ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กป้อม” ยันไม่เลื่อนเลือกตั้ง – หนุน “ลุงตู่” นั่งนายกฯ ต่อ – มติ ครม. คลายล็อค “กัญชา” ทดลองใช้ทางการแพทย์ 5 ปี

“บิ๊กป้อม” ยันไม่เลื่อนเลือกตั้ง – หนุน “ลุงตู่” นั่งนายกฯ ต่อ – มติ ครม. คลายล็อค “กัญชา” ทดลองใช้ทางการแพทย์ 5 ปี

13 พฤศจิกายน 2018


พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแทน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่เดินทางไปเช้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2561

ยันไม่เลื่อนเลือกตั้ง – หนุน “บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ ต่อ

พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้หารือในเรื่องเก่าๆ เช่น การติดตามงานต่างๆ ตามที่นายกฯ ได้สั่งการไว้แล้ว แม้นายกฯ จะเดินทางไปต่างประเทศก็ตาม ทั้งนี้ ไม่ได้หารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง มีเพียงการดูแลความปลอดภัยในช่วงลอยกระทง ส่วนกรณีที่ 3 รัฐมนตรีไปร่วมกิจกรรมรับสมาชิกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้นไม่ใช่เรื่องของ คสช. เพราะ คสช. ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพียงแต่ดูแลความสงบเรียบร้อย

เมื่อถามถึงกรณีที่หลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเล็ก ไม่พร้อมเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ. ประวิตร ระบุว่า ตนไม่ทราบ และฝ่ายความมั่นคงก็ไม่ทราบ พรรคการเมืองจะมาบอกตนหรือว่าไม่พร้อม โดยยืนยันว่าเรื่องความมั่นคงนั้นไม่มีผลต่อการเลื่อนการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนที่ตนไม่รู้ ก็ถือว่าไม่รู้ เพราะเป็นสถานการณ์ข้างหน้า แต่ปัจจุบันสิ่งต่างๆ ยังเรียบร้อยดี

เมื่อถามว่าหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่พร้อมจัดการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะทำอย่างไร พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า กกต. บอกว่าพร้อมจัดเลือกตั้งตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป ตนตอบตามที่ กกต. พูด ซึ่งได้ดูจากโทรทัศน์ ยืนยันอีกครั้งว่าขณะนี้ไม่มีปัจจัยอะไรทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป

เมื่อถามว่าสัปดาห์ก่อนท่านระบุหากมีเหตุการณ์นอกเหนือการควบคุม อาจเลื่อนการเลือกตั้งออกไป พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้พูดอย่างนั้น สื่อไปพูดเอง

เมื่อถามว่าส่วนตัวสนับสนุนให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ตนยังคงสนับสนุนให้ พล.อ. ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งการเข้าสู่ตำแหน่งจะเป็นไปตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ปฏิเสธที่จะให้ความชัดเจนว่าขณะนี้มีพรรคการเมืองใดทาบทาม พล.อ. ประยุทธ์ แล้วหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ พล.อ. ประยุทธ์ เอง และส่วนตัวยังไม่ได้สนใจหรือศึกษานโยบายของพรรคการเมืองใด

สั่ง ตำรวจ – ทหาร สกัดขบวนการลักลอบนำเข้าของหนีภาษี – น้ำมันปาล์ม

พล.อ. ประวิตร ตอบคำถามกรณีประชาชนร้องเรียนร้านธงฟ้าประชารัฐ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำน้ำมันปาล์มสำเร็จรูปบรรจุขวดจากมาเลเซียมาจำหน่าย ว่า ขณะนี้ได้เน้นย้ำเรื่องการลักลอบน้ำมันปาล์มนำเข้า ซึ่งทางตำรวจสามารถจับได้เยอะ

“ส่วนที่มีข่าวว่าเข้าที่ไหน ขอให้พาไปหน่อย อย่าเพียงแต่พูดไปเรื่อย บอกมาจะสั่งให้ไปทันที ข่าวมาจากไหน หนังสือพิมพ์หรือ อยากเขียนอะไรก็เขียน ตอนนี้สั่งทั้งตำรวจน้ำและทหารเรือ การป้องกันลักลอบของหนีภาษีทั้งหมด รวมถึงน้ำมันปาล์มด้วย เราพยายามป้องกันเต็มที่โดยเฉพาะยาเสพติดให้โทษ” พล.อ. ประวิตร กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัฒน์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา) ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

