ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ มอบ “วิษณุ-ศธ.” แก้ปม สอบ GAT/PAT ชนวันเลือกตั้ง – มติ ครม.ปรับแผนพัฒนาที่ดินหมอชิต – สร้าง “คอมเพล็กซ์” 2.6 หมื่นล้าน

นายกฯ มอบ “วิษณุ-ศธ.” แก้ปม สอบ GAT/PAT ชนวันเลือกตั้ง – มติ ครม.ปรับแผนพัฒนาที่ดินหมอชิต – สร้าง “คอมเพล็กซ์” 2.6 หมื่นล้าน

24 ตุลาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน ดังนี้

มอบ “วิษณุ-ศธ.” หาทางออก สอบ GAT/PAT ชนวันเลือกตั้ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. กำหนดวันสอบ GAT/PAT ของนักเรียนทั่วประเทศเป็นวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งตรงกับช่วงกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 อาจส่งผลกระทบให้คนรุ่นใหม่ไม่ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งว่า รัฐบาลกำลังติดตาม โดยให้ ดร.วิษณุ เครืองาม ไปดูร่วมกับกระทรวงศึกษาว่าจะหาทางออกกันอย่างไร หากมีปัญหา ก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้

“มันเกี่ยวกับเรื่องพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งด้วย มันยังไม่ออกมา จะทำยังไง หลายคนก็จี้ว่าต้องเป็นวันนั้นวันนี้ แล้วก็ไปมีปัญหากันตรงอื่นอีก ก็ไปหาทางแก้แล้วกัน”

ยันไม่เคยแทรกแซง กกต.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ว่าตนไม่เคยไปสั่งการอะไร เพราะกกต.เป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่และกฎหมายเป็นของตนเอง ใครก็สั่งไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือใครทำความผิดต้องรับผิดชอบ เป็นไปตามกฎหมายกกต. ต้องดำเนินการ

โต้ “อภิสิทธิ์” คิดไปเอง – ไม่เคยพูดรังเกียจนักการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี แนะให้ตนเองปรับตัวหากคิดเล่นการเมืองว่า ตนไม่เคยพูดว่ารังเกียจนักการเมือง เขาคิดไปเองหรือเปล่า เป็นสิทธิส่วนบุคคล เพราะให้เกียรติอดีตนายกฯ เสมอมา

“ผมคิดว่าการพูดของท่านคงไม่พูดมาเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองหรือเพื่อการหาเสียงอย่างเดียว ท่านคงไม่ใช่คิดพูดออกมาเพื่อวัตถุประสงค์อย่างนั้น ผมคิดอย่างนั้นในฐานะที่ผมให้เกียรติท่าน”

ชี้สหรัฐฯ แบน “น้ำปลาไทย” แค่ 2 บริษัท

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกรณีที่มีข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA ประกาศห้ามนำเข้าน้ำปลาจากประเทศไทยว่า ไม่ใช่การแบนน้ำปลาไทยทั้งหมด เพราะจากการถามกระทรวงพาณิชย์ทราบว่าน่าจะมีอยู่ 2 บริษัท ซึ่งเตือนไปหลายครั้งแล้ว ปัญหาอยู่ที่กระบวนการผลิต โดยขณะนี้ได้ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯไปประสานงาน

“ผมถามกระทรวงพาณิชย์แล้ว มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก รู้สึกมีอยู่สองบริษัทมั้ง ซึ่งมีการหารือเรื่องนี้มา 5 ปีแล้ว กระทรวงพาณิชย์ก็เตือนไปหลายครั้งแล้ว คือมันอยู่ที่กระบวนการผลิต เขาก็ต้องปรับแก้วิธีการ คงไม่ใช่เรื่องของการแบนน้ำปลาไทยทั้งหมด แต่กระบวนการผลิตเขาต้องปรับแก้ให้ตรงกับสิ่งที่เขากำหนดไว้”

บี้คมนาคม เร่งหาข้อยุติ “โครงการสุวรรณภูมิเฟส 2”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ว่า กระทรวงคมนาคมกำลังดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย โปร่งใส ถูกต้อง และเป็นธรรม และให้มีการเร่งรัดตรวจสอบรายงานผลให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะเสียเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ซึ่งหากการตรวจสอบพบว่าไม่ถูกต้อง ก็มีวิธีการแก้ไขตามกติกาที่กำหนดไว้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการทุกเรื่อง

