่อน จึงมีแผนที่จะปัดน้ำผ่านทางระบายน้ำหลักของประเทศ เพื่อให้น้ำไหลลงสู่แม่น้ำโขง ผ่านทางลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูล ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องสูบน้ำทำงานอย่างเต็มที่ในการผลักดันน้ำให้ได้ตามเป้า

“สำหรับพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ยังคงมีจุดเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ 3 จุด ประกอบด้วย พื้นที่ จ.นครสวรรค์ เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เวลานี้สามารถระบายน้ำได้ 2,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะที่จุดวิกฤติอยู่ที่ 2,850 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จะเป็นจุดสุดท้ายในการจะสังเกตว่าจะส่งผลกระทบถึงพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือไม่ โดยขณะนี้สามารถระบายน้ำได้ 2,260 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ต่ำกว่าจุดวิกฤติที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนที่เกิดขึ้น แต่อาจจะมีพื้นที่ได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะในพื้นที่นอกคันกันน้ำ ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพมหานคร” พล.อ. ฉัตรชัย กล่าว

พล.อ. ฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 12-14 ตุลาคม 2560 กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์ว่าจะเกิดฝนตกหนักขึ้นอีก จึงได้สั่งการให้กรมชลประทานติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และควบคุมปริมาณน้ำไม่ให้เกินจุดวิกฤติแล้ว นอกจากนั้นยังได้สั่งการเพิ่มเติมให้เจ้าหน้าที่ติดตั้งเครื่องมือระบายน้ำตามพื้นที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดสุโขทัยหรือพื้นที่ลุ่มน้ำต่างๆ โดยรายงานล่าสุดพบว่าพื้นที่ส่วนใต้ของจังหวัดนครสวรรค์ ใต้เขื่อนเจ้าพระยา มีพื้นที่รับน้ำทั้งหมด 12 ทุ่ง ได้ดำเนินการปัดน้ำเข้าไปแล้วร้อยละ 70 ยังเหลือพื้นที่รองรับน้ำได้อีกร้อยละ 30 จึงคาดการณ์ว่าหากปริมาณฝนไม่มากจนเกินไป จะสามารถบริหารจัดการน้ำได้ตามเป้าที่วางไว้

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย อคส. และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เร่งระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ค้างสต็อก 1 แสนตัน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม. มีมติรับทราบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/52 ในการดูแลของรัฐบาล ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งเป็นไปตามผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต็อกของรัฐบาล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เพื่อเร่งดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไปตั้งแต่ปี 2555

ทั้งนี้ เดิมการประชุม นบขพ. ครั้งที่ 1/2560 มีมติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2560 ว่าให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือในการดูแลของรัฐบาล จำนวน 94,168.98 ตัน โดยในเบื้องต้น ให้ระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จำนวน 84,134.73 ตัน ตามที่คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต็อกของรัฐบาลมีความเห็นว่าอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถระบายได้ก่อน สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยังไม่มีข้อยุติในส่วนของคดีความทางกฎหมาย จำนวน 10,034.25 ตัน ให้ อคส. เสนอระบายเมื่อมีข้อยุติในทางคดีต่อไป และให้ อคส. พิจารณาระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในสต็อกของรัฐบาลตามสภาพ โดยให้ อคส. เจรจากับเจ้าของคลังสินค้าหรือผู้ที่ซื้อที่เสนอราคาซื้อสูงสุดในแต่ละคลัง แล้วนำเสนอประธานกรรมการ นบขพ. พิจารณาอนุมัติการระบายต่อไป ทั้งนี้ ให้ อคส. กำหนดมาตราการที่เข้มงวด จริงจัง มิให้มีการนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จะระบายกลับเข้าสู่วงจรตลาดปกติ

