ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” แจงปลดล็อกการเมืองช้า อ้าง กม.ลูกไม่เสร็จ-มติ ครม. อนุมติ “ช็อปช่วยชาติ”หักภาษี เริ่ม11 พ.ย.-3 ธ.ค. 60

“บิ๊กตู่” แจงปลดล็อกการเมืองช้า อ้าง กม.ลูกไม่เสร็จ-มติ ครม. อนุมติ “ช็อปช่วยชาติ”หักภาษี เริ่ม11 พ.ย.-3 ธ.ค. 60

8 พฤศจิกายน 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

“บิ๊กตู่” แจงปลดล็อกการเมืองช้า อ้าง กม.ลูกยังไม่เสร็จ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีพรรคการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อกทางการเมืองให้สามารถทำกิจกรรมได้ ว่า จากการประชุม คสช. เมื่อช่วงเช้าได้พิจารณาและประเมินสถานการณ์มีการจัดทำเอกสารแจกสื่อ โดยตนได้เน้นให้พิจารณาประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ ประชุม คสช. วันนี้ได้ประเมินสถานการณ์ให้เห็น ยังมีปัญหาหลายประการด้วยกัน เรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะการเดินหน้าตามโรดแมปสำคัญที่สุด

โดยโรดแมปของตนนั้น หมายถึงกฎหมายต่างๆ ต้องสมบูรณ์เรียบร้อย โดยเฉพาะกฎหมายลูกต้องเกิดความชัดเจน ตนไปบังคับไม่ได้เป็นเรื่องของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณากันไป จะเห็นชอบหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่ตนไปสั่ง ยืนยันว่าไม่เคยสั่ง หากสั่งคงไม่เป็นแบบนี้ ไม่มีการทักท้วงอะไรมากมาย นี่คือสิ่งที่ตนทำอยู่ ไม่ได้ใช้อำนาจ

เอกสารชี้แจงการปลดล็อกพรรคการเมือง

“ส่วนที่เกรงกันว่าถ้าปลดล็อกการเมืองช้า พรรคการเมืองจะเตรียมการจัดตั้งพรรคไม่ทันภายในเวลาที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนดนั้น ผมบอกแล้วว่าปัญหาอยู่ที่กฎหมายลูก เรื่องใดก็ตามที่เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองต้องทำ ผมคงไม่ปล่อยให้ทำกันไม่ทัน ผมมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการขยายระยะเวลาอะไรต่างๆ ให้เขาทำให้ทัน ผมมีอำนาจอยู่ตรงนี้ อย่าลืม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการทำงานร่วมกันทั้ง คสช. ครม. สนช. กรธ. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่ง กกต. ก็ยังไม่เรียบร้อย นั่นคือประเด็นที่เป็นปัจจัย ไม่ใช่เป็นเพราะตนไม่สั่ง ให้ช้า ให้เลิก ให้เลื่อน มันอยู่ที่ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ว่าจะปลดล็อกได้อย่างไรเมื่อไหร่ ปลดอะไรก่อน อะไรหลัง หรือจะปลดพร้อมกัน เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาต่อไป

ปัดโควตาทหาร ตร. นั่ง รมต.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกระแสข่าวที่จะมีการปรับโควตารัฐมนตรีที่มาจากทหารว่า คำถามที่ว่าจะลดโควตารัฐมนตรีที่มาจากทหารตนไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องมาเกลียดทหาร โดยถามย้อนกลับไปว่าทีผ่านมาช่วงแรกๆ ใครเป็นคนทำงาน ช่วงที่ยังไม่มีพลเรือนเข้ามา ก่อนจะมี ครม. เขาทำงานกันมาหรือไม่ ไม่รู้จะรังเกียจทหารอะไรกันนักหนา เขาก็ทำหน้าที่ทำทุกอย่างเริ่มต้นไว้ให้แล้ว วันนี้ถ้าจำเป็นก็ปรับแค่นั้นเอง โดยยืนยันว่าไม่มีโควตาใดๆ ทั้งสิ้น

