ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 26 พ.ค. – 1 มิ.ย. 2561
“เนติวิทย์” ร่วมเวทีประชุมเสรีภาพที่นอร์เวย์ ชวนทั่วโลกชูสามนิ้ว “สนับสนุน ปชต.-กดดันจัดเลือกตั้งไทย”
เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า การประชุมนานาชาติว่าด้วยเสรีภาพ ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค. 2561 โดยองค์กรไม่แสวงผลกำไร “ออสโล ฟรีดอม ฟอรัม” (Oslo Freedom Forum: OFF) ซึ่งในปีนี้ “เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล” นักกิจกรรมชาวไทย อดีตประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับเชิญไปขึ้นเวทีในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิและเสรีภาพคนหนึ่งของประเทศไทย
เนติวิทย์ได้ขึ้นพูดต่อผู้เข้าร่วมการประชุมซึ่งมีทั้งนักกิจกรรม เจ้าหน้าที่รัฐบาล นักวิชาการ รวมถึงสื่อมวลชนจากหลายประเทศ ในหัวข้อ “นักศึกษาและกองทัพ” (The Students and the Military) ซึ่งเป็นการพูดถึงบทบาทของกลุ่มนักกิจกรรมที่เป็นนิสิตนักศึกษาและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อปี 2557 เป็นต้นมา
“ผมคงไม่ได้มาที่นี่ถ้าผมถูกจับพร้อมเพื่อนที่ออกไปประท้วงในวันครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร เพื่อทวงการเลือกตั้งจากรัฐบาลทหาร ผมอยากจะขอยกย่องความมุ่งมั่นในจิตวิญญาณประชาธิปไตยของพวกเพื่อนๆ ผม ที่พยายามจะนำมา (ซึ่งประชาธิปไตย) ให้กับพวกเรา”
เนติวิทย์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของตนเอง จากเด็กครอบครัวชนชั้นกลาง ไม่เคยสนใจการเมือง และไม่เคยตั้งคำถามกับกฎระเบียบใดๆ ในโรงเรียน จนกระทั่งได้ทำหนังสือพิมพ์โรงเรียน และเขียนบทความตั้งคำถามว่าทำไมครูถึงต้องมายุ่งกับศีรษะนักเรียนในเรื่องทรงผม เหตุการณ์นั้นทำให้เขากลายเป็นภัยต่อโรงเรียน แต่สำหรับเนติวิทย์แล้ว นั่นการถูกมองด้วยสายตาเป็นภัยคือคำชมที่เป็นเกียรติมาก
จากนั้น เนติวิทย์ได้เล่าถึงการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 ที่นำมาซึ่งการจับกุมผู้ประท้วง พร้อมทั้งบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้มีอำนาจในประเทศไทยใช้กำลังปะทะกับผู้ชุมนุม เมื่อ 40 ปีก่อน (เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519) นักศึกษาจำนวนมากก็ถูกสังหารหมู่ด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจในระดับที่ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของจีน
นอกจากนี้ เนติวิทย์ยังเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งเริ่มเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เขาและเพื่อนๆ ได้เชิญ โจชัว หว่อง แกนนำกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยในฮ่องกงมาร่วมเวทีพูดคุยเพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่เยาวชนไทย แต่โจชัวกลับถูกเจ้าหน้าที่ของทางการไทยควบคุมตัวและถูกส่งตัวกลับฮ่องกงในวันต่อมา สำหรับเนติวิทย์แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลทหารที่ทำให้รู้สึกว่า ประเทศไทยได้สูญเสียเสรีภาพที่เราเคยมี และประเทศได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของจีนเสียแล้ว
เนติวิทย์เล่าต่อถึงปีต่อจากนั้น ที่เขาได้รับเลือกเป็นประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาและเพื่อนร่วมสภาได้ตัดสินใจเดินออกจากพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนิสิตใหม่แรกเข้า ซึ่งในพิธีนั้นนักศึกษาปี 1 ต้องหมอบกราบต่อหน้าพระรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนติวิทย์บอกว่าเขาเลือกที่จะยืนขึ้นแทน เพื่อรำลึกถึงพระดำริของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงประกาศเลิกทาส นั่นทำให้อาจารย์บางท่านหาว่าเขาก้าวร้าว ศิษย์เก่ามากมายเรียกร้องให้ปลดจากการเป็นประธานนิสิตรวมทั้งไล่เขาออก และเหล่านิสิตที่เลือกจะยืนนั้นต่างถูกตัดคะแนนความประพฤติ