ทั้งนี้ สาเหตุที่การระบายดังกล่าวมีความล่าช้า พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย อคส. กล่าวว่า เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย จากเดิมที่รัฐบาลได้รับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2551/2552 จำนวนประมาณ 1 ล้านตันในราคา 8 บาทต่อตัน ก่อนที่ ครม. ในปี 2555 มีมติให้ระบายออกไปในราคา 4 บาทต่อตัน อย่างไรก็ตาม มีผู้ประมูลบางส่วนเห็นว่าไม่เป็นธรรม จึงยื่นคำร้องต่อศาลในส่วน 94,168 ตัน ขณะที่เหลือ 900,000 ตัน ได้ระบายออกไปเรียบร้อย ต่อมากระบวนทางศาลเพิ่งได้ข้อยุติ ขณะที่อีก 10,000 ตัน ยังอยู่ระหว่างกระบวนการ โดยศาลปกครองได้สั่งให้ยุติการรวบรวมข้อมูลในวันที่ 29 กันยายน 2560 ก่อนจะเริ่มพิจารณาต่อไป

ขณะที่ความเสียหายเรื่องข้าวโพดที่เกิดขึ้นมีการตั้งคณะกรรมการมาสอบสวน โดยแบ่งเป็น 2 ประเด็น อันแรกถ้าเป็นการเสื่อมสภาพโดยธรรมชาติให้ตกไป เนื่องจากไม่สามารถหาผู้รับผิดชอบได้ แต่ในส่วนที่เป็นการประมาทเลินเล่อจนก่อให้เกิดความเสียหายจะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป โดยความเสียหายในการดูแลข้าวโพดดังกล่าวจะตกเดือนละ 7 ล้านบาท หากนับระยะเวลาจากปี 2551 ถึงปัจจุบันจะเป็นมูลค่าประมาณ 840 ล้านบาท

ของบฯกทปส. 4,000 ล้าน หนุนDoing Business Portal

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบแนวทางการพัฒนาระบบ Doing Business Portal ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเชื่อมโยงกระบวนการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ ดำเนินธุรกิจ จนถึงเลิกกิจการ โดยมีขอบเขต 4 ส่วนดังนี้

    1) การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางในการขออนุมัติอนุญาต (License Digitization & Analytics) แบ่งเป็นระยะแรกภายในปีงบประมาณ 2561 จะนำระบบ Single Form ซึ่งช่วยให้ผู้ขอกรอกรายละเอียดเพียงครั้งเดียว นำร่องให้บริการครอบคลุม 50 บริการหรือใบอนุญาต ส่วนในระยะที่ 2 ในปีงบประมาณ 2562 จะขยายเป็น 100 บริการ และระยะสุดท้ายในปีงบประมาณ 2563 จะขยายออกเป็น 150 บริการ พร้อมทั้งนำ Data Analytics ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

    2) การพัฒนาระบบกลางในการยืนยันตัวตนออนไลน์ (Digital Authentication) โดยในระยะแรกจะนำระบบ Digital ID for Citizen นำร่องให้บริการร่วมกับสถาบันการเงิน 2 แห่งโดยการตรวจสอบข้อมูลจาก 2 หน่วยงานผู้ให้ข้อมูล ระยะที่ 2 จะขยายไปสู่การยืนยันตัวของภาคธุรกิจ ครอบคลุมสถาบันการเงินทุกแห่ง โดยตรวจสอบกับ 10 หน่วยงานผู้ให้ข้อมูล และระยะที่ 3 จะขยายไปยังการให้บริการของภาครัฐ

    3) การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางเพื่อการอำนวยความสะดวกด้านการค้าระหว่างประเทศ (Trade Digitization) โดยในระยะแรกจะจัดทำระบบ Single Form นำร่องให้บริการ 2 สินค้าคลอบคลุมการขออนุญาตหรืองานบริการ 8 บริการและใบอนุญาต 5 หน่วยงาน ในระยะที่ 2 จะขยายไปยังสินค้านำเข้าส่งออกอื่นๆ ที่มีความสำคัญและมีความพร้อม และระยะสุดท้ายจะขยายไปยังกลุ่มสินค้าที่สำคัญและเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการเอกชนต่างๆ