“ไม่มีคำว่าโควตาทหาร ตำรวจ อะไรไม่มี อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์เอาคนนู้นคนนี้เข้ามา จะเอาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้ามาบ้าง จะคิดอะไรกันนักหนา ผมคงไม่ใช้วิธีการนั้นในการปรับ ครม.” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ทั้งรัฐบาล ตนเอง และ คสช. มีหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ คสช. ในการเข้ามาตั้งแต่ ปี 2557 ว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศมีความเรียบร้อย มีความมั่นคง มีเสถียรภาพ แก้ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้อาจจะไม่ตรง ไม่เหมือนที่ผ่านมาแต่การแก้ปัญหายังขาดความยั่งยืน ซึ่งวันนี้รัฐบาลมาแก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างต้องใช้งบประมาณ อาจส่งผลให้งบประมาณดูแลประชาชนลดลง แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็ง ยั่งยืน และตนยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลใดทำเช่นนี้มาก่อน

สำหรับการปรับโครงสร้างรัฐบาลในวันนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า การปรับบทบาทนั้นอยู่ที่ผลงาน ยืนยันอีกครั้งว่าทุกคนไม่มีใครบกพร่อง แต่อาจจะไม่ถูกใจ และยืนยันจะทำให้ดีที่สุด เพราะสิ่งสำคัญคือการทำให้การปฏิรูปประเทศเดินหน้าไปได้ นี่คือปัจจัยที่ทำให้ผมคิดว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต ไม่ว่าเรื่องปรับ ครม. หรือการปลดล็อก ทั้งหมด อย่าให้เรื่องวุ่นวายอีกเลย

ยืนยันว่ากล่องดวงใจผมมีเพียงครอบครัวของผม นอกนั้นคือเพื่อน เพื่อนร่วมงาน ก็เป็นธรรมดาทุกคนก็มีเพื่อน ทุกคนก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องมีลิมิตมีการขีดเส้นของผมว่าจะวางตัวอย่างไรกับเพื่อน กับผู้ร่วมงาน รัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาบอกมาตลอดว่างานก็คืองาน ส่วนตัวก็คือส่วนตัว ผมไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงาน ดังนั้นก็ต้องไปดูว่าผลงานที่เขาทำมามีอะไรบ้าง ทั้งในด้านการสร้างความเข้มแข็ง การดูแลประชาชน เพราะฉะนั้น ใครเข้ามาเป็น รมว.เกษตรฯ ก็โดนทุกที แม้กระทั่งนักการเมือง เข้ามานั่งที่กระทรวงเกษตรฯ ก็ถูกจับตาทุกครั้งไป แต่ถ้าให้เงินกับประชาชนเต็มที่จะผิดหรือถูกก็ไม่ว่า มักจะได้รับคำชม ผมไม่เข้าใจว่าสังคมเป็นอะไรกัน แต่ผมไม่โมโหสื่อ ต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น ข้อร้องว่าอย่าใช้คำว่ากล่องดวงใจ เป็นกล่องเงินของผม ไม่มี ผมทำของผมเองได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกฯเผยเกณฑ์ ปรับ ครม. “ตามสถานการณ์”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องหลักเกณฑ์ในการปรับ ครม. ว่า ตนยึดในเรื่องของความเหมาะสมของสถานการณ์ ทำให้เกิดการปฏิรูป เดินหน้ายุทธศาสตร์ไปให้ได้ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะบอกว่าทุกอย่างที่ทำมามันเสียของ เป็นสิ่งที่ตนคิดอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เสียของ ทำอย่างไรงานด้านโครงสร้างจะต่อเนื่อง ทำอย่างไรการช่วยเหลือประชาชนจะได้มากขึ้น มีการจับกลุ่ม จัดประเภทให้เกิดความชัดเจน มีงบประมาณ และใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขการใช้งบประมาณทั้งหมดเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ขอร้องว่าอย่าเอามาพัวพันกับการทุจริต เรื่องการทุจริตก็ต้องไปสอบสวน ติดตามอย่าไปเอาข่าวในโซเชียลมีเดียมาพูดกันจะเป็นตุเป็นตะ ตนไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

