ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ประสานรอยร้าว “หมอธี” ขอโทษ “บิ๊กป้อม” มติ ครม. ขึ้นเงินเดือน “ศาล-องค์กรอิสระ” 10% ย้อนหลัง 3 ปี

“บิ๊กตู่” ประสานรอยร้าว “หมอธี” ขอโทษ “บิ๊กป้อม” มติ ครม. ขึ้นเงินเดือน “ศาล-องค์กรอิสระ” 10% ย้อนหลัง 3 ปี

14 กุมภาพันธ์ 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

เตรียม “ฝนเทียม” แก้ปัญหาหมอก-ควัน

หลังการประชุม ครม. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลว่า เรื่องปัญหาหมอกควันไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวลมากเกินไป ถึงแม้จะอยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่ามาตรฐาน หลายคนใส่หน้ากาก ปิดปากปิดจมูก ในส่วนของรัฐบาลนั้น ผมก็ได้สั่งให้เตรียมทำฝนเทียมเพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องพยายามช่วยลดฝุ่นละอองด้วย เช่น ลดการเผาต้นข้าวในฤดูแล้ง เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ในหัวเมืองใหญ่ของหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ผมได้กำชับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมควบคุมมลพิษ ให้ติดตามและแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจัดหามาตรการลดฝุ่นละอองในอากาศด้วย

เตือนผู้ปกครองกลุ่มเคลื่อนไหว-ทำผิด กม.กระทบอนาคต – การเรียน

ต่อคำถามว่า การประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติช่วงเช้ามีเรื่องอะไรบ้าง มีประเด็นต้องใช้ ม.44 แก้ปัญหาหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุม คสช. ช่วงเช้าของวันนี้ ไม่มีคำสั่งอะไรออกมา เป็นเพียงแต่ติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง และมีอยู่หลายเรื่องที่กำลังเคลื่อนไหวกันอยู่ในขณะนี้ เป็นเรื่องของการกระทำความผิดทางกฎหมาย ผิดคำสั่ง คสช. ยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช. ไม่ได้มีเจตนาปิดกันเสรีภาพใครหรือทำร้ายใคร เพียงแต่ว่ามีการสร้างเหตุการณ์ในลักษณะนี้ให้เกิดขึ้น และมีการฝ่าฝืนกฎหมายหลายครั้ง ซึ่งรัฐบาลก็ผ่อนปรนให้มาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการให้ประกันตัว ว่ากล่าวตักเตือน แต่ก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิมๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหว ผมไม่ทราบว่าเขาต้องการอะไร พยายามสร้างสถานการณ์ให้กลับไปเหมือนเดิม รัฐบาลยอมรับไม่ได้ ผมขอฝากผู้ปกครอง หากมีคดีความกับนิสิตนักศึกษา ก็อาจจะมีปัญหา ผมไม่ได้ขู่ แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย บังคับใช้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

“อีกเรื่องที่หารือกันในที่ประชุม คสช. คือ เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติหลายมาตราที่มีปัญหา เช่น กฎหมาย ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่มี แต่ตอนนี้มันไปบีบคนที่รักษาการ ต้องมาดูว่าจะหาทางออกอย่างไร ใช้กฎหมายปกติได้ไหม ไม่ใช่ประชุม คสช. แล้วต้องออกคำสั่ง ไม่ใช่ ผมต้องการให้ใช้คำสั่ง คสช. เท่าที่จำเป็น หารือกันเฉยๆ วันนี้ไม่มีคำสั่งอะไรออกมา” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

“บิ๊กตู่” ประสานรอยร้าว ครม. “หมอธี” ขอโทษ “บิ๊กป้อม”

กรณีนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกมาวิจารณ์เรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายแพทย์ธีระเกียรติได้มาชี้แจงแล้ว ซึ่งไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวอะไรกัน ยืนยันว่า ครม. ไม่มีรอยร้าวอะไรทั้งสิ้น ทุกคนรักกันดี มีอะไรก็พูดคุยกัน ให้กำลังใจกัน ทำอะไรผิดก็ขอโทษซึ่งกันและกัน ต้องระงับความขัดแย้งให้ได้

นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

ด้านนายแพทย์ธีระเกียรติชี้แจงว่า ที่มาของเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงตนไปบรรยายให้นักศึกษาไทยในประเทศอังกฤษฟัง ส่วนภาพที่ท่านเห็นในคลิปวิดีโอเป็นภาพนั่ง แต่เสียงที่สัมภาษณ์ที่ปล่อยออกมาเป็นเสียงคนละตอนกัน กล่าวคือมีนักข่าวมาดักสัมภาษณ์โดยไม่ทราบว่ามีการอัดเทป ถามผมเกี่ยวกับเรื่องนาฬิกา ซึ่งเป็นคนละช่วงเวลากัน ถือว่านักข่าวคนนั้นไม่ได้สัมภาษณ์ตนอย่างเป็นทางการ แต่ผมก็ยอมรับว่าได้พูดอย่างนั้นจริง เป็นการแสดงความคิดเห็นเรื่องนาฬิกาหรู ซึ่งถือว่าผิดมารยาทที่ไปกล่าวพาดพิงถึงเพื่อนร่วม ครม. โดยเฉพาะ พล.อ. ประวิตร ซึ่งตนได้กล่าวคำขอโทษท่านแล้ว ซึ่ง พล.อ. ประวิตร ก็พยักหน้าตอบรับ ส่วนที่มีกระแสข่าวเรื่องลาออก ขอยื่นยันว่ายังคงทำงานให้ พล.อ. ประยุทธ์ ต่อไป

ปัดหารือ UK ส่งตัวอดีตนายกฯ กลับไทย

ส่วนการหารือกับนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่ได้หารือถึงเรื่องการขอตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เพราะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ซึ่งต้องพยายามทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ใครทำผิดกฎหมายในประเทศไทยบ้าง ผมได้ส่งข้อมูลไปให้ต่างประเทศทั้งหมดแล้ว การพิจารณาขึ้นอยู่ต่างประเทศว่าจะส่งกลับประเทศไทยได้หรือไม่

“แต่ต่างประเทศก็ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล แจ้งเบาะแสตอนนี้อยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ ส่วนเรื่องการส่งตัวกลับประเทศ ต่างประเทศเขาก็มีหลักการพิจารณาของเขา บางกรณีกฎหมายบ้านเราผิด แต่บ้านเขาไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการนำเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นการเมือง นี่คือปัญหา ซึ่งข้อเท็จจริงนั้นเป็นเรื่องการทำผิดกฎหมาย ตอนนี้ยังไม่กลับมา ก็ยังดำเนินคดีไม่ได้ แต่กลับมาเมื่อไหร่ ก็ต้องดำเนินคดี” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ผู้แทนของประเทศอังกฤษ อิตาลี ให้กำลังใจรัฐบาลที่พยายามเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตย และจัดให้มีการเลือกตั้ง ผมยืนยันว่ารัฐบาลเดินตามโรดแมป และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย หากมีการขยายเวลา ตามกรอบของกฎหมายขยับออกไปได้ไม่เกิน 90 วัน ตรงนี้ผมไม่ได้เป็นคนกำหนด อย่าพยายามนำมาเป็นประเด็นกล่าวหาว่า “ผมพูดแล้วกลับคำ ผมไม่ได้กลับคำพูด” ทั้งหมดยังอยู่ในโรดแมป แต่จะเร็วหรือล่าช้าขึ้นอยู่กับกฎหมายลูก ซึ่งผมไม่อยากให้มีการแก้ไขกฎหมายมากนักหากไม่จำเป็น

จับตานักการเมือง บินพบ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

เมื่อถามถึงกรณีนักการเมืองเดินทางไปพบนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา นักการเมืองคนไหนจะเดินทางไปพบอดีตนายกรัฐมนตรีต้องขออนุญาต สื่อบอกว่าผมไปละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงให้เกียรติ ใครอยากจะไปหาก็ไปได้ ตอนนี้ไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าเดินทางไปแล้วกระทำความผิดหรือเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อล้มล้างรัฐบาล ตรงนี้ผมสามารถขอข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงว่าใครเดินทางไปพบกับใครบ้าง