    4) การเชื่อมโยงระบบการทำงานภาครัฐเชิงรุก (Digitization Commando) โดยระยะแรกจะต้องจัดทำแผนงานและแนวทางที่ชัดเจน รู้ว่าต้องแก้ไขอุปสรรคใด เช่น กฎหมายหรืองบประมาณ พร้อมทั้งจัดทำรายละเอียดข้อเสนอด้านเทคนิคของระบบย่อยต่างๆ ก่อนดำเนินโครงการ ต่อมาระยะที่ 2 และระยะสุดท้ายจะขับเคลื่อนการเชื่อมโยงงานบริการภาครัฐแบบเชิงรุกร่วมกับ 50 หน่วยงาน

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบจะใช้งบประมาณ 4,000 ล้านบาทและขอสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) และให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (สรอ.) (องค์กรมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ

ขยายเวลาไว้ทุกข์-ลดธงครึ่งเสาถึง 29 ต.ค.

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติให้ขยายเวลาการไว้ทุกข์และการลดธงครึ่งเสาในช่วงงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชสำนักออกทุกข์ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2560 ตามประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง กำหนดการออกทุกข์ของข้าราชสำนัก ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2560

โดยขยายเวลาไว้ทุกข์ของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จากวันที่ 27 ตุลาคม 2560 อันเป็นวันเก็บพระบรมอัฐิขยายไปจนถึงวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 และให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ สถานศึกษา และสถานที่ทำการของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศ ลดธงครึ่งเสาจากเดิมถึงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เป็นวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 และให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐออกทุกข์ จากเดิมตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2560 เป็นให้ออกทุกข์ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป สุดท้ายให้เริ่มเก็บผ้าระบาย ป้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ตามสถานที่ต่างๆ จากเดิมตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เป็นตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 ขณะที่รายละเอียดนอกจากนี้ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ประชาชนทั่วไปที่เดินทางมายังบริเวณพระราชพิธีฯ สามารถ ถ่ายภาพหรือเฟซบุ๊กไลฟ์ได้ตามความเหมาะสม โดยพื้นที่ถนนราชดำเนินในและรอบบริเวณสนามหลวงสามารถรองรับประชาชนได้ประมาณ 2 แสนคน แต่จะมีประชาชนเพียง 40,000 คนที่สามารถเห็นขบวนพิธีได้ โดยขอให้ประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมพระราชพิธีฯ เตรียมอาหารและยาประจำตัวมาด้วยตนเอง พร้อมขอความร่วมมือให้หน่วยงานราชการเปิดให้ประชาชนได้สามารถใช้ห้องน้ำได้

สำหรับสื่อมวลชนนั้นไม่สามารถเฟซบุ๊กไลฟ์ได้ แต่สามารถเกาะเกี่ยวสัญญาณของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจมาลงในโซเชียลมีเดียได้ โดยสื่อมวลชนที่ลงทะเบียนลักษณะกล้องเป็นภาพนิ่งก็สามารถถ่ายได้เพียงภาพนิ่ง ส่วนใครที่ลงทะเบียนเป็นวิดีโอก็ถ่ายได้เฉพาะวิดีโอเท่านั้น

ยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7-9 ตั้งแต่ 24-27 ต.ค.

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม โดยระบุว่า ครม. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 24 ตุลาคม 2560 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 27 ตุลาคม 2560

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้จัดทำแผนอำนวยความสะดวกและรองรับการเดินทางของประชาชนในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ช่วงเดือนตุลาคม 2560 โดยบูรณาการข้อมูลการเดินทาง ทั้งการเดินทางทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง โดยมีแผนดำเนินงานระหว่างวันที่ 19-30 ตุลาคม 2560 ในการนี้ ได้ให้กรมทางหลวงอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางทั่วประเทศ โดยจัดจุดบริการประชาชนและจุดพักรถ รวมถึงพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน

เปลี่ยนตัว คสช. 3 รายแทนคนเกษียณ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม คสช. มีคำสั่ง คสช. เรื่องการเปลี่ยนตัวในคณะบุคคลของ คสช. จำนวน 3 ราย โดยแต่งตั้งให้ พล.อ. เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม แทน พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล, พล.อ. ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด แทน พล.อ. สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ และ พล.ร.อ. นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ แทน พล.ร.อ. ณะ อารีนิจ เป็นสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เกษียณอายุราชการ

ใช้ ม.44 ตั้ง “สุวรรณชัย” นั่งเก้าอี้ ผอ.สสว.

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม คสช. เห็นชอบใช้คำสั่งตามมาตรา 44 แต่งตั้งนายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยมีวาระ 2 ปี แทนนางสาลินี วังตาล ที่พ้นวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว โดยมีผลย้อนหลังให้ดำรงตำแแหน่งตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2560 นับแต่วันที่นางสาลินีพ้นตำแหน่ง พร้อมกันนี้ได้เปิดโอกาสรัฐบาลถัดไปสามารถเปลี่ยนตัวบุคคลได้ตามความเหมาะสม

“กระบวนการสรรหาตามปกติต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน แต่ในภาพเศรษฐกิจขณะนี้ สสว. คือกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การขาดผู้นำทัพส่งผลกระทบพอสมควร จึงขอให้ตั้งคุณสุวรรณชัยซึ่งมีประสบการณ์เพราะเป็นผู้ช่วยคุณสาลินีมาก่อน” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ปฏิเสธข่าวลือบัตรสวัสดิการฯ เอื้อเจ้าสัว

พล.ท. สรรเสริญ ชี้แจงกรณีที่มีข่าวลือในโซเชียล และมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใน 3 ประเด็น โดยยืนยันว่าข่าวลือดังกล่าวถือว่าเป็นการบิดเบือนและสร้างข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด

  1. การนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปแลกเป็นเงินสดโดยที่ร้านค้าจะหักค่าหัวคิวไว้นั้น กรณีนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ทุจริต และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์แท้จริงที่รัฐบาลต้องการให้นำบัตรสวัสดิการฯ ไปใช้ซื้อสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง ดังนั้น หากประชาชนพบข้อมูลเบาะแสว่ามีผู้ใดกระทำการทุจริต ขอให้แจ้งมาที่รัฐบาล ซึ่งจะเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดกับผู้กระทำการทุจริตดังกล่าวต่อไป
  2. การให้วงเงินซื้อสินค้าในบัตรสวัสดิการฯ ที่ 200-300 บาท/คน/เดือน เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่นั้น ในความเป็นจริงแล้ว ร้านธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วมโครงการจะมีสินค้าที่นำมาจำหน่ายกว่า 300 รายการ จากผู้ผลิตที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทรายใหญ่ วิสาหกิจชุมชน ตลอดจนผู้ประกอบการ SMEs ดังนั้น เม็ดเงินที่ให้ผู้มีรายได้น้อยสำหรับใช้ซื้อสินค้าก็จะไปสู่ผู้ผลิตแต่ละรายที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ใช่เฉพาะแต่บริษัทผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่หรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่เจ้าสัวตามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แต่อย่างใด
  3. ผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ได้นั้น ในความเป็นจริงแล้ว หากพิจารณาดูจะพบว่าผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะต้องเข้าเกณฑ์เงื่อนไขที่มีรายได้ไม่เกินปีละ 1 แสนบาท หรือคิดเฉลี่ยแล้วจะมีรายได้ประมาณเดือนละ 8 พันกว่าบาท ซึ่งปกติแล้วผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 1 หมื่นบาทก็มักจะไม่ได้รับการพิจารณาเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว ดังนั้น การไม่ได้รับอนุมัติให้กู้เงินจากธนาคารจึงไม่ได้มีสาเหตุจากการเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่อย่างใด