คลายล็อค “กัญชา” ทดลองใช้ทางการแพทย์ 5 ปี สธ.ออกใบอนุญาต – ป.ป.ส.คุม พื้นที่ปลูก

พล.อ. ประวิตร ระบุถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. …. ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ “คลายล็อกกัญชา” ยังไม่ใช่การปลดล็อก เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดในประเภท 5 เพียงแต่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษาในเรื่องของการรักษาโรค ว่าควรจะจำกัดจำนวนในการใช้ ซึ่งจะใช้เป็นบทเฉพาะกาลในระยะเวลา 5 ปีก่อน ซึ่งจะต้องส่งกลับไปให้ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวจะออกทันภายในรัฐบาลนี้

ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ นี้ได้รับการเสนอโดย สนช. ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ครม. ได้รับร่างกฎหมายดังกล่าวมาพร้อมทำความเห็นก่อนส่งให้ สนช. ไปพิจารณาอีกครั้ง โดยมีสาระสำคัญในการปรับแก้ให้สามารถนำ “กัญชา” มาใช้รักษาโรคได้ ดังนี้

  1. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตสามารถ ผลิต นำเข้า หรือส่งออก ยาเสพติดประเภท 5 ได้ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ
  2. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 17 ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ได้
  3. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 18 โดยยกเว้นให้มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ไว้ในครอบครองในจำนวนที่จำเป็นสำหรับรักษาโรคเฉพาะตัว หรือสำหรับใช้ปฐมพยาบาล หรือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งระหว่างประเทศได้
  4. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19 โดยเป็นการเพิ่มอำนาจของผู้อนุญาตให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ 5 แก่ผู้ขออนุญาต
  5. เพิ่มมาตรา 19/1 ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีอำนาจกำหนดเขตพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชที่เป็น หรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษปรพเภท 5 ในปริมาณที่กำหนด โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและต้องมีมาตรการควบคุมตรวจสอบด้วย
  6. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 26 โดยให้ตัดยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ออกจากบทบัญญัติห้ามผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก และการมีไว้ในครอบครอง รวมถึงการกำหนดปริมาณยาเสพติดประเภท 5 ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อครอบครองจำหน่ายออก และนำไปใช้กับมาตราอื่นด้วย
  7. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 27 โดยกำหนดห้ามไม่ให้ผู้ได้รับอนุญาตจำหน่ายนำยาเสพติดให้โทษปรเภท 5 ออกนอกสถานที่ที่ระบุไว้ในอนุญาต
  8. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 28 เพิ่มหน้าที่ของผู้รับอนุญาตในการจัดเก็บรักษายาเสพติด และหน้าที่ที่ต้องกระทำเมื่อยาเสพติดถูกโจรกรรม สูญหาย หรือถูกทำลาย
  9. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 ให้ผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาตสามารถโฆษณายาเสพติดให้โทษประเภท 5 ได้ และกำหนดหลักเกณฑ์ในการโฆษณาฉลากหรือเอกสารกำกับที่ภาชนะบรรจุ
  10. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 60 กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตที่ประสงค์จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดประเภท 5 เกินปริมาณกำหนด ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาต
  11. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 61 กำหนดหน้าที่ และอำนาจของทายาท หรือผู้จัดการมรด ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตฯ เสียชีวิตก่อนใบอนุญาตหมดอายุ
  12. แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 76 และ มาตรา 76/1 ในการกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้

นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากที่ผ่านมามีผลการวิจัยว่าสารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ และใน 26 ประเทศได้มีการผ่อนปรน อนุญาตให้ประชาชนนำกระท่อมและกัญชามาใช้ทางการแพทย์หรือเพื่อสันทนาการได้ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม

“สำหรับประเทศไทย กระท่อมและกัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีโทษทั้งผู้เสพและผู้ครอบครอง ขณะที่ความจริงมีผู้ป่วยบางส่วนลักลอบใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมานานแล้ว ทำให้มีราคาแพงและอาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ จึงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สามารถนำกัญชาและกระท่อมไปทำการศึกษาวิจัย และใช้รักษาโรคภายใต้การควบคุมของแพทย์ได้”

“ครม. ทบทวนแล้วมีการเพิ่มเติมให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่ควบคุมในการใช้ประโยชน์จากกัญชาเป็นระยะเวลา 5 ปีก่อน จากที่ สนช. เสนอมาไม่มีการควบคุมระยะเวลา เนื่องจาก ครม. เห็นว่าในระยะเวลา 5 ปีแรกควรมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะปรับให้เกิดความเหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งในหลักการและเหตุผลของการอนุญาตนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้พิจารณา ส่วน ป.ป.ส. จะเป็นหน่วยงานในการควบคุมด้านพื้นที่ ซึ่ง ป.ป.ส. อาจประกาศให้ท้องที่ใดสามารถเสพกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมายได้” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

เห็นชอบมาตรการอุ้มราคาปาล์ม – สั่งแก้ยางพาราใน 7 วัน

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม. คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำ สรุปสาระสำคัญดังนี้

  1. โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจึงมีข้อเสนอให้มีการนำน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มในประเทศ จำนวน 160,000 ตัน
  2. ขยายระยะเวลาส่งออกจากปกติจะสิ้นสุดประมาณเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นเดือนพฤษภาคม 2562 พร้อมทั้งขอเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้เงินงบกลางในโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ภายในวงเงิน 525 ล้านบาท ตามมติ กนป. ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับกระทรวงพลังงาน โดยปัจจุบันมีการเร่งเจรจาเพื่อส่งออกไปยังสเปนอยู่คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2 เดือนนี้
  3. มาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่และมาตรการจูงใจให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์ขนาดเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล (บี 7) จากอัตราส่วนผสมร้อยละ 6.5-7.0 เป็นร้อยละ 6.8-7.0 ซึ่งส่งผลให้มีการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นปีละ 80,000 ตัน นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางส่งเสริมและมาตรการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถบรรทุกและรถยนต์ขนาดเล็ก
  4. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 1 กรมการค้าภายในเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ ตามร่างองค์ประกอบที่นำเสนอ กนป. รวม 13 คน โดยให้เพิ่มองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการฯ จำนวน 4 ท่าน ตามความเห็นของประธาน กนป. และกรรมการ กนป. คือ ผู้แทน กอ.รมน. จำนวน 1 ท่าน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน 3 ท่าน รวม 17 ท่าน

ทั้งนี้ คาดว่าราคาปาล์มน้ำมันจะปรับตัวจาก 2.6 บาทในปัจจุบันเป็น 3.1 บาทในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้สั่งการไปถึงปัญหายางพาราที่ตกต่ำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งให้มาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วนภายใน 7 วัน ซึ่งปัจจุบันได้หารือมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประกันราคา การลดต้นทุน การหาสินค้าปลายทางที่จะนำยางไปใช้ หรือให้หน่วยราชการนำยางไปใช้เพิ่มเติม

ผ่านร่างพ.ร.บ.ยา ตั้งผู้เชี่ยวชาญ ช่วย อย. ตรวจ – รับรองบัญชี

นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมท้ายร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค และมีการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณา ซึ่งประกอบด้วยบทบัญญัติที่ปรับแก้ไขจากพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เช่น แก้ไขนิยามศัพท์คำว่า “ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ” ให้ครอบคลุมผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์

ซึ่งต่อไปสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายไม่ต้องนำส่งค่าขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้แก่คลัง และให้นำมาบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้ดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีความรวดเร็วการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง

มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้รับอนุญาตต้องยื่นเอกสารการได้มาซึ่งสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรในกรณีเป็นยาที่ได้รับสิทธิบัตรตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรประกอบคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยา แก้ไขเพิ่มเติมให้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยามีอายุ 5 ปีนับแต่วันที่ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับและวิธีการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ สำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการศึกษาวิจัยยา และผู้ที่ต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเกินระยะเวลาที่กำหนด

รวมถึงแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ เช่นค่าธรรมเนียมขึ้นทะเบียนยาจากเพดานสูงสุดที่ 10,000 บาทเป็นสูงสุด 50,000 บาท หรือค่าธรรมเนียมขอเปิดร้านขายยาจากสูงสุด 3,000 บาทเป็นสูงสุด 5,000 บาท ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะออกเป็นประกาศถึงเหตุผลและรายละเอียดการจัดเก็บอีกครั้ง

“สาระสำคัญนั้นที่ผ่านมาใครจะขึ้นบัญชียาต้องผ่าน อย. การแก้ไขกฎหมายจะทำให้ อย. มีสิทธิในการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานรัฐหรือเอกชน ทำหน้าที่กลั่นกรองบัญชีใหม่ๆ เพราะที่ผ่านมากระบวนการช้าในเรื่องของการตรวจสอบ การรับรองมาตรฐาน แหล่งผลิต การแก้ไขกฎหมายจะทำให้ความรวดเร็วในการรับรองบัญชียาจะเร็วขึ้น แต่สุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจาก อย. ทั้งหมด” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

เมื่อถามว่าร่างแก้ไข พ.ร.บ. ก่อนหน้านี้เหมือนจะมีการเปิดกว้างให้ร้านสะดวกซื้อขายยาได้ด้วย นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า นั่นคือการเสนอเข้ามาตอนแรกที่จะนำเข้ามา ก็มีการเขียนให้ผู้ประกอบการการยาได้กว้างขึ้น แต่จากความวิตกกังวลของประชาชน ครม. ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องไปร่าง พ.ร.บ.ยาขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการยกและตัดมาตรานั้นออกไปทั้งหมด

“สิ่งที่เป็นกังวลอยู่จะไม่มีใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ จึงมีเฉพาะที่จำเป็นและน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาของ พ.ร.บ. และบัญชียาให้ทันสมัยรวดเร็วขึ้น ในสิ่งที่กังวลไม่ได้มีบรรจุอยู่ใน พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ ซึ่งเคยอยู่ในมาตรา 22 ตอนนี้ตัดออกไปทั้งหมดแล้ว” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

คลอด 4 มาตรการ กระตุ้นท่องเที่ยว

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ระยะเวลา 2 เดือน ดังนี้

    1. โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 – วันที่ 15 มกราคม 2562 รวมทั้ง การเปิดให้บริการพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวในการคืนภาษี (VAT Refund) ในพื้นที่ย่านแหล่งท่องเที่ยว หรือห้างสรรพสินค้าสำหรับการซื้อสินค้าออกนอกราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมสรรพากร เรื่องการแต่งตั้งตัวแทนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายรักษารายได้ทางการท่องเที่ยว ไม่ให้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2562 คือรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 12 (ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท)

    2. การเพิ่มความถี่ของการเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางที่ขอรับการตรวจลงตราแบบสามารถเดินทางได้ครั้งเดียว (Single Entry Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จากเดิมที่สามารถเดินทางได้ 1 ครั้ง เป็นสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ 2 ครั้ง (Double Entries Visa) ภายใน 6 เดือน โดยคิดค่าธรรมเนียมอัตราเดิม คือคนละ 1,000 บาทโดยกำหนดระยะเวลาการขอรับการตรวจลงตราที่สถานทูตเป็นระยะเวลา 2 เดือน

    3. การให้อนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) แบบอนุญาตครั้งเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวีซ่าอยู่แล้ว (ทั้งแบบ TR และ VoA) โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทยสามารถกลับเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก โดยไม่ต้องขออนุญาตอีกครั้ง และสามารถรักษาสิทธิ์การอยู่ในประเทศไทยตามระยะเวลาคงเหลือที่กำหนดในวีซ่าเดิม