“มันมีกติกาหมดอยู่แล้วล่ะ ถ้ามันพิสูจน์ได้ว่ามันไม่ดี ไม่ถูกต้อง มันก็มีวิธีการอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่นายกฯต้องไปสั่งทุกเรื่องว่าใช่หรือไม่ใช่ ได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่อำนาจของนายกฯทั้งหมดอยู่แล้ว”

สั่ง “ตำรวจ-สธ.” ดำเนินคดี “คนจีน” ลักลอบเปิดสถานพยาบาล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีตำรวจจีนจับกุมคนจีนที่แอบอ้างเปิดสถานพยาบาลในประเทศไทยว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ไทยไปทำอะไรผิด แต่เป็นเรื่องของภาคเอกชน หรือกลุ่มบุคคลไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างประเทศ ที่มาประกอบอาชีพไม่ถูกต้องในประเทศไทย ก็ต้องถูกดำเนินคดี โดยได้สั่งให้ตำรวจกับกระทรวงสาธารณสุขไปตรวจสอบแก้ไขดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งเข้มงวดกวดขันเรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุด เพราะมีผลกระทบในหลายเรื่อง รวมทั้งการท่องเที่ยวด้วย

นายกรัฐมนตรี “เซลฟี่” ร่วมกับสื่อมวลชน ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เปิดเพจ “ตู่ดิจิทัล” รับฟังความเห็นประชาชน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า หลังจากเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารกับประชาชนทางโซเชียลมีเดียเป็นตู่ดิจิทัล ได้มีคำถามและข้อเสนอจำนวนมากส่งมาให้ตนได้รับทราบ ซึ่งจะทยอยตอบกลับด้วยตัวเองให้มากที่สุด ส่วนการร้องเรียนผ่านช่องทางศูนย์ดำรงธรรมพบว่าตั้งแต่ปี 2560 มีเรื่องร้องเรียนกว่า 3 ล้านเรื่อง ได้ให้หน่วยงานทีเกี่ยวข้องแก้ไขไปแล้ว 99.7 %

“หลังจากเปิดเผยตัวว่าจะเป็นตู่ดิจิทัล ผมก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมในปัจจุบันซึ่งเป็นสังคมที่มีโซเชียลมีเดียเข้ามาขับเคลื่อนเยอะพอสมควร ผมพยายามจะปรับปรุงตัวขึ้นมา เปิดช่องทางการสื่อสารขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ก็มีหลายคำถามหลายข้อเสนอมาให้ผมรับทราบ ก็จะทยอยตอบลงไปด้วยตัวเอง”

“ส่วนช่องทางศูนย์ดำรงธรรม มีผลงานเยอะแยะ ตั้งแต่ปี 2560 มี 3 ล้านกว่าเรื่อง ตรงไหนมีปัญหาเราก็ให้หน่วยงานไปแก้ ผมถือว่าได้ผลนะ แก้ปัญหาประชาชนไปสามล้านกว่าเรื่อง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีส.ส.ก็ตาม ผมก็เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียน นำมาสู่การตรวจสอบ”

ตั้ง “พุทธิพงษ์” นั่งโฆษกรัฐบาล แทน “ไก่อู”

พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่าตั้งสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป ได้มอบหมายให้นายพุทธพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง มาทำหน้าที่เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงการทำงานของรัฐบาลในนามสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งเรื่องผลการประชุม ครม. แทน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่จะไปปฏิบัติหน้าที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แบบเต็มตัว เป็นการแบ่งหน้าที่ช่วยกันทำงานให้รัฐบาล

“ตั้งแต่สัปดาห์หน้าจะให้คุณพุทธพงษ์มาชี้แจงในนามสำนักนายกฯ ให้ทำงานตรงนี้ เพราะหลายคนอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ทำหน้าที่โฆษก ส่วนคนนั้น (พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด) ก็ไปทำหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ ก็แบ่งงานกันไป ช่วยกันเหมือนเดิม รัฐบาลเดียวกัน ใครอยู่ตรงไหนก็เหมือนกันแหละ เพียงแต่วิธีการนำเสนออาจจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ไฟเขียวตั้งกระทรวงอุดมศึกษาฯ – “สุวิทย์” คาดผ่านร่าง กม. ใน 2 เดือน

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วัจัยและนวัตกรรม โดยให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

ทั้งนี้เพื่อควบรวมหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้อยู่ภายใต้กระทรวงเดียวกัน