จากนั้น เนติวิทย์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่นักศึกษาคนหนึ่งเปิดโปงขบวนการทุจริตเงินช่วยเหลือคนยากจน ปมเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกล่าวถึงการที่กองทัพเข้าครอบงำการศึกษาไทย ด้วยการเพิ่มหลักสูตรเกี่ยวกับหน้าที่พลเรือน ซึ่งไม่ได้ส่งเสริมกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์เลยแม้แต่นิดเดียว
เนติวิทย์ได้กล่าวถึงรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ที่เปิดช่องให้รัฐบาลทหารกลับมามีอำนาจได้ในอนาคต, สถานการณ์การใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น, การที่เขาถูกตั้งข้อหาว่าเป็นแกนนำ ยุยงปลุกปั่น และก่อให้เกิดความไม่สงบ ละเมิดคำสั่ง คสช. ซึ่งถ้าถูกตัดสินว่าผิดจริงก็อาจจะถูกลงโทษจำคุก 6-7 ปี และเฟซบุ๊กเพจที่แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลทหาร ได้จัดทำโพลสอบถามความเห็นประชาชนผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าพวกเขายังคงสนับสนุนรัฐบาลทหารอยู่หรือเปล่า แต่ผลกลับกลาายเป็นว่า ร้อยละ 97 ของผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 300,000 คน ตอบว่า “ไม่”
เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า ก่อนจบคำกล่าวบนเวที เนติวิทย์ได้ขอความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมการประชุม OFF รวมถึงตัวแทนประเทศยุโรปและนักกิจกรรมทั่วโลกให้ลุกข้ึนยืนและชูสามนิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์สนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย และช่วยกดดันรัฐบาลทหารให้จัดการเลือกตั้งโดยไม่เลื่อนกำหนดออกไปอีก ซึ่งผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้ลุกขึ้นยืนและชูสามนิ้วไปพร้อมกับเนติวิทย์ด้วย
“ธนาธร” กร้าว ฉีก รธน. 60 – นิรโทษกรรมคดีการเมือง – “ประวิตร” สวน “ทำไม่ได้ ให้ กกต. ดู”
เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ในการจัดประชุมจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ อาคารยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2561 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ได้ร่วมแถลงข่าวและเปิดให้สื่อมวลชนซักถามในเรื่องราวต่างๆ
ในตอนหนึ่งนั้น นักข่าวถามว่า พรรคอนาคตใหม่นั้นมีแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งนายธนาธรตอบว่า “ไม่มีการแก้ไข แก้ไขไม่ได้ ฉีกเลย ล้ม”
เวลาต่อมา เว็บไซต์ข่าวสดได้รายงานถึงการตอบโต้จาก พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มีต่อกรณีดังกล่าว โดย พล.อ. ประวิตร เห็นว่า การพูดดังกล่าว (ฉีกรัฐธรรมนูญ) เป็นการหาเสียง เป็นนโยบายพรรคเขา เพื่อโปรโมตให้ประชาชนสนใจ เพราะเขาอยากทำงานการเมือง แต่เรื่องนี้ตนยืนยันว่าการฉีกรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำได้ จะไปฉีกได้อย่างไร เรื่องนี้ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการอยู่ขณะที่แนวคิดนิรโทษกรรมคดีการเมืองนั้น เขาก็พูดไป เรื่องนี้ต้องให้ กกต. ดูว่าผิดหรือถูกอย่างไร ทั้งนี้ตนคิดว่าการที่เขาพูดแบบนี้เป็นการหาเสียงล่วงหน้า
นอกจากนี้ เมื่อนักข่าวถามว่า การประกาศนโยบายแบบนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีการจะเช็กบิลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังจากลงอำนาจ พล.อ. ประวิตร ย้อนถามว่า “คสช. ทำอะไรผิด คสช. ไม่ได้ทำอะไรผิดสักเรื่อง ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะทำอะไร ท่านนายกฯ สั่งให้ตรวจสอบทุกเรื่อง ทั้งการอนุมัติงบประมาณ หรือการทำงานต่างๆ ทุกเรื่อง ทุกอย่างจะคิดเองทำเองไม่ได้ เพราะต้องคำนึงถึงกฎหมาย และยืนยันว่า คสช. ทำทุกอย่างตามกฎหมาย”
ลือหึ่ง “ยิ่งลักษณ์” ได้วีซ่าอังกฤษ 10 ปี – “ศรีวราห์” ยอมรับ ถ้าจริง จับยาก
