ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “‘ศิริโชค-เทพไท-ชวนนท์’ ร่อนจดหมายสำนึกผิด ขอโทษ ‘ยิ่งลักษณ์’ ปม ‘ว.5 โฟร์ซีซันส์’ และ “จีนสั่ง ฟ่าน ปิงปิง จ่าย 4,200 ล้าน ฐานเลี่ยงภาษี”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “‘ศิริโชค-เทพไท-ชวนนท์’ ร่อนจดหมายสำนึกผิด ขอโทษ ‘ยิ่งลักษณ์’ ปม ‘ว.5 โฟร์ซีซันส์’ และ “จีนสั่ง ฟ่าน ปิงปิง จ่าย 4,200 ล้าน ฐานเลี่ยงภาษี”

6 ตุลาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 ก.ย. – 5 ต.ค. 2561

  • “ศิริโชค-เทพไท-ชวนนท์” ร่อนจดหมายสำนึกผิด ขอโทษ “ยิ่งลักษณ์” ปม “ว.5 โฟร์ซีซันส์” ด้านอดีตนายกฯ “เมตตา” ถอนฎีกา
  • ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง “แทน เทือกสุบรรณ และพวก” คดีเขาแพง
  • ผู้ว่าฯ รฟม. เผย เจรจาบีอีเอ็ม เลื่อนขึ้นค่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไป 15 พ.ย. 2561
  • “คลัง” ยัน ไม่เห็นร่าง กม.เพิ่มภาษีบุหรี่
  • จีนสั่ง ฟ่าน ปิงปิง จ่าย 4,200 ล้าน ฐานเลี่ยงภาษี
  • “ศิริโชค-เทพไท-ชวนนท์” ร่อนจดหมายสำนึกผิด ขอโทษ “ยิ่งลักษณ์” ปม “ว.5 โฟร์ซีซันส์” ด้านอดีตนายกฯ “เมตตา” ถอนฎีกา

    นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

    เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Leky Sopha” เขียนจดหมายเปิดผนึก ลงวันที่ 5 ต.ค. 2561 ระบุว่า

    “ตามที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องข้าพเจ้าทั้งสามคน คือ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ที่ 1 นายศิริโชค โสภา ที่ 2 และนายเทพไท เสนพงศ์ ที่ 3 เป็นจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาทปรากฏตามคดีหมายเลขดำที่ อ.630/2557 และคดีหมายเลขแดงที่ อ.2708/2558 โดยวิธีการโฆษณาด้วยการดำเนินรายการสายล่อฟ้า ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องบลูสกาย ในขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์

    แต่ข้าพเจ้านายศิริโชค โสภา กับพวกดังกล่าวได้จัดรายการโดยนำป้ายที่ใช้แขวนหน้าห้องพักของโรงแรม ปรากฏข้อความว่า “เอาอยู่” มานำเสนอในรายการแล้วพูดประกอบว่า “ห้องนี้เอากันอยู่หรือแขกก็เอากันอยู่ อ๊ะๆๆๆๆ และปูโฟร์ซีซั่นส์ ปู ว.5 ปูเอาอยู่ เยอะมากๆ นะฮะ คำกล่าวขานท่านนายกฯเนี่ย” ข้อความและการกระทำของข้าพเจ้ากับพวกดังกล่าว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าการกระทำดังกล่าวของข้าพเจ้ากับพวกทั้งสามคนเป็นความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 50,000 บาท ขณะนี้ข้าพเจ้ากับพวกได้ฎีกาคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง และศาลฎีกาได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 ตุลาคม 2561 เวลา 09.30 นาฬิกา

    ข้าพเจ้านายศิริโชค โสภากับพวกอีกสองคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยเป็นสามคนเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ว่า “ข้อความและการกระทำของพวกข้าพเจ้าดังกล่าว เป็นการหมิ่นประมาทนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในฐานะส่วนตัวจริง ข้อความและป้ายดังกล่าวที่นำมาประกอบนั้นไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง

    บัดนี้ ข้าพเจ้ากับพวกรวมสามคนคือ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต จำเลยที่ 1 นายศิริโชค โสภา จำเลยที่ 2 และนายเทพไท เสนพงศ์ จำเลยที่ 3 ได้สำนึกผิดแล้ว และขออภัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ให้อภัยต่อข้าพเจ้า และได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาให้กับข้าพเจ้ากับพวก ทำให้ข้าพเจ้ากับพวก หลุดพ้นจากคดีนี้ ข้าพเจ้ากับพวกทั้งสามคนขอขอบคุณ และถือโอกาสนี้แจ้งข่าวให้เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไป”

    เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่า หลังจากมีการเผยแพร่จดหมายดังกล่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มอบหมายให้นายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ไปยื่นถอนฎีกาคดีดังกล่าวจากศาลฎีกา พร้อมทั้งรายงานถึงการเปิดเผยของคนใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ให้อภัยและเมตตาต่อทั้งสามคน และไม่อยากทำลายอนาคตทางการเมือง เพราะหากศาลฎีกาตัดสินว่าทั้งสามคนมีความผิดจริง นอกจากต้องโทษจำคุกแล้วก็ยังขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และยังต้องถูกตัดสิทธิทาางการเมืองอีก 5 ปีด้วย

    ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง “แทน เทือกสุบรรณ และพวก” คดีเขาแพง

    ที่มาภาพ: สำนักข่าวอิศรา (http://bit.ly/2OG6OnV)

    เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2561 ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร ผู้จัดการ หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น ในฐานะนายหน้าขายที่ดิน นายแทน เทือกสุบรรณ (บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นักการเมืองชื่อดัง) และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 กรณีร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครองป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

    ศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เนื่องจากการนำสืบของอัยการไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำผิดจริง ยกประโยชน์ให้จำเลย การที่ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด

    สำหรับรายละเอียดโดยสรุปในการพิพากษาคดีดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ ระบุว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ 3 (นายแทน) และจำเลยที่ 4 (นายบรรเจิด) กระทำผิดตามฟ้อง มีพฤติการณ์สร้างอ่างเก็บน้ำบุกรุกที่ดินของรัฐจริงหรือไม่นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานต่าง ๆ ทั้งการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เบิกความ ไม่สามารถระบุได้ชัดว่าที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าจริงหรือไม่ ขณะเดียวกันจำเลยที่ 3 ได้ยื่นฟ้องประเด็นการออกเอกสารสิทธิดังกล่าวต่อศาลปกครอง จ.นครศรีธรรมราช แล้ว คดีอยู่ระหว่างพิจารณา ขณะที่การนำสืบของฝ่ายโจทก์ (อัยการ) ที่มีหน้าที่พิสูจน์ความผิดของจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งการกระทำความผิดทางอาญาจะต้องพิสูจน์ให้ปราศจากข้อสงสัย แต่ฝ่ายโจทก์นำสืบคลุมเครือ พยานหลักฐานไม่ชัดเจนว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของรัฐ เมื่อพิสูจน์ไม่ได้จึงยกประโยชน์ให้กับจำเลย พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 และ 4

    ส่วนจำเลยที่ 1 (นายพรชัย) และจำเลยที่ 2 (นายสามารถ) พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1-2 กระทำความผิดอย่างไร ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยที่ 1-2 ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างบุกรุกพื้นที่ป่า หรือที่ดินของรัฐอย่างไร ส่วนหลักฐานที่ว่า หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น ไม่ได้นำส่งงบดุลเกี่ยวกับการได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าว ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า มีการบุกรุกพื้นป่าดังกล่าวจริง เห็นว่าคำอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษายกฟ้อง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2559 ที่ผ่านมา ศาลอาญา มีคำพิพากษาจำคุก นายพงษ์ชัยและนายสามารถ หรือโกเข็ก จำเลยที่ 1-2 รายละ 5 ปี ส่วนนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 ลงโทษความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด จำคุกรายละ 3 ปี โดยนายแทน ได้รับการประกันตัว 500,000 บาทระหว่างการอุทธรณ์ต่อสู้คดี ส่วนจำเลยอีก 3 คนได้ประกันตัวด้วยวงเงิน 500,000-800,000 บาท ศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลด้วย