“การตั้งกระทรวงใหม่นี้ เพื่อตอบโจทย์การปฏิรูปประเทศ โดยมีการปฏิรูปใน 3 มิติ โดยจะเน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานให้มากขึ้น ปลดล็อคให้งานวิจัยสามารถนำมาเชื่อมโยงกับภาคเอกชน และชุมชนมากขึ้น และปฏิรูประบบงบประมาณให้เป็นรูปแบบการจัดซื้อจัดจ้างงานวิจัย ระยะเวลา 3-5 ปี (Mulityear) เป็นการวิจัยชิ้นใหญ่ ไม่ใช่การให้ทุนแบบปีต่อปีแบบเป็นเบี้ยหัวแตกแบบเดิมอีกต่อไป” นายสุวิทย์กล่าว

โดยจะมีกฎหมายลูกอีก 5 ฉบับ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับ ..) พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ….) ร่าง พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่าง พ.ร.บ.การบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่าง พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนงานวิจัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 เดือน จึงจะแล้วเสร็จ ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ กระทรวงใหม่นี้จะได้รบจัดสรรงบประมาณประมาณ 1.2 แสนล้านบาทต่อปี

นายสุวิทย์กล่าวต่อไปว่า ภายใต้การทำงานของกระทรวงอุดมศึกษาฯ จะมีคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นซูเปอร์บอร์ด ทำหน้าที่ชี้นำนโยบายและกำหนดยุทธศาสตร์การวิจัยของประเทศ ซึ่งจะถูกกำหนดรายละเอียดอยู่ใน ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการฯ

“กระทรวงใหม่นี้จะมีความเป็นข้าราชการน้อยมาก เพราะองค์กรส่วนใหญ่ที่เข้ามาควบรวมเป็นองค์การมหาชน จะให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มากขี้น มีการแบ่งการทำงานของมหาวิทยาลัยให้ตอบโจทย์เชิงพื้นที่ ตอบโจทย์ประเทศมากขึ้น ต้องมีการทำงานร่วมกับเอกชน และชุมชนมากขึ้น” นี่นายสุวิทย์กล่าว

ปรับแผนพัฒนาที่ดินหมอชิต ลุยสร้าง “คอมเพล็กซ์” 2.6 หมื่นล้าน

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมอบหมายให้กรมธนารักษ์ไปเจรจากับเอกชนคู่สัญญาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น พร้อมกันนี้ให้ไปจัดทำรายละเอียดของการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้ชัดเจนให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด รวมถึงจัดทำตามกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

โดยร่างสัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการฯ ที่แก้ไขใหม่ เป็นการก่อสร้างอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และโรงแรม มีมูลค่าโครงการ 26,916.89 ล้านบาท ต่างจากร่างสัญญาเดิมที่ทำเมื่อปี 2539 ที่มีเฉพาะอาคารสำนักงาน พื้นที่เชิงพาณิชย์ และที่จอดรถเท่านั้น โดยโครงการนี้มีระยะเวลาการก่อสร้าง 5 ปี พื้นที่ใช้ประโยชน์รวม 712,350 ตารางเมตร ประกอบด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์ 600,350 ตารางเมตร และพื้นที่ชดเชยราชการ 112,000 ตารางเมตร คิดค่าธรรมเนียมการจัดประโยชน์ 550 ล้านบาท มีค่าตอบแทนการใช้ที่ดินระหว่างก่อสร้าง 509,300 บาท

อนึ่งการดำเนินโครงการดังกล่าว ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2536 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นที่ตั้งโรงจอดรถและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสถานีขนส่ง และใช้ประโยชน์ทางราชการ ซึ่งกรมธนารักษ์เป็นผู้ดูแล แต่ที่ผ่านมาเกิดปัญหาเกี่ยวกับสัญญาการก่อสร้าง และข้อกฎหมาย โดยที่ผ่านมา กระทรวงการคลังเคยเสนอให้ที่ประชุม ครม. พิจารณาสั่งการให้ดำเนินโครงการดังกล่าวตามข้อเสนอของทางคณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการฯ โดยคณะกรรมการฯ ชุดนี้ก็มีมติเห็นควรให้แก้ไขสัญญาก่อสร้างและบริหารโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานในที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต

อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีคำสั่งให้กระทรวงการคลังรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาอีกครั้งให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน โดยยึดหลักความโปร่งใส เปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันของเอกชนที่มีศักยภาพ และภาครัฐได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสม อีกทั้งยังให้ทบทวนรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์โครงการอีกครั้ง โดยเฉพาะในส่วนของผลตอบแทนภาครัฐ โดยให้คำนึงถึงศักยภาพของพื้นที่เป็นสำคัญ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานอัยการสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