    4. แก้ไขหลักการกฎกระทรวงมหาดไทยในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 30 วัน (ผ.30) ซึ่งจะเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือด่านพรมแดนที่เป็นเขตติดต่อกับพรมแดนทางบก สามารถเข้ามาในประเทศไทยด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปีปฏิทิน จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2559 ว่าไม่เกินปีละ 2 ครั้ง

ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2560 มีจำนวนเกือบ 5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 3.01 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 ประกอบกับปัจจุบันมีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่อาศัยและทำงานในประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อการช้อปปิ้งพักผ่อนหย่อนใจ การแข่งกีฬาหรือชมการแข่งขัน รวมทั้งการเดินทางเข้ามาดูแลรักษาสุขภาพ

ไฟเขียว ขรก. อุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลฯ ไม่นับเป็นวันลา

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่นับเป็นวันลา ได้รับเงินเดือนปกติ ไม่กระทบกับสิทธิการลาอุปสมบทในอนาคต ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้อุปสมบทได้แสดงความจงรักภักดี รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และได้ศึกษาเรียนรู้หลักคำสอนทางพุทธศาสนานำไปใช้ประโยชน์เป็นหลักประพฤติในชีวิตประจำวันและการปฏิบัติงาน โดยจะมีพิธีบรรพชาอุปสมบทและจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ที่สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล

โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-29 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งโครงการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วม 90 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ 78 คน ใช้งบรายจ่ายประจำปี 2562 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 12 ล้านบาท และ จากภาคเอกชน 12 คน โดยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางเอง

รณรงค์ลอยกระทงปีนี้ “1 ครอบครัว 1 กระทง”

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปีพุทธศักราช 2561 ในระหว่างวันที่ 16-25 พฤศจิกายน 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ำและสิ่งแวดล้อม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ

สำหรับแนวทางและมาตรการรณรงค์ในประเพณีลอยกระทง 2561 มี โดยได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น การกำหนดไม่เล่นพลุและดอกไม้ไฟในที่ชุมชน ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจร ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชน ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามแนวทางของประเพณีที่เหมาะสม เช่น ประดิษฐ์กระทงร่วมกันในครอบครัวและในชุมชน รวมทั้งขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ จัดกิจกรรม เช่น การละเล่นและการแสดงทางวัฒนธรรมตามประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และส่งเสริมให้การใช้วัสดุจากธรรมชาติและย่อยสลายง่ายมาประดิษฐ์กระทง และรณรงค์แนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง”

ทั้งนี้ได้มีแนวทางการดำเนินงานของส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุมบูรณาการประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ได้กำชับให้ทุกจังหวัดดำเนินการตามแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งพิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ตลอดจนจัดทำแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงประเพณีลอยกระทง ด้านสำนักงานตรวจแห่งชาติ จะจัดให้มีความเข้มงวดในการรักษาความสงบในแต่ละพื้นที่ และพร้อมใช้แผนเผชิญเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก

สำหรับกระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ได้มีการกำหนดเขตควบคุมการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ห้ามเรือเดินทะเล เรือลำเลียง เรือบรรทุกสินค้าอันตราย เรือน้ำมัน และเรือลากจูง ผ่านเขตควบคุมการเดินเรือในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เวลา 16.00-24.00 น. รวมทั้งตั้งศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางน้ำและศูนย์อำนวยความสะดวกพร้อมดูแลความปลอดภัยทางน้ำ บริเวณท่าเทียบเรือที่มีการใช้บริการหนาแน่น และเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง

ด้านกระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานปลัด วธ.) สนับสนุนการจัดงานระหว่างวันที่ 16-25 พ.ย. 2561 โดยจัดกิจกรรม เช่น การเผาเทียนเล่นไฟ การแสดงทางวัฒนธรรม และการแสดงพื้นบ้าน เป็นต้น จัดกิจกรรมประเพณีลอยกระทงอาเซียน เวียดนาม ลาว และไทย โดยเน้นสืบสานและรักษาคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) ประชาสัมพันธ์และบริการให้ข้อมูลประชาชนในการส่งเสริมการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาผลิตกระทง และรณรงค์ให้ใช้กระทงร่วมกันเพื่อลดปริมาณขยะ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆ ของทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 เพิ่มเติม