“การปรับ ครม. ผมไม่ถือว่าใครบกพร่อง ผมปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ผมก็รับฟังเสียงของประชาชนด้วย แต่ผมยืนยันว่าไม่ได้ปรับเพราะเชื่อไปตามโซเชียลมีเดีย แต่สังคมไทยต้องยอมรับว่าเป็นแบบนี้ ก็ลองดูแล้วกันว่าปรับ ครม. แล้วมันจะดีขึ้นหรือไม่ ถ้ามันไม่ดีขึ้นก็แสดงว่าไม่ได้อยู่ที่คน อยู่ที่ระบบ ซึ่งเราต้องแก้ไขระบบที่มันผิดเพี้ยน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมายาวนาน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกระแสข่าว พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลาออกว่า “ไม่รู้ ไม่ได้ยิน ใครออก” เมื่อถามย้ำว่า ผบ.ตร. ลาออก นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครับ“เขาลาออกจากการเป็นบอร์ดบริษัทการบินไทยเท่านั้น”

ยันไม่รู้จัก “กลุ่มจิตพลังชาติไทย” – ชี้ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกลุ่มจิตพลังชาติไทย ที่จัดตั้งโดย พล.ต. ทรงกลด ทิพย์รัตน์ อดีตคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ มีความเกี่ยวข้องกับ คสช. หรือไม่ ว่า ตนยังไม่เคยได้ยินชื่อ ซึ่งตนไม่จำเป็นต้องพึ่งคนกลุ่มนี้ ฉะนั้นเรื่องการแอบอ้างต่างๆ ตนได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมไปดำเนินการตรวจสอบอยู่ ผิดถูกตรงไหนการกล่าวอ้างเป็นอย่างไร ทราบว่าเขาเคยเป็นข้าราชการ เป็นนายทหารพระธรรมนูญอยู่ในกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่มีบทบาท และตนไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ไม่ต้องมาอ้างว่าทำเพื่อ คสช. ไม่จำเป็น พรรค คสช. ไม่มี

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ก็มีพรรคการเมืองหลายพรรค เป็นพรรคการเมืองจดทะเบียนใหม่ เป็นพรรคทางเลือกใหม่ อันนี้เราต้องหาทางออกให้ประชาชนมีทางเลือก อย่าไปส่งเสริม สนับสนุนให้เดิมๆ อยู่ตลอดไป ไม่อย่างนั้นก็พันกันอยู่แบบเดิมๆ ก็สุดแล้วแต่ประชาชนเลือกเอาแล้วกัน

“ทำไมต้องไปถามรัฐมนตรีกลาโหมจะตั้งพรรคหรือไม่ตั้ง วันนี้ยังไม่ตั้งก็ไม่ตั้ง วันนี้ไม่ตั้ง วันหน้าไม่ตั้งใช่ไหม ก็ไปต่อไม่มีจบหรอกคำถามแบบนี้ เรื่องการจะตั้งพรรคการเมือง ยังไม่คิดตอนนี้ ดูสถานการณ์ไปก่อนยังมีเวลาอีก 1 ปี วันนี้บ้านเมืองต้องการความสงบ เดินหน้าปฏิรูปให้ได้ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ให้ประชาชนไปเลือกตั้งเอาแล้วกัน ประชาชนก็ต้องมีหลักคิดมีภูมิคุ้มกันในเรื่องการเมืองให้ดี อย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ ผมพูดไม่รู้จะเชื่อผมหรือเปล่า แต่ผมก็มีความจริงใจให้กับท่าน 3 ปีที่ผ่านมาก็ทำงานเยอะแยะในการแก้ไขปัญหา วันนี้เราต้องคำนึงถึงประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก ไม่ต้องคิดเรื่องได้หน้าเสียหน้า คำว่าโควตาทหาร โควตาการเมือง พรรคการเมือง พรรคทหาร เลิกได้แล้ว” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยังไม่คิดตั้ง “พรรคคสช.” -ถามกลับวันนี้มีทางเลือกให้ ปชช.หรือยัง?