โดยให้นำเสนอผลการพิจารณาดังกล่าวตามขั้นตอนของพ.ร.บงร่วมทุนฯ ปี 2556 รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม. ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการเร่งรัดตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และไล่เบี้ยความเสียหายจากเอกชนคู่สัญญา ในกรณีที่ศาลปกครองสุงสุดได้มีคำพิพากษา ให้กรมธนารักษ์และกระทรวงการคลัง จ่ายค่าชดเชยฐานราก พร้อมดอกเบี้ยให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC) แทน บริษัท บางกอกเทอร์มินอล จำกัด (BKT) ให้แล้วเสร็จ ก่อนรายงานผลการดำเนินการต่อ ครม. ต่อไป

เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษา-พัฒนาเด็กปฐมวัย

นายจิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ โดยมีสาระสำคัญ เช่น

  • การให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการบริหารจัดการการศึกษา โดยให้อิสระในการบริหารและการจัดการศึกษาทั้งด้านการบริหารวิชาการ ด้านการบริหารงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารงานทั่วไป กำหนดให้สถานศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรีแต่ละสถานศึกษามีคณะกรรมการสถานศึกษา  และกำหนดให้มีสมัชชาการศึกษาระดับจังหวัดในแต่ละจังหวัดโดยให้จัดตั้งตามความพร้อมและความสมัครใจรวมตัวกันของภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานของรัฐ เพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการพัฒนาการศึกษาของจังหวัดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัด
  • การปฏิรูปครู กำหนดให้รัฐมีโครงการระยะยาวในการผลิตและพัฒนาครู มีวัตถุประสงค์ในการคัดกรองผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม สนับสนุนทุนการศึกษา และคัดเลือกสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพในการผลิตครูเพื่อให้ผู้รับทุนเข้าศึกษา เพื่อให้ได้ครูที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของประเทศ ซึ่งจะมีการกำหนดเงินเดือนและค่าตอบแทนใหม่ตามความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงการปฏิบัติงานที่มีความยากลำบาก หรือการปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เสี่ยงภัยหรือห่างไกล
  • กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

นอกจากนี้ ครม. ยังได้อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. …. โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจในการจัดทำนโยบายยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาเด็กปฐมวัย

ทั้งนี้ให้มีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่เป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย รายได้ของสำนักงาน อาทิ เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ เป็นต้น ให้รายได้ที่สำนักงานได้รับจากการดำเนินงาน เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ

และกำหนดให้มีระบบการพัฒนาเด็กปฐมวัย แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ (1) ช่วงก่อนคลอด หรือทารกในครรภ์มารดา (2) ช่วงแรกเกิด ถึงก่อนอายุสามปีบริบูรณ์ หรือช่วงวัยเด็กเล็ก (3) ช่วงอายุสามปีบริบูรณ์ ถึงก่อนอายุหกปีบริบูรณ์ หรือ ช่วงเด็กก่อนวัยเรียน หรือช่วงวัยอนุบาล (4) ช่วงอายุหกปีบริบูรณ์ ถึงก่อนอายุแปดปีบริบูรณ์ หรือ ช่วงวัยรอยต่อระหว่างวัยอนุบาลกับวัยประถมศึกษาปีที่หนึ่งถึงปีที่สอง

โดยให้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจจัดให้มีการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ การเลี้ยงดูบุตร การพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมทั้งให้มีหน้าที่และอำนาจจัดให้มีสวัสดิการแก่หญิงมีครรภ์ในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม และจัดให้มีบริการและสวัสดิการด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา และด้านสังคมอย่างมีคุณภาพแก่เด็กปฐมวัย หญิงมีครรภ์ และบุคคลในครอบครัวของเด็กปฐมวัยอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้การดำเนินงานของคณะกรรมการและสำนักงานในปีที่สามของวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการ มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานของคณะกรรมการและสำนักงานโดยคณะกรรมการประเมินซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ไฟเขียวประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สร้างอาชีพเสริมชาวนา

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และทบทวนการชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา โดยกำหนดในอัตราเบี้ยประกันไร่ละ 65 บาท รวมวงเงิน 130 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้เกษตรกร ใช้งบประมาณจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ในพื้นที่ 33 จังหวัด ครอบคลุมเกษตรกรผู้เอาประกันภัยจำนวน 150,000 ราย

โดยวงเงินคุ้มครองจากกรณีผลผลิตเสียหาย ได้แก่ กรณีเกิดความเสียหายจากน้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ หรือภัยจากช้างป่า ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศให้เป็นเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน จะได้รับวงเงินคุ้มครองจำนวน 1,500 บาทต่อไร่ ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดจากศัตรูพืชหรือโรคพืชระบาด จะได้รับวงเงินคุ้มครองจำนวน 750 บาทต่อไร่

สำหรับการทบทวนการชดเชยอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส. เดิม ครม. อนุมัติสนับสนุนดอกเบี้ยให้เกษตรกรในอัตรา 3.0% ต่อปีโดยจ่ายให้กับ ธ.ก.ส. เนื่องจาก ธ.ก.ส. แจ้งว่าช่วงนี้เป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น จึงขอปรับเพิ่มดอกเบี้ยเป็น 4% ต่อปี ดังนั้นรัฐบาลจะชดเชยให้เกษตรกรในอัตรา 3.99% ขณะที่เกษตรกรยังคงจ่ายสมทบในอัตราดอกเบี้ย 0.01% เหมือนที่อนุมัติในครั้งแรก รวมวงเงินที่รัฐบาลชดเชย 79.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 19.8 ล้านบาท

ผ่านร่าง พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แก้คดีล้นศาล

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมนำเสนอ เพื่อลดจำนวนคดีในชั้นศาล โดยมีสาระสำคัญ เป็นการตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการ ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยมีการกำหนดขอบเขต เช่น คดีแพ่งต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ หรือคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่วนคดีอาญานั้นต้องเป็นความผิดอันยอมความได้ เป็นความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา

นอกจากนี้ ในกรณีผู้ที่ทำความผิดที่มีโทษปรับเพียงเล็กน้อย แต่ต้องมีการประทับลายมือ จะถูกบันทึกไว้ในทะเบียนประวัติอาชญากรรมทันที ซึ่งจะส่งผลให้ไม่สามารถเข้าประมูลงานของหน่วยงานรัฐได้ หรือการสมัครเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระได้ โดยกรณีนี้ได้ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ปรับแก้ไข เพื่อให้กฎหมายเกิดประสิทธิภาพ

อนึ่งผ่านมามีการพยายามเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจากทั้งกระทวงยุติธรรม และศาลมาแล้ว 3 ฉบับ นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปพิจารณาเรื่องดังกล่าว

“พบว่าที่ผ่านมาการออกกฎหมายเรื่องดังกล่าวยังไม่สำเร็จ เนื่องจากแต่ละหน่วยงานอยากจะมีส่วนร่วม แต่ศาลไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นการตัดอำนาจของศาล อาจมีการเรียกรับผลประโยชน์ และทำให้ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของ สตช. กระทรวงมหาดไทย สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง ครม. ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วและอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เข็นโครงการเคหะกตัญญู รองรับสังคมผู้สูงอายุ

พล.ท. สรรเสริญ กล่วว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการจัดทำที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ จำนวน192 หน่วย เงินลงทุนประมาณ 417 ล้านบาท เป็นเงินกู้ภายในประเทศ 335 ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ 81 ล้านบาท โดยใช้ที่ดินประมาณ 40 ไร่ ที่อยู่ในการดูแลของการเคหะแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี

โดยรูปแบบโครงการเป็นบ้านแฝดชั้นเดียวขนาด 38 ตารางวา จำนวน 76 หน่วย บ้านแฝดสองชั้นขนาด 39 ตารางวาจำนวน 18 หน่วย และบ้านแฝดสองชั้นขนาด 42 ตารางวาจำนวน 48 หน่วย ราคาขายเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาทเศษโดยกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนณปี 2561 ต่อเดือน 59,701 บาท อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งจะตอบโจทย์สำหรับครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการเตรียมตัวเองจะเป็นผู้สูงอายุในวันข้างหน้า

“รัฐมีนโยบายที่จะดูแลผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางซึ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเราได้ดูแลไปแล้วแนวคิดการออกแบบโครงการดังกล่าวจะต้องตอบโจทย์สำหรับการดูแลผู้สูงอายุในวันข้างหน้าโดยเส้นทางขึ้นลงต่างๆต้องมีความลาดเอียงเพื่อให้สะดวกในการขึ้นลงหรือมีพื้นที่ต่างระดับกันไม่เกิน 2-2.5 เซนติเมตร ซึ่งจะมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมายแต่จะใช้สำหรับดูแลผู้สูงอายุได้จริงๆ” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เห็นชอบ กกต. เชื่อมข้อมูลภาพถ่าย มท. ป้องกันทุจริตเลือกตั้ง