วันที่ 28 พ.ค. 2018 เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า แหล่งข่าวใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เปิดเผยกับ บีบีซีไทย โดยระบุว่า ขณะนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ลี้ภัยในต่างแดนเพราะคดีจำนำข้าว กำลังอยู่ระหว่างการพำนักในประเทศอังกฤษ พร้อมนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย โดยการเยือนล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ใช้หนังสือเดินทางของประเทศหนึ่งในทวีปยุโรป พร้อมวีซ่าเข้าพำนักในอังกฤษเป็นระยะเวลา 10 ปี
“วีซ่านี้ทำให้เข้าออกอังกฤษได้ตลอด อยู่ได้ครั้งละไม่เกิน 6 เดือน” แหล่งข่าวกล่าว
ในวันเดียวกัน นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ทางกระทรวงฯ ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด ในเรื่องการติดตามตัวอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ มารับโทษ ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการยกเลิกพาสปอร์ตของนางสาวยิ่งลักษณ์ไปหมดแล้ว
“ความคืบหน้านั้นก็ไม่สามารถจะเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานถึงการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้านความมั่นคง ถึงกรณีการได้วีซ่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานใดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้วีซ่าอยู่ประเทศอังกฤษ 10 ปี ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ต้องรอตรวจสอบก่อน พร้อมกับสั่งให้กองการต่างประเทศทำหนังสือถึงสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันข้อมูลด้วย
นอกจากนี้ พล.ต.อ. ศรีวราห์ ยังกล่าวอีกว่า ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้วีซ่าจริง ก็จะทำให้การติดตามจับกุมมาดำเนินคดียากขึ้น เพราะปัจจุบันก็ติดตามตัวยากอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นก็อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นภาพเก่าหรือภาพใหม่ ใช้หนังสือเดินทางเล่มไหน ประเทศอะไร ย้ำว่าที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานงานกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาดำเนินคดีให้ได้
บุกร้อง ทปอ. “ทีแคส” ทำเด็กเครียด-ไม่ลดความเหลื่อมล้ำ
เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2561 บริเวณหน้าห้องสมาคมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีผู้ปกครองประมาณ 2-3 คน ได้เดินทางมาสอบถามความคืบหน้ารวมถึงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา (ทีแคส) รอบ 3
ผู้ปกครองของนักเรียนสอบทีแคสรอบ 3 ได้ระบุกับผู้สื่อข่าวว่า ปัญหาทีแคสรอบ 3 ที่เกิดขึ้นนั้น เข้าใจว่าผู้บริหาร ทปอ. พยายามจะแก้ไขอะไรบางอย่างแล้ว แต่ที่เดินทางมาวันนี้ เพราะเห็นว่าต่อให้มีทีแคส เคลียริ่งเฮาส์ รอบ 3/2 แต่ยังคงมีการเลือก 4 อันดับเช่นเดิมก็จะมีเด็กที่ติดหลายที่ และมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ การกั๊กที่นั่งยังคงอยู่
ดังนั้น ที่ตั้งใจมาวันนี้อยากบอกว่า ตั้งแต่เริ่มกระบวนการทีแคสรอบ 3 ก็มีปัญหา และผู้บริหารที่ออกมาให้สัมภาษณ์ ยังไม่รู้สึกว่าพวกเขาเห็นปัญหานี้ เช่น ทปอ. ใช้คำว่าไม่ต้องรีบในการเข้ามายืนยันสิทธิ์พร้อมๆ กันคืออะไร เด็กจะรู้ได้อย่างไรว่าใครพร้อมไม่พร้อมตอนไหน ทำไมถึงไม่มีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ เช่น จัดแบ่งเป็นภาคในการยืนยันสิทธิ์ ซึ่งการเพิ่มเซิร์ฟเวอร์เข้าไปไม่ได้แก้ปัญหา และที่ผ่านมา ไม่มีคนของ ทปอ. ตอบคำถามเด็กเมื่อมีปัญหา ไม่มีแอดมินเพจ มีแต่บางเว็บที่คอยตอบคำถาม จนเด็กเชื่อมากกว่า ทปอ. แล้วถ้าสิ่งที่เว็บตอบมีข้อผิดพลาด เข้าใจผิด เด็กก็จะเข้าใจผิดไปด้วย นอกจากนั้น ตั้งแต่เกิดปัญหา โทรศัพท์ของ ทปอ. ไม่เคยติดต่อได้ ทำไมช่วงเวลาแบบนี้ ทปอ. ไม่เพิ่มคู่สาย เป็นต้น
“ทีแคสทำให้เด็กเครียดตั้งแต่เริ่ม เพราะเป็นระบบใหม่ ยิ่งมาเห็นประกาศรายชื่อผู้สอบติดแล้วมีแต่เด็กหมอติดเต็มไปหมด ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ต้องสมัครวิศวกรรมหรือคณะอื่นๆ รองอยู่แล้ว ยิ่งทำให้เด็กๆ เกิดความวิตกกังวลมากขึ้น อีกทั้งเมื่อพ่อแม่จำนวนหนึ่งไม่เข้าใจลูกก็จะไปกดดันลูก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ทปอ. หวังดี และที่ออกมาพูดวันนี้ อยากมาสื่อสารด้วยกัลยาณมิตร ในฐานะผู้ใช้ ว่าระบบทีแคสเป็นระบบที่ไม่โอเค และผู้บริหารมองว่าเด็กมีปัญหา โดยดูจากคำพูดของผู้บริหาร เช่น เด็กโวยวาย ซึ่งจริงๆ เด็กเพียงสะท้อนปัญหา เพราะถ้าเด็กเงียบยอมทนต่อไป นี่แหละจะกลายเป็นปัญหา” ผู้ปกครองกล่าว