แจงคำว่า “กระพี้” ไม่ได้ว่า อดีตนายกฯ

เมื่อถามถึงอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน ทำไมนายกรัฐมนตรีมีอารมณ์ทุกครั้ง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ผมไม่ได้แสดงอารมณ์กับอดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ท่าน แต่ผมแสดงอารมณ์กับคำถามของสื่อมวลชน ซึ่งสนใจที่จะทำข่าวเปลือกนอก ไม่สนใจเรื่องสาระแก่นสาร หรือที่เรียกว่า “กระพี้” ทำให้เจ้าหน้าที่มีปัญหาในการทำงาน และทำให้กระบวนการยุติธรรมก็มีปัญหา ขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น สื่อมวลชนต้องช่วยรัฐบาลทำความเข้าใจ เพื่อลดความขัดแย้งทางสังคม

ถามว่าอดีตนายกรัฐมนตรียังใช้หนังสือเดินทางของประเทศไทยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เพิกถอนไปทั้งหมดแล้ว ส่วนหนังสือเดินทางที่อดีตนายกรัฐมนตรีใช้อยู่นั้นเป็นหนังสือเดินทางที่ออกโดยประเทศอื่น ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น หนังสือเดินทางประเภทท่องเที่ยว การค้า เป็นต้น

ยืนยันจับคนเข้าป่า-ล่าเสือดำลงโทษ

ส่วนการดำเนินคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ถูกจับโดยต้องสงสัยว่าลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องป่า เรื่องเสือดำ ตนไม่อยากให้สังคมหรือใครที่ไม่มีหน้าที่ตรงนั้นไปเรียกเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาสอบสวน ต่างคนต่างถาม คำตอบที่ได้อาจไม่ตรงกัน ทำให้เสียรูปคดีได้ ควรปล่อยให้เจ้าหน้าที่สอบสวนทำหน้าที่ไป ยืนยันว่าผู้กระทำความผิดต้องถูกลงโทษ เดี๋ยวจะมาต่อว่าผมว่าคนรวยไม่ติดคุก คนจนติดคุกอีก

มติ ครม. มีดังนี้

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (ซ้าย) นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

แจงแก้ราคาปาล์มตกต่ำ คาดสิ้น ก.พ. กิโลละ 4.2 บาท

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ครม. รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการบริหารสต็อกน้ำมันปาล์มดิบทั่วประเทศของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงพลังงาน ภายหลังจากที่ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2560 ไทยมีปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบสูงมากเป็นประวัติการณ์ถึง 532,000 ตัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบตกต่ำอยู่ที่กิโลกรัมละ 19 บาท และราคาผลปาล์มตกต่ำไปอยู่ที่ 3.37 บาทต่อกิโลกรัม โดยการดำเนินงานกระทรวงพลังงานได้ดำเนินมาตรการพยายามเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตไบโอดีเซลจาก 7% (บี 7) เป็น 10% (บี 10) และเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4 ล้านลิตรต่อวัน เป็น 6 ล้านลิตรต่อวัน หรือเพิ่ม 50% และกระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินมาตรการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ 157,000 ตันต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถระบายสต็อกปาล์มลดลงเหลือ 407,00 ตัน ณ สิ้นเดือนมกราคม 2561 ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 21 บาท ขณะที่ราคาผลปาล์มดิบเพิ่มขึ้นเป็น 4.10 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าจะแตะระดับ 4.20 บาทต่อกิโลกรัมในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์

“ในระยะยาวสำหรับการเพิ่มสัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มจาก 7% เป็น 10% ยังติดปัญหาเรื่องการรับประกันของบริษัทรถยนต์ ตอนนี้รัฐบาลกำลังเร่งศึกษา โดยเบื้องต้นจะเริ่มทดลองใช้กับหัวรถจักรรถไฟช่วงบ้านแหลม-อัมพวาช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ แล้วอาจจะค่อยๆ ขยายการใช้งานไปยังรถขนาดใหญ่กลุ่มอื่นๆ แต่ต้องค่อยๆ เพิ่มการขยายเพื่อให้กระทรวงสามารถติดตามดูแลได้ทั่วถึง ไม่สร้างปัญหาแก่ผู้ใช้งานทั่วไป ขณะที่ตลาดส่งออกคิดว่ายุโรปน่าจะมีศักยภาพอยู่” นายศิริกล่าว