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกระแสข่าว คสช. จะตั้งพรรคการเมือง เพื่อต้องการลดขนาดพรรคเพื่อไทย ว่า ตนจะไปลดขนาดใครได้ เป็นเรื่องที่ประชาชนจะเลือก จะตั้งพรรคหรือไม่ตั้ง ประชาชนเป็นคนเลือก จะเลือกใครก็แล้วแต่ วันนี้ต้องมีทางเลือกให้ประชาชนหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไป ถ้าไม่มีทางเลือก เขาก็ไม่รู้จะเลือกใคร แล้วจะอย่างไรก็ไปคิดกันมาแล้วกัน ช่วยแนะนำทางออกให้ตนหน่อยว่าควรทำตัวอย่างไร

“ผมรับฟัง ผมไม่อยากที่จะสร้างความขัดแย้งกับใคร อยากชี้แจงในอารมณ์ที่สงบ ซึ่งในที่ประชุมมีหลายเรื่องที่สั่งการไป ก็ขอให้ทุกคนพยายามรักษาสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในช่วง 1 ปีที่เหลืออยู่นี้ ถ้าเราทำตรงนี้ให้สงบไม่ได้ มันต้องมีการคาดการณ์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก่อนการเลือกตั้ง หลังการเลือกตั้ง มีรัฐบาลแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ลองคิดแบบนี้กันดู มันจะกลับมาอีกหรือไม่ ความขัดแย้งอะไรต่างๆ ให้ท่านกังวลกับผมด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนสุมไฟกันไปมา สุมให้มันลุกไปเรื่อยๆ แล้วมาให้ผมทำให้สงบ ผมจะมีอะไรทำล่ะ นอกจากบังคับใช้กฎหมาย คงไม่มีอะไรทำได้ ที่ผ่านมาบางทีกฎหมายก็ทำไม่ได้ นั่นคือปัญหาของประเทศไทย ขอร้องเถอะอย่าให้สิ่งที่เราพยายามทำกันมา 3 ปีล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นห่วง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า จะต้องมีปัจจัยอะไรที่ คสช. ต้องตั้งพรรคการเมือง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่รู้ ยังไม่ได้คิด เมื่อกี๊พูดไปแล้ว ประเมินเอา”

แจงปม รมว.แรงงานลาออก ปัดไม่เกี่ยวซื้อเครื่องสแกนม่านตา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงสาเหตุที่ พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีกระแสข่าวถูกกดดันและไม่พอใจเนื่องจากที่ปรึกษานายกฯชื่อย่อ ดร. อ เร่งให้กระทรวงแรงงานจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา เพื่อใช้จัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าว ว่า ถ้าจะมีก็คงเป็นทีมที่ปรึกษาของคณะทำงานของนายกฯ ที่เสนอคำปรึกษาเข้ามา โดยจากนั้นตนจะเสนอความเห็นไปให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ขับเคลื่อน โดยที่ปรึกษานี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวว่าจะต้องมาจัดซื้อจัดจ้าง หรือบังคับให้มีโน่นมีนี่

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นการจัดซื้อเครื่องแสกนม่านตา จะให้ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงในรายละเอียดว่ามีความจำเป็นหรือไม่อย่างไร ขณะนี้รัฐบาลเร่งรัดในเรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) การค้ามนุษย์ โดยต้องเร่งตรวจสอบทั้งแรงงานบนเรือและบนบก แต่ที่ผ่านมาพบว่าการตรวจสอบลายลักษณ์บุคคลโดยลายนิ้วมือและภาพถ่ายนั้นมีปัญหาคลาดเคลื่อน เมื่อแรงงานทำงานได้สักระยะ ลายนิ้วมืออาจไม่ชัดเจน เนื่องจากใช้มือมาก ดังนั้น การมีเครื่องสแกนม่านตาก็จะสามารถพิสูจน์ได้ดีขึ้น ป้องกันการบิดเบือน แก้ไขปัญหาการทุจริตในระบบการจ้างแรงงาน การย้ายงาน เนื่องจากเครื่องเหล่านี้มีความผิดพลาดน้อยมาก