นอกจากนั้น ระบบดังกล่าวไม่ได้แก้เหลื่อมล้ำ เพราะตั้งแต่การรับสมัคร เด็กที่อยู่ในเมือง ที่บ้านมีคอมพิวเตอร์จะเข้าระบบได้เฉพาะช่วงตี 1 ถึง ตี 2 เท่านั้น เนื่องจากเด็กที่บ้านมีคอมพิวเตอร์จะกระหน่ำเข้า อีกทั้งเด็กต่างจังหวัดที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ต้องไปใช้คอมพิวเตอร์โรงเรียน และช่วงดึกก็ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้สะท้อนว่าไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ทปอ. ควรจัดระบบให้ดีกว่านี้
ด้านผู้ปกครองนักเรียนอีกราย กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกว่าระบบนี้ไม่เป็นธรรมกับเด็ก คำถามคือแล้วเด็กต้องเก่งขนาดไหนจึงจะสอบเข้าคณะ มหาวิทยาลัยที่อยากเรียนได้ เพราะแม้ ทปอ. จะแก้ปัญหาด้วยการเปิดเคลียริ่งเฮาส์ 2 รอบ แต่ลูกมีความฝันและตั้งใจที่จะเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนี้ แม้ผลสอบลูกติดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) แล้ว และเขาทำใจได้แล้ว แม่ก็อยากให้เข้านิติศาสตร์ จุฬาฯ แต่ก็ต้องให้ลูกยืนยันสิทธิ์ เข้านิติศาสตร์ มธ. เพราะไม่อยากเสียสิทธิ์ และไม่รู้ว่าเคลียริ่งเฮาส์รอบ 3/2 จะเป็นอย่างไร ทั้งที่ คะแนนสามารถเข้านิติศาสตร์ จุฬาฯ ได้
เกาหลีเหนือ ยัน เดินหน้าคุยสหรัฐฯ
เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า วันที่ 26 พ.ค. 2516 ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ เปิดเผยผลการหารือระหว่างการพบกันที่เขตปลอดทหารระหว่างผู้นำสองชาติเกาหลีว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ให้คำมั่นปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีจนหมดสิ้น รวมทั้งเข้าร่วมประชุมสุดยอดระหว่างเกาหลีเหนือ และสหรัฐฯ ที่สิงคโปร์
ทังนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศยกเลิกการประชุมที่มีกำหนดจัดขึ้น 12 มิ.ย. 2561 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ต่อมาก็ได้ระบุว่า การประชุมนี้อาจจะเดินหน้าต่อไป
ประธานาธิบดีมุน กล่าวในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า ทั้งเขาและผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เห็นร่วมกันว่าการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์จะต้องประสบผลสำเร็จ
ประธานาธิบดีมุน ซึ่งเพิ่งกลับจากการเดินทางไปหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กล่าวอีกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีเจตจำนงอันแน่วแน่ที่จะยุติความสัมพันธ์ที่เป็นศัตรูกับเกาหลีเหนือและต้องการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับทวิภาคี
ด้านสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) ของทางการเกาหลีเหนือ รายงานผลการหารือกันครั้งที่สองระหว่างสองผู้นำชาติเกาหลีว่า นายคิม จองอึน มีความต้องการให้การประชุมสุดยอดระหว่างเกาหลีเหนือและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สิงคโปร์เดินหน้า และยังแสดงความขอบคุณประธานาธิบดีมุนที่มีความพยายามอย่างยิ่งในการเป็นตัวประสานเชื่อมให้มีการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ที่สิงคโปร์ ซึ่งนายคิม จองอึน เอง ก็ได้ “แสดงเจตนาที่จะแก้ไข” ว่าการประชุมสุดยอดจะต้องมีขึ้นเช่นกัน
สื่อทางการเกาหลีเหนือรายงานอีกว่า ทั้งสองผู้นำชาติเกาหลีจะพบปะกันมากขึ้นในอนาคตเพื่อยืนยันถึงจุดยืนในการสร้างสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า จะมีการประชุมคณะผู้แทนระดับสูงในวันศุกร์หน้า
ด้านทำเนียบขาว ยืนยันเมื่อวานนี้ว่าคณะทำงานจัดประชุมสุดยอดของสหรัฐฯ เตรียมเดินทางล่วงหน้าไปยังสิงคโปร์สุดสัปดาห์นี้เพื่อเตรียมการประชุมตามกำหนดการเดิม