ด้านนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับภาวะน้ำมันปาล์มล้นตลาดมีสาเหตุจากที่ผลผลิตในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ โดยเริ่มทยอยสูงกว่าระดับปกติที่ 300,000 ตัน ตั้งแต่กลางปี 2560 ก่อนจะขึ้นไปสูงสุดในเดือนธันวาคม แต่ตอนนี้คาดว่าจะกลับสู่ระดับปกติได้ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งในระยะยาวจะหาทางพัฒนาระบบรายงานปริมาณผลผลิตที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพและสามารถบริหารได้ดียิ่งขึ้น

อนุมัติเงิน 906 ล้าน จ่ายชดเชย ธ.ก.ส.- ขาดทุน “ชะลอขายข้าว”

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. อนุมัติเงินชดเชยแก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวนาปี ฤดูกาล 2558/59 วงเงิน 906 ล้านบาท ทั้งนี้ เดิม ธ.ก.ส. ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ปล่อยสินเชื่อแก่ชาวนาวงเงิน 90% ของราคาข้าวในตลาด โดยใช้ข้าวเป็นหลักประกัน และได้ปล่อยสินเชื่อไปทั้งสิ้น 6,749 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการปล่อยสินเชื่อราคาข้าวได้ปรับตัวลดลงตามสต็อกข้าวที่ยังสูงอยู่ ณ ขณะนั้น ทำให้เมื่อถึงเวลาชำระหนี้มีชาวนากลับมาชำระหนี้เพียง 3,856 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ธ.ก.ส. จึงต้องนำข้าวที่เป็นหลักประกันออกประมูลได้เงินกลับมา 1,853 ล้านบาท แต่ยังมีภาระขาดทุนจากโครงการฯ และทำให้รัฐบาลต้องชดเชยการขาดทุนดังกล่าว ขณะที่โครงการฯ ฤดูกาล 2559/60 จากราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นคาดว่าจะไม่มีปัญหาภาระขาดทุน

เห็นชอบ ท่าเรือแหลมฉบับเก็บค่าขนส่งตู้สินค้าแทนเอกชน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงคมนาคมเสนอ ในการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าภาระโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งการท่าเรือฯ จะเข้ามาเป็นผู้ดำเนินการในการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟแทนบริษัทเอกชน และจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป โดยกำหนดอัตราค่าภาระขั้นต่ำ-ขั้นสูงในการยกขนตู้สินค้าที่ 376-835 บาทต่อตู้สินค้าทุกขนาดและสภาพ (ขนาด 20 ฟุต, 40 ฟุต และมากกว่า 40 ฟุต) จากเดิมที่เอกชนคิดราคาอยู่ที่ 315 บาทต่อตู้สินค้า

“เดิมการขนถ่ายตู้สินค้าลงท่าเรือจะอาศัยเอกชนดำเนินการไม่ว่าจะมาจากทางรางหรือทางรถบรรทุกตามความสะดวกของเอกชน ซึ่งบางครั้งก็สร้างปัญหาว่าผู้ขนส่งต้องรอการท่าเรือจึงดำเนินการโครงการนี้ เพื่อแก้ปัญหาโดยสร้างศูนย์ขนถ่ายคร่อมทางรถไฟให้สามารถยกตู้สินค้าลงได้ทันทีและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้มีการขนส่งสินค้าทางรางมากขึ้น ขณะที่เหตุผลการท่าเรือฯ มาทำแล้วแพงขึ้น เพราะตอนที่เอกชนทำคือเป็นแบบตามมีตามเกิดว่างเมื่อไรก็มาขนสินค้า จึงมีปัญหาในเรื่องของระยะเวลาที่ไม่แน่นอน แต่ในราคาใหม่นี้ การท่าเรือฯ ได้ประชุมกับผู้ใช้บริการแล้วไม่มีใครคัดค้าน ส่วนราคาขั้นสูงนี้การท่าเรือฯ ชี้แจงว่าไม่เคยได้ใช้อัตราขั้นสูงเลย ใช้แต่ขั้นต่ำ ซึ่งการขึ้นราคาแต่ละครั้งยากเย็นมาก แต่ที่ขอเผื่อไว้นั้น เผื่อในอนาคตมีการปรับต้นทุนต่างๆ ขึ้น เช่น ค่าแรง ค่าน้ำมัน ก็จะได้มีช่องทางสำหรับปรับขึ้นได้ แต่ก็ต้องผ่านคณะกรรมการก่อน” นายณัฐพรกล่าว

ทั้งนี้ นายณัฐพรกล่าวว่า จากข้อมูลต้นทุนการขนส่งจากสถานีตู้สินค้าในแผ่นดิน (Inland Container Depot: ICD) ที่ลาดกระบังมายังท่าเรือแหลมฉบัง หากเป็นตู้ขนาด 40 ฟุต จะมีต้นทุนทางรถบรรทุก 4,900 บาทต่อตู้ เทียบกับทางรถไฟมีต้นทุนเพียง 4,452 บาทต่อตู้ และหากเป็นตู้ขนาด 20 ฟุต จะมีต้นทุนทางรถบรรทุกที่ 4,370 บาทต่อตู้ เทียบกับทางรถไฟที่ 3,332 บาท ดังนั้น หากเอกชนหันมาใช้การขนส่งทางรถไฟ ประกอบกับมีศูนย์การขนส่งตู้สินค้าของการท่าเรือ จะช่วยให้ประหยัดและลดต้นทุนในภาพรวมได้กว่า 1,000 บาท

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

ผ่านร่าง กม. เพิ่มอำนาจ อปท. บริหาร “โบราณสถาน-วัตถุ”

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญคือ

    1) กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการและดูแลรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุเฉพาะที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ และความสำคัญในระดับชุมชนและระดับท้องถิ่น โดยให้มีอำนาจในการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่มิได้อยู่ในความครอบครองของผู้ใด และมิได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนไว้

    2) กำหนดให้โบราณสถานที่กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนไว้แล้ว กรมศิลปากรอาจทำความตกลงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อมอบหมายให้เป็นผู้อนุรักษ์ คุ้มครอง รักษา และบำรุงโบราณสถานนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ รวมทั้งสามารถออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมจากประชาชนได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด และรายได้ที่ได้รับจากการดำเนินการดังกล่าวเมื่อหักส่งกองทุนโบราณคดีตามอัตราที่อธิบดีกำหนดแล้ว ให้ตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น

    3) กำหนดให้โบราณสถานที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประกาศขึ้นทะเบียนแล้วให้มีหน้าที่อนุรักษ์ คุ้มครอง รักษา และบำรุงโบราณสถานนั้น รวมทั้งสามารถออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าชมจากประชาชนได้

    4) กำหนดให้อธิบดีกรมศิลปากรมีอำนาจสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระงับการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดไว้

ปฏิรูปบทลงโทษทางอาญา

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการศึกษาและปรับปรุงกฎหมาย เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้ประโยชน์จากการกำหนดโทษทางอาญาในกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ก่อนตรากฎหมาย และควรมีกฎหมายเท่าที่จำเป็น ยกเลิก ปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็น หรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ให้เป็นภาระอุปสรรคกับประชาชน โดยมีหลักเกณฑ์ที่ส่วนราชการจะเสนอกฎหมายใหม่แล้วต้องการกำหนดโทษทางอาญาต้องปฏิบัติดังนี้ 1) หากเป็นการกระทำที่กระทบกับความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง และมีผลกระทบต่อส่วนรวม ยังคงโทษทางอาญาไว้ 2) หากเป็นกรณีที่ไม่สามารถใช้มาตรการอื่นใดเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างได้ผล มีประสิทธิภาพเพียงพอให้ประชาชนปฏิบัติตาม ยังคงโทษทางอาญาไว้ และ 3) หากกฎหมายใดที่มีความผิดทางอาญาแล้วมีโทษปรับเพียงสถานเดียวหรือมีโทษจำคุก แต่สามารถเปรียบเทียบเป็นโทษปรับได้ ให้เปลี่ยนเป็นวิธีการอื่นที่ไม่ใช่โทษทางอาญา

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. ยังมอบหมายให้กฤษฎีการับไปออกกฎหมายกลางเพื่อแก้ไขกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากกฎหมายที่มีโทษทางอาญามีหลายฉบับ หากต้องแก้ไขทีละฉบับจะต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ให้พิจารณาเปลี่ยนโทษปรับทางอาญาที่ไม่ร้ายแรงเป็นโทษปรับทางปกครอง เช่น การฝ่าฝืนจอดรถในพื้นที่ห้ามจอดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเสียค่าปรับ แต่เมื่อเสียค่าปรับแล้วจะไม่ถูกบันทึกเป็นประวัติ ต่างจากโทษอาญาที่จะมีประวัติบันทึกไว้ ขณะเดียวกันยังให้มีการพิจารณาแยกโทษสำหรับนิติบุคคลออกจากโทษของบุคคลธรรมดา เช่น บริษัทไปทำผิดในปัจจุบันผู้เป็นกรรมการบริษัทต้องผิดไปด้วย แต่ความเป็นจริงความผิดควรต้องแยกจากกัน นิติบุคคลทำผิดก็ควรเป็นความผิดส่วนนิติบุคคล ยกเว้นมีหลักฐานยืนยันว่ากรรมการในฐานบุคคลมีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปสั่งการหรือเห็นชอบให้ดำเนินการ

“นายกรัฐมนตรีเป็นห่วงว่าจะมีความเข้าใจผิดว่า การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นการไปเอื้อประโยชน์โดยเฉพาะคนรวยที่จะพร้อมทำผิดกฎหมาย แค่เสียค่าปรับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จึงอธิบายว่า ได้มีการกำหนดไว้แล้ว ถ้าจะไม่มีโทษทางอาญาจะต้องเป็นโทษที่ไม่ร้ายแรงเท่านั้น การปรับแก้ครั้งนี้มีผลไปยังผู้มีรายได้น้อยด้วย เช่น กฎหมายที่กำหนดโทษปรับเพดานขั้นต่ำและสูง ต่อไปถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงจะกำหนดเพดานขั้นสูงไว้อย่างเดียว นอกจากนี้ยังให้พิจารณากฎหมายที่มีอัตราโทษเท่ากัน แต่กระทงความผิดความร้ายแรงต่างกัน เช่น ลักทรัพย์ กับยักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ การรับโทษจะต้องไม่เท่ากัน ถือเป็นกระบวนการในการปฏิรูปกฎหมายไทย” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ขึ้นเงินเดือน “ศาล-องค์กรอิสระ” 10% ย้อนหลัง 3 ปี

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบร่างกฎหมาย 10 ฉบับที่เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าตอบแทน เงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งให้กับศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรรมการ กกต. ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานกรรมการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรรมการ กสม. อนุกรรมการ กสม. และข้าราชการฝ่ายอัยการ ให้มีการปรับขึ้นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งประมาณ 10% โดยย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 เพื่อลดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประจำ เนื่องจากไม่ได้รับขึ้นเงินเดือนมาตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐประหารในปี 2557 เหมือนกับข้าราชการประจำ กลายเป็นตกสำรวจ นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติให้ยกเลิกเงินค่าครองชีพชั่วคราว ซึ่งเป็นตัวเงินที่หน่วยงานสามารถกำหนดเองได้ประมาณ 12,000 บาท และให้เอาเงินดังกล่าวไปรวมในเงินค่าตอบแทนแทน ซึ่งส่วนนี้หน่วยงานยินยอม เพราะถือเป็นการประหยัดเงินของแผ่นดินและในระยะยาวจะช่วยเพิ่มฐานเงินเดือนที่นำมาคำนวณกรณีเกษียณ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่าสำหรับการปรับเงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการรัฐสภา ข้าราชการเมืองที่นำเข้ามาพิจารณาพร้อมกัน ครม. ไม่พิจารณา เนื่องจาก พล.อ. ประยุทธ์ เป็นห่วงกลัวจะถูกบิดเบือนว่ารัฐบาลชุดนี้ขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตาม แม้จะพิจารณาเห็นชอบก็ยังไม่มีผล เพราะตามกฎหมายได้กำหนดให้มีผลกับรัฐบาลต่อไปอยู่แล้ว ทั้งนี้การปรับเงินเดือนดังกล่าวให้มีผลทันทีหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้

กำหนดค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 340-580 บาท/วัน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 7) ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2560 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จำนวน 4 กลุ่มอุตสาหกรรม 16 สาขาอาชีพ ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก, กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก, กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า ตั้งแต่ 340-580 บาทต่อวัน โดยแต่ละสาขาอาชีพจะแบ่งเป็น 2 ระดับตามความเชี่ยวชาญ

อ่าน มติ ครม. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ที่นี่