ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ไก่อูยัน ‘7 ล้าน’ จ้าง Line ประชาสัมพันธ์นโยบาย สำนักโฆษกฯ แจงยังเป็นแค่แนวคิด” และ “อเมริกาเผย คิมพร้อมคุย ปลดอาวุธนิวเคลียร์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ไก่อูยัน ‘7 ล้าน’ จ้าง Line ประชาสัมพันธ์นโยบาย สำนักโฆษกฯ แจงยังเป็นแค่แนวคิด” และ “อเมริกาเผย คิมพร้อมคุย ปลดอาวุธนิวเคลียร์”

14 เมษายน 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 7-13 เม.ย. 2561

  • ไก่อูยัน “7 ล้าน” จ้าง Line ประชาสัมพันธ์นโยบาย– สำนักโฆษกฯ แจงยังเป็นแค่แนวคิด
  • ปลัดคลังลาออก เซ่นเด้งไปเป็นเลขาสภาพัฒน์ – นายกฯ ไม่ยับยั้ง
  • สสช. ชี้ วัยทำงานต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้นอยากเสนอโครงการมีลูกเพื่อชาติ
  • แอดมินเพจดังเตรียมรับมือ เฟซบุ๊กประกาศนโยบายใหม่ ต้องยืนยันตัวตน
  • อเมริกาเผย คิมพร้อมคุย ปลดอาวุธนิวเคลียร์
  • ไก่อูยัน “7 ล้าน” จ้าง Line ประชาสัมพันธ์นโยบาย- สำนักโฆษกฯ แจงยังเป็นแค่แนวคิด

    พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

    หลังจากที่มีข่าวออกมาว่า สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดทำข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง (TOR) ให้บริษัท บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด จัดทำ LINE Official Account เพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารรัฐบาลเชิงรุก โดยจ้างให้บริการด้านระบบ Line Official Account และ Line Official Home ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน จำนวน 1 งาน วงเงิน 4,320,000 บาท ประกอบด้วย 1. Line Official Account (OA) จำนวน 24 ข้อความต่อเดือน ในรูปแบบ ตัวอักษร รูปภาพ วิดีโอ ไฟส์เสียง หรือลิงก์ต่างๆ ผ่านฟังก์ชัน Rich Message และ Rich Video และ 2. Line Official Home (OH) จำนวน 60 ข้อความต่อเดือน รวมทั้งให้บริการด้านระบบ Line Sticker (8 characters) ที่ออกแบบโดยสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ระยะเวลาดาวน์โหลด 30 วัน และใช้งานได้ 90 วัน จำนวน 1 งาน วงเงิน 2,240,000 บาท รวมเป็นเงิน 6,570,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จำนวน 449,900 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,029,900 บาท

    ทั้งนี้ มีข่าวลือว่า นโยบายดังกล่าวเป็นของ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี แต่ในวันที่ 12 เม.ย. 2561 พล.ท. สรรเสริญ ออกมาปฏิเสธว่าการจัดจ้างดังกล่าวนั้นไม่ใช่นโยบายของตน เพราะตนเป็นข้าราชการการเมืองของสำนักโฆษกประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ย่อมไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณได้ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าเป็นนโยบายที่ผู้อำนวยการสำนักโฆษกฯ ต่อเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

    ต่อมา นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า

    1. การจัดจ้างดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนการดำเนินงานประจำปีของสำนักโฆษกฯ ซึ่งมีภารกิจเผยแพร่นโยบายและการดำเนินงานของรัฐบาล เป็นการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติราชการ โดยไม่ได้เป็นข้อริเริ่มของฝ่ายการเมือง ตามที่นำไปพาดพิงกันแต่อย่างใด
    2. ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่สื่อสารข้อมูลในชีวิตประจำวันถึงกันด้วยแอปพลิเคชันไลน์ ดังนั้น สำนักโฆษกฯ จึงมีความประสงค์จะเพิ่มช่องทางการสื่อสารไปยังประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย โดยแม้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาล แต่ช่องทางไลน์นี้ก็ยังคงเป็นเครื่องมือสื่อสารสำหรับรัฐบาลต่อไป
    3. วัตถุประสงค์ของการใช้เครื่องมือดังกล่าว คือ การสร้างการรับรู้นโยบายสำคัญ หรือการอธิบายข้อมูลที่สังคมเกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด เพื่อลดความตื่นตระหนก
    4. แหล่งที่มาของราคากลาง จำนวน 7,029,900 บาท ใช้ราคาตลาด โดยสืบราคาจากบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นราคามาตรฐานที่ให้บริการแก่หน่วยงานอื่นของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ
    5. สลน. ได้ประกาศราคากลางทางเว็บไซต์ และประกาศทางเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลางเช่นเดียวกัน เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้
    6. สำหรับการจัดทำสติกเกอร์ไลน์นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการกำหนดแนวคิด ยังไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด

    ที่มา:
    เว็บไซต์บล็อกนัน
    เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์
    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ
    เว็บไซต์ประชาไท
    เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS

    ปลัดคลังลาออก เซ่นเด้งไปเป็นเลขาสภาพัฒน์ – นายกฯ ไม่ยับยั้ง

    นายสมชัย สัจจพงษ์

    วันที่ 11 เม.ย. 2561 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ คณะรัฐมนตรีมีมติโยกย้าย นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ โดย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ทำเรื่องขอตัวไปช่วยงานเพราะมีคุณสมบัติเหมาะสม

    โดยนายอภิศักดิ์ระบุว่า สศช. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และปฏิรูปเศรษฐกิจคณะใหญ่ และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากกว่าในอดีตซึ่งมีหน้าที่กลั่นกรองเรื่อง เพื่อป้องกันการทุจริต จึงคิดว่านายสมชัยเหมาะจะไปขับเคลื่อน เพราะเป็นคนเก่ง พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีปัญหาเรื่องการทำงานร่วมกับนายสมชัย เพราะแม้แต่รองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ยังชื่นชมการทำงานของนายสมชัย โดยมองว่าเป็นคนที่มีศักยภาพ และได้พูดคุยกับนายสมชัยเรื่องการโยกย้ายก่อนจะเสนอชื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

    ทว่า จากกรณีการโยกย้ายดังกล่าว นายสมชัยระบุว่าตนได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการแล้ว โดยจะขออยู่ในฐานะประชาชนอย่างเต็มขั้น ต่อการลาออกดังกล่าวนั้น เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานอีกด้วยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นข้าราชการไม่พอใจไม่ได้ โดยทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ ซึ่งหากจะลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวก็ลาออกไป และจะไม่มีการยับยั้งใบลาออก และนายกฯ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่เกิดร้อยร้าวในรัฐบาล เพราะส่วนตัวหนักแน่นพอ และใครอยากลาออกอีก ก็ให้ลาออก

    สสช. ชี้ วัยทำงานต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น อยากเสนอโครงการมีลูกเพื่อชาติ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์แนวหน้า (https://goo.gl/aEj2bb)

    วันที่ 10 เม.ย. 2561 เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (อาคารบี) ถ.แจ้งวัฒนะ ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ นายภุชพงศ์ โนดไธสง ผู้อำนวยการ สสช.แถลงข่าวในหัวข้อ “สถิติบอกอะไร ผู้สูงวัยปัจจุบันและอนาคต” โดยเปิดเผยว่า การสำรวจของ สสช.เมื่อปี 2560 พบประชากรสูงวัย หรืออายุ 60 ปีขึ้นไป อยู่ในสัดส่วนร้อยละ 16.7 ต่อประชากรไทยทั้งประเทศ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้สูงอายุวัยต้น อายุ 60 – 69 ปี ร้อยละ 57.4 ผู้สูงอายุวัยกลาง อายุ 70-79 ปี ร้อยละ 29 และผู้สูงอายุวัยปลาย อายุ 80 ปีขึ้นไป ร้อยละ 13.6

    และจากการคำนวณปรากฏเป็นผลพยากรณ์ว่า ในปี 2570 ประชากรวัยทำงานจะต้องช่วยเหลือผู้สูงอายุมากขึ้น เนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง โดยปี 2560 ประชากรวัยทำงาน หรืออายุ 15 – 59 ปี 100 คน จะต้องดูแลประชากรวัยเด็ก อายุ 0 – 14 ปี 26 คน และดูแลประชากรสูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป 25 คน รวมสัดส่วนวัยพึ่งพิงเด็กบวกคนชรา 51 คน ต่อวัยทำงาน 100 คน แต่ในปี 2570 ประชากรวัยทำงาน 100 คน จะดูแลประชากรวัยเด็ก 25 คน และประชากรสูงวัยถึง 39 คน รวมสัดส่วนวัยพึ่งพิงเด็กบวกคนชรา 64 คน ต่อวัยทำงาน 100 คน

    ผอ.สสช.กล่าวต่อไปว่า นับจากนี้เป็นต้นไปการใช้ชีวิตของทุกวัยต้องปรับเปลี่ยน โดยวัยเด็กที่เกิดน้อยอยู่แล้วต้องได้รับการส่งเสริมด้านการเรียนรู้ ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนต้องมีคุณภาพ ต้องรู้จักการออม และต้องได้รับการปรับทัศนคติไม่ให้มองผู้สูงอายุเป็นภาระ ส่วนวัยหนุ่มสาวที่พบว่าเมื่อแรกเริ่มทำงานจะเป็นช่วงเวลาที่ใช้เงินเก่งที่สุด กว่าจะไปเอาจริงเอาจังกับการออมก็เข้าสู่วัยกลางคนไปแล้วก็ต้องปรับพฤติกรรมเช่นกัน สุดท้ายวัยสูงอายุต้องดูแลสุขภาพ ส่งเสริมการทำงานเพื่อเลี้ยงตนเองได้ มีกิจกรรมทางสังคม และปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อผู้สูงอายุมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็แล้วแต่การหาทางเพิ่มประชากรนั้นถือว่าจำเป็น โดยหากอัตราการเกิดของเด็กไทยยังน้อยเช่นนี้ ในปี 2570 จะปรากฏภาวะที่เรียกว่าสังคมเยาว์วัยหมดไป ทั้งนี้สัดส่วนประชากรวัยเด็กลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 17.3 ของประชากรไทยทั้งหมด และคาดว่าในปี 2570 จะเหลือเพียงร้อยละ 15.2 ของประชากรไทยทั้งหมด

    “ใครที่มีลูกได้ก็ส่งเสริมให้มีลูก อยากเสนอโครงการมีลูกเพื่อชาติ ถ้าจะให้มีวัยทำงานเพิ่มขึ้นก็ต้องส่งเสริมให้มีลูกเพื่อชาติเพื่อกันปัญหาขาดแคลน ครอบครัวหนึ่งมีลูกสัก 2-3 คนก็ยังดี ถ้าเราไม่ส่งเสริมให้มีลูกเพื่อชาติ ในปี 2570 สังคมวัยเยาว์จะหมดไป จะเหลือแต่วัยทำงานกับวัยสูงอายุเต็มเมือง” นายภุชพงศ์ กล่าว

    แอดมินเพจดังเตรียมรับมือ เฟซบุ๊กประกาศนโยบายใหม่ ต้องยืนยันตัวตน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์บล็อกนัน (https://www.blognone.com/node/101327)

    เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่า เฟซบุ๊กได้ประกาศนโยบายใหม่ว่า แอดมินของเพจ “ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก” จะต้องยืนยันตัวตนกับเฟซบุ๊กด้วย มิฉะนั้นจะไม่สามารถโพสต์ข้อมูลลงเพจได้

    เป้าหมายของเฟซบุ๊กคือป้องกันปัญหาข่าวปลอมแพร่ระบาด ที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้ใช้จากรัสเซียเผยแพร่ข่าวปลอมผ่านการสร้างเพจหรือกรุ๊ป ทำให้เฟซบุ๊กต้องออกมาตรการตรวจสอบว่าแอดมินของเพจเป็นใคร

    อย่างไรก็ตามเฟซบุ๊กไม่ได้ระบุชัดเจนว่า เพจที่เข้าข่ายต้องมีผู้ติดตามเท่าไร (ใช้คำว่า “Pages with large numbers of followers”) และยังไม่เปิดเผยว่าจะตรวจสอบตัวตนอย่างไรด้วย

    นอกจากนี้เฟซบุ๊กยังออกมาตรการสำหรับการลงโฆษณาทางการเมือง ว่าผู้ลงโฆษณาจะต้องยืนยันตัวตนและที่อยู่ก่อน จึงจะสามารถลงโฆษณาได้ โฆษณายังจะมีป้ายกำกับที่มุมซ้ายว่าเป็น Political Ad และระบุชื่อผู้จ่ายเงินด้วย

    อเมริกาเผย คิมพร้อมคุย ปลดอาวุธนิวเคลียร์

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่าได้พูดคุยเป็นการลับและโดยตรงกับเกาหลีเหนือ เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดครั้งนี้

    มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ เคยมีการพูดคุยกันหลายครั้งและพบปะกันในประเทศที่ 3 ส่วนการพบกันของผู้นำสูงสุดคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ในเดือน พ.ค. 2561 นี้ ซึ่งจะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อยู่ระหว่างดำรงตำแหน่ง พบกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ

    เกาหลีเหนือได้แจ้งเกาหลีใต้แล้วว่าพร้อมจะพูดคุยเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือให้คำมั่นกับรัฐบาลวอชิงตันโดยตรง

    รายละเอียดในการประชุมสุดยอดผู้นำ รวมถึงสถานที่ยังไม่ชัดเจน แต่แหล่งข่าวบอกกับซีเอ็นเอ็นว่าเกาหลีเหนือกำลังผลักดันให้มีการประชุมในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของประเทศ หรือไม่ก็ที่กรุงอูลานบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย

    แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่นับเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าทั้งการพบกันระหว่างผู้นำสูงสุดของทั้งสองประเทศจะเกิดขึ้น รวมทั้งการปลดอาวุธนิวเคลียร์ด้วย