    สำหรับพฤติการณ์ของคดีโดยสรุปคือ ระหว่างวันที่ 27 ก.ย. 2543-5 ต.ค. 2544 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ่วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตารางวาโดยจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยชั้นพิจารณาคดีจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

    ทั้งนี้ในชั้นศาลอาญา พิพากษาจำคุกโดยไม่รอการลงโทษจำเลยทั้ง 4 ราย เพราะเห็นว่า ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะต้องร่วมกันหวงแหน บำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้เป็นของส่วนตัวแก่ผู้ใด ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้ง 4 ราย มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ทั้งโดยตรงและทางอ้อม อันเป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง และภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง นอกจากนี้ศาลยังสั่งให้ จำเลยทั้ง 4 ราย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลย ออกจากที่ดินและป่าไม้บริเวณที่เกิดเหตุด้วย 

    “คลัง” ยัน ไม่เห็นร่าง กม.เพิ่มภาษีบุหรี่

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    ต่อกรณีที่มีกระแสข่าวกระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.จัดเก็บเงินสมทบ เพื่อสนับสนุนการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการภาครัฐในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. …. ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาเร็วๆนี้ โดยเสนอให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร เก็บเงินสมทบจากผลิตภัณฑ์ยาสูบมวนละ 10 สตางค์ หรือ ซองละ 2 บาท ส่ง “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำไปจัดสรรให้โรงพยาบาลในเขตพื้นที่เฉพาะหรือพื้นที่ยากลำบาก ซึ่งได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลไม่เพียงพอ

    เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่านายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “ขณะนี้ตนยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าวจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตามมาตรา 25 และ 26 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ 2561 ก่อนนำเสนอให้ที่ประชุม ครม. ต้องผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน ตอนนี้ตนยังไม่เห็นเรื่องเลย”

    ส่วนกรณีที่มีผู้ประกอบการมีความคิดเห็นว่าร่างกฎหมายฯดังกล่าวไม่เป็นธรรม เนื่องจากให้กรมศุลกากรหรือกรมสรรพสามิตจัดเก็บเงินสมทบเฉพาะยาสูบเท่านั้น แต่ไม่ได้เก็บสุรา เหมือนหลักการจัดเก็บเงินบำรุงทั่วไป (earmarked tax) นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นร่างกฎหมายฯ ดังกล่าวจากกระทรวงสาธารณสุขเลย

    ผู้ว่าฯ รฟม. เผย เจรจาบีอีเอ็ม เลื่อนขึ้นค่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไป 15 พ.ย. 2561

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (http://bit.ly/2OCztu4)

    วันที่ 2 ต.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานเดินรถ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สายเฉลิมรัชมงคล) มีกำหนดจะปรับขึ้นค่าโดยสารอีก 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 2 ต.ค. 2561 นี้เป็นต้นไป โดยระบุว่า ขณะนี้ รฟม.ได้เจรจากับบีอีเอ็ม เพื่อขอขยายเวลาตรึงค่าโดยสารที่อัตราเดิม ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะตรึงราคาออกไปอีกกว่า 1 เดือน หรือประมาณ 42 วัน

    “เดิมบีอีเอ็มมีกำหนดจะปรับขึ้นค่าโดยสารวันที่ 2 ต.ค. 2561 นี้ ก็จะขยับไปขึ้นราคา ในวันที่ 15 พ.ย. 2561 แทน เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน โดยขณะนี้ รฟม. ได้เสนอเรื่องการขอขยายเวลาการตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไปยัง สำนักเลขา ครม.เพื่อบรรจุวาระแล้ว คาดว่าจะบรรจุวาระ และนำเสนอให้ ครม.พิจารณาอนุมัติขยายเวลาได้สัปดาห์หน้า”