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอขอ เพื่อป้องกันการทุจริตการเลือกตั้งโดยการนำบัตรประชาชนของบุคคลอื่นมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งแทนเจ้าของบัตร ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งการนำบัตรไปใช้โดยตรง หรือนำไปเปลี่ยนรูปเป็นคนที่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแทน ซึ่งเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งไม่มีเวลาที่จะตรวจสอบได้ทัน

“ที่ผ่านมา กกต. มีการเชื่อมโยงข้อมูลจากกระทรวง ทบวง กรม กับกระทรวงมหาดไทย แต่จะเป็นการเชื่อมโยงเกี่ยวกับทะเบียนบ้าน ทะเบียนคนเกิด ทะเบียนคนตาย ทะเบียนประวัติ แต่ไม่รวมถึงข้อมูลภาพใบหน้าของประชาชน ดังนั้น กกต.จึงต้องมาขออนุมัติให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลใบหน้า เพราะตอนนี้กำลังจะเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้งแล้ว นับเป็นอีกมิติหนึ่งที่จะทำให้การเลือกตั้งมีความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากขึ้น และป้องกันการโกงได” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ตั้ง “สนิท อักษรแก้ว” นั่ง ปธ. สศช. แทน “ดร.กบ”

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงดังนี้

  • เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรม เสนอ 1. แต่งตั้ง นางกิ่งกาญจน์ บุญประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง 2. แต่งตั้ง พ.ต.อ. ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง 3. แต่งตั้ง พ.ต.ท. วรณพงษ์ คชรักษ์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
  • ชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ขอให้ นายสนิท อักษรแก้ว พ้นจากการเป็นกรรมการในคณะกรรมการ สศช. และแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมดังกล่าว แทน นายอำพล นิติอำพล ประธานกรรมการเดิมที่ลาออก
  • เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ 1. แต่งตั้ง นายวราวุธ ชูธรรมธัช รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง 2. แต่งตั้ง นางอุมาพร พิมลบุตร รองอธิบดีกรมประมง ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง และ 3. แต่งตั้ง นายปราโมทย์ ยาใจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
  • เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอให้ นายธีระพงษ์ รอดประเสร็ฐ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม ที่จะครบวาระตำแหน่ง 1 ปี ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2561 คงอยู่ปฏิบัติหน้าที่อีกหนึ่งวาระ
  • เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แต่งตั้ง นายสมพงษ์ ปรีเปรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่อัตราเดือนละ 470,000 บาท ตามที่กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบแล้ว

ครม.สัญจร เชียงราย-พะเยา 29-30 ต.ค.นี้

พ.อ.หญิง ทักษดา ล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีกำหนดในการเดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่ จ.พะเยา และเชียงราย ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2561 โดยวันที่ 29 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยัง จ.พะเยา จากนั้นพบปะกับพี่น้องประชาชนที่ลานอเนกประสงค์เทศบาลเมืองพะเยาและเป็นประธานในพิธีมอบสมุดประจำตัวผู้ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลในลักษณะแปลงรวม

จากนั้นจะเดินทางไปเยี่ยมชมตลาดประชารัฐและศูนย์ฮอมฮักเพื่อดูแลสุขภาพผู้สูงอายุผู้พิการ และผู้ป่วยเรื้อรัง ก่อนที่จะเดินทางไปตรวจดูประตูระบายน้ำกว๊านพะเยาเยี่ยมศูนย์วิจัย และพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยาเพื่อตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างฝายพับได้ภายใต้โครงการกว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน จากนั้นในช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปยังจังหวัดเชียงรายเพื่อพบกับประชาชนที่หมู่บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และจะมีการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 2 ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และในเวลา17.00น.นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปยังศูนย์แพทย์ศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการศูนย์รังสีรักษา

ในวันที่ 30 ตุลาคม ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมครม.จะเป็นการถ่ายภาพร่วมกันที่วัดพระแก้ว ต.เวียง อ.เมืองเชียงรายจ.เชียงราย และจะมีการสักการะพระแก้วมรกตเข้านมัสการเจ้าอาวาสวัดพระแก้วด้วยหลังจากนั้นเวลา 08.30 น. นายกฯ เริ่มเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ห้องประชุมแสนหวีหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชาชภัฏเชียงรายและเวลา 10.30 น. จะเป็นการประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 8/ 2561 และเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมแล้วนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับ กทม.

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2561 เพิ่มเติม