“ที่สำคัญคือ ในห้วงที่ผ่านมา ในรัฐบาลก่อน มีการใช้งบประมาณจัดซื้ออุปกรณ์ในวงเงิน 4 ร้อยกว่าล้านบาท ตั้งแต่สมัยนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยไม่ได้ใช้งาน ประเด็นนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่วันนี้กลับมาอยู่ในเรื่องที่ยังทำไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรให้ทำให้ได้ ก็ไปสู่เรื่องของการเร่งดำเนินการในขณะนี้ และค่าใช้จ่ายไม่ได้มากขนาดนั้น วันนี้ทุกคนเป็นห่วงมีแรงงานจำนวนมากเข้ามา วันหน้าตรวจแล้วไม่ได้หรือข้อมูลต่างๆ ไม่สมบูรณ์ ก็มีปัญหาทางคดีความเยอะแยะ การโอนย้ายงานก็จะพันกันไปหมด ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการที่ พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า กรณีดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการจัดหางานอะไรทั้งสิ้น การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลาออก นั้นมีการแจ้งต่อตนว่าขอไปพัก ใบลาออกก็ระบุว่าขอไปประกอบธุรกิจส่วนตัว แล้วจะให้ตนตอบอย่างอื่นได้อย่างไร เนื่องจากท่านก็ไม่ได้อธิบายอย่างอื่นให้ทราบ แต่ไม่เป็นไร ใครจะลาออกก็ออกได้ ขออย่าเอาเรื่องนี้มาพันกัน จบได้แล้ว เพราะขณะนี้ได้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปรักษาการตามระเบียบแล้ว อย่ากังวล ไม่ได้มีปัญหาอะไรในกระทรวงแรงงาน อย่าไปขยายความกันอีกเลย

ด้าน พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องพิสูจน์อัตลักษ์ที่ใช้การสแกนม่านตานั้นใช้งบประมาณราว 120 ล้านบาท สำหรับกระแสข่าวที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 45 บาทต่อครั้งที่ใช้งานนั้น ตนยืนยันว่าไม่จริง เพราะซื้อมาครั้งเดียวจบ โดยเครื่องดังกล่าวจะมีประโยชน์ไม่เฉพาะภาคประมง แต่ยังขยายไปถึงแรงงานภาคอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งจะช่วยป้องกันเรื่องการทุจริต โดยเฉพาะการสวมรอยได้

อย่าดูแคลน “ตูน บอดี้สแลม” ชี้ทำไม่ได้ ก็ควรให้กำลังใจ

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการวิ่ง 2,191 กิโลเมตรในโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ของ นายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ว่า เห็นเขาวิ่งไหม เขาวิ่งมากี่ร้อยกิโลเมตรแล้วมีใครเคยวิ่งได้ไหม เขาตั้งเป้าหมายไว้ 2,191 กิโลเมตร นั่นคือเป้าหมายว่าเขาพยายามจะทำให้ได้ แต่หากทำไม่ได้ ก็ให้กำลังใจเขา