    นายภคพงศ์ กล่าวต่อว่า การตรึงค่าโดยสารครั้งนี้ถือเป็นการตรึงค่าโดยสารเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรก มติ ครม. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ชะลอการปรับอัตราค่าโดย หรือให้บีอีเอ็มตรึงค่าโดยสารออกไปอีก 3 เดือน จากเดิมที่จะปรับขึ้นวันที่ 3 ก.ค. 2561 เป็น 2 ต.ค. 2561

    สำหรับอัตราค่าโดยสารใหม่ที่จะมีการปรับขึ้น ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2561 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 16 บาท สูงสุด 42 บาท โดยจะมีการปรับอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้น 1 บาท ณ จำนวนสถานีเดินทางที่ 5, 8 และ 11 นับจากสถานีต้นทางเท่านั้น

    จีนสั่ง ฟ่าน ปิงปิง จ่าย 4,200 ล้าน ฐานเลี่ยงภาษี

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (http://bit.ly/2QvWPyU)

    วันที่ 3 ต.ค. 2561 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า สำนักข่าวซินหวารายงานว่า ทางการจีนได้สั่งปรับเงิน ฟ่าน ปิงปิง ซูเปอร์สตาร์สาวเป็นเงินถึงราว 130 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4,200 ล้านบาท ข้อหาหลบเลี่ยงภาษี

    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นซึ่งอ้างอิงรายงานของซินหัวระบุด้วยว่า ฟ่านได้ถูกสั่งให้จ่ายค่าปรับเป็นเงินเกือบ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากมีการตรวจพบว่าเธอใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษีด้วยการทำสองบัญชี ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่า สัญญาหยินหยาง (阴阳合同)

    ดาราสาววัย 37 ปี และบริษัทของเธอจะต้องจ่ายเงินภาษีและค่าธรรมเนียมการจ่ายภาษีช้าคิดเป็นเงินราว 42 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่นับรวมกับค่าปรับอีกราว 86 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินกว่า 128 ล้านหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นการกระทำผิดครั้งแรกทางรัฐบาลจะไม่ดำเนินคดีอาญาต่อเธอ หากเธอและบริษัทจ่ายภาษีทั้งหมดที่ระบุไว้ตามกำหนดเวลาเส้นตาย

    สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนระบุด้วยว่า จากการตรวจสอบของกรมสรรพากรของจีนพบว่า ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแอร์สไตรค์ (Air Strike หรือ Unbreakable Spirit) ซึ่งใช้ชื่อภาษาจีนว่า ต้า หงจ้า (大轰炸) ซึ่งมีดาราฮอลลีวูดและดาราเอเชียเข้าร่วมคับคั่ง เช่น บรูซ วิลลิส, หลิวเย่, ซง ซึง-ฮ็อน ซึ่ง ฟ่าน ปิงปิง ได้รับค่าตัวมากถึง 30 ล้านหยวน (ราว 141 ล้านบาท) แต่เธอกลับรายงานรายได้สรรพากรเพียง 10 ล้านหยวน โดยที่เหลืออีก 20 ล้านหยวน เธอแบ่งการทำสัญญาเพื่อหลบเลี่ยงภาษีที่คิดเป็นเงินกว่า 6.18 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยเกือบ 30 ล้านบาท

    กรณีดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนจากรัฐบาลจีนไปยังดาราและคนดังทั้งหลายในวงการบันเทิงจีนที่มีความพยายามจะหนีหรือหลบเลี่ยงภาษี ทั้งนี้ รายงานระบุด้วยว่าหากใครไม่รายงานภาษีอย่างถูกต้องภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2561 นี้อาจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาด้วย