“วันนี้ถ้าเขาวิ่งไป 200, 300, 400 กิโลเมตร แล้วจำเป็นต้องหยุดก็ให้เขาหยุดไป ถ้าเขาหยุดตรงไหนก็ให้กำลังใจเขา ไปดูแลเขา หาหมอพักไป จะพักเท่าไรก็ได้ แล้วก็มาวิ่งต่อไหม วันหน้าวิ่งสัก  1 เดือน แล้วค่อยวิ่งต่อ ทำไมต้องไปดูถูกดูแคลนเขา ว่ารัฐบาลปล่อยให้เขามาวิ่งทำไม เขามาช่วยรัฐบาล มาช่วยกระทรวงสาธารณสุข มีใครจะวิ่งอย่างเขาไหม หรือทำอย่างอื่นก็ได้ให้เกิดประโยชน์กับโรงพยาบาล ทุกคนก็ผลักภาระให้รัฐบาลหมด ใครช่วยได้คนนั้นก็ทำไป คนดีๆ ก็เลยไม่ต้องทำอะไรกัน ทุกคนก็ชินอยู่กับเรื่องเก่าๆ วิธีการเดิมๆ คนเดิมๆ ออกมาพูดจา ก็เชื่อเขากันอยู่นั่นแหละ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ซ้าย) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขวา)

อนุมติ “ช็อปช่วยชาติ” หักภาษี 1.5 หมื่นบาท 11 พ.ย.-3 ธ.ค. 60

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2560 โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินที่จ่ายเป็นซื้อสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2560 มาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท ตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอ ทั้งนี้เพื่อให้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงปลายปี 2560 มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และผลดีต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวม และเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีของประชาชน อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะขยายฐานภาษีและส่งผลดีต่อการจัดเก็บรายได้ภาษีของรัฐในระยะยาว

สำหรับเงื่อนไขการซื้อสินค้าหรือรับบริการที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นการซื้อสินค้าเพื่อใช้ในประเทศหรือบริการเพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 แต่สินค้านั้นไม่รวมถึงการซื้อสุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ น้ำมัน ก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ และการบริการนั้นไม่รวมถึงการจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ การจ่ายค่าที่พักในโรงแรมให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด

การดำเนินมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ คาดว่าจะทำให้กรมสรรพากรสูญเสียรายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่จะทำให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบมียอดขายเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.05%

ไฟเขียวงบกลางกว่า 4 พันล้าน อุ้มเกษตรกรหลังน้ำลด

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด ตามกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 4,715.19 ล้านบาท เพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยหลังน้ำลด และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น กรอบวงเงินรวม 4,703.78 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอดังนี้

    1. เห็นชอบการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ 3,000 บาท เนื่องจากพายุตาลัสและเซินกา กรณีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย, น้ำไหลหลาก หรือน้ำเอ่อล้นตลิ่ง) ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ถึง 15 สิงหาคม 2560 โดยไม่ได้ระบุว่าเกิดจากพายุตาลัสและเซินกาให้สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 ได้เช่นเดียวกันกับจังหวัดที่ประกาศเขตฯ ที่ระบุชื่อพายุตาลัสและเซินกา กรอบวงเงิน 3,592.66 ล้านบาท

    2. เห็นชอบการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครัวเรือนละ 3,000 บาท เนื่องจากพายุทกซูรี หย่อมความกดอากาศต่ำ และร่องมรสุม (พื้นที่ได้รับผลกระทบขยายจากช่วงพายุตาลัสและเซินกา) ช่วงภัยตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม ถึง 31 ตุลาคม 2560 ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ทั้งนี้ อัตราการช่วยเหลือ ขั้นตอนการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งการขออนุมัติงบประมาณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2560 กรอบวงเงิน 750 ล้านบาท

    3. เห็นชอบการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่โครงการปรับเปลี่ยนระบบผลิตข้าวในพื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง กรอบวงเงิน 127.61 ล้านบาท โดยสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวนาปี ไร่ละ 5 กิโลกรัม

    4. เห็นชอบให้ชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน คิดเป็นวงเงินรวม 233.51 ล้านบาท ให้กับกลุ่มสหกรณ์และกลุ่มเกษตร 622 แห่ง ซึ่งมีสมาชิก 138,317 ราย มูลหนี้ต้นเงินกู้ 15,568 ล้านบาท

เห็นชอบ FTA อาเซียน-ฮ่องกง – ตั้ง สนง. ดูแล ศก.-การค้าในไทย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบเรื่องของการเข้าเป็นภาคีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงด้านการลงทุนระหว่างรัฐบาลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับรัฐบาลของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
สาระสำคัญของเรื่อง พณ. รายงานว่า อาเซียนและฮ่องกงได้กำหนดให้มีการลงนามในร่างความตกลง AHKFTA และร่างความตกลง AHKIA ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 (ASEAN Summit) ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกำหนดให้ความตกลงทั้งสองฉบับมีผลใช้บังคับวันที่ 1 มกราคม 2562 โดยสรุปได้ดังนี้

    1) ร่างความตกลง AHKFTA มีจำนวนบท 14 บท ครอบคลุมการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ

    2) ร่างความตกลง AHKIA มีจำนวนบท 29 บท ครอบคลุมการคุ้มครองการลงทุนและการส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการลงทุน แบ่งออกเป็น 2 เรื่องหลัก คือ (1) การคุ้มครองการลงทุนให้แก่นักลงทุนของภาคีหลังจากที่ได้เข้ามาจัดตั้งธุรกิจแล้วในอีกภาคีหนึ่ง รวมถึงการปฏิบัติต่อการลงทุนด้วยความเป็นธรรมและเท่าเทียมกันและการให้ความคุ้มครองและความมั่นคงอย่างครบถ้วน และการคุ้มครองเรื่องการเวนคืนและการชดเชย และการโอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเข้าและออกจากประเทศที่เป็นผู้รับการลงทุน เป็นต้น และ (2) การส่งเสริมและการอำนวยความสะดวกการลงทุน เช่น การสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน การทำให้กระบวนการสำหรับการยื่นขอและการอนุมัติการลงทุนง่ายขึ้น การส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูลด้านการลงทุน และการจัดตั้งศูนย์การลงทุนแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวในแต่ละภาคี เป็นต้น

“สินค้าที่อยู่ในข้อตกลงครั้งนี้มีทั้งหมด 9,558 รายการ ในจำนวนนี้มี 6,364 รายการ จะมีการปรับลดภาษีเหลือ 0% ภายใน 3 ปี เช่น สับปะรด ฝรั่ง มะม่วง ขนแกะ ทองแดง เป็นต้น ก็จะเป็นโอกาสที่ไทยจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าเกษตรไปสู่ตลาดฮ่องกงได้ กลุ่มที่ 2 ลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ภายใน 10 ปี เช่น ส้ม ยารักษาโรค ใยสังเคราะห์ โพลีเอสเตอร์ ประมาณ 1,750 รายการ กลุ่ม 3 เป็นกลุ่มอ่อนไหว ลดภาษีเหลือ 0-5% ภายใน 12 ปี อีก 435 รายการ เช่น แป้ง ข้าวสาลี เนื้อ เพชร พลอย และกลุ่มที่ 4 กลุ่มที่มีความอ่อนไหวสูง เช่น เครื่องนุ่งห่ม อุปกรณ์อะไหล่ เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องไฟฟ้า ลดภาษีเหลือ 5% ภายใน 14 ปี ประมาณ 650 รายการ ส่วนสินค้าถูกนำออกจากกรอบการเจรจามี 359 รายการ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า ข้าว ข้าวโพด เป็นต้น” นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีการตกลงเจรจาในเรื่องของการค้าบริการ ซึ่งข้อผูกพันดังกล่าวจะอนุญาตให้ผู้ให้บริการของภาคีสมาชิกอาเซียน รวมถึงฮ่องกง เข้ามาลงทุนในไทย 74 สาขาย่อย โดยผู้ให้บริการของภาคีสมาชิกอาเซียนสามารถถือหุ้นในกิจการไม่เกิน 25% เช่น บริการให้เช่าวงจร และบริการข้อมูลออนไลน์ สืบค้นหาข้อมูล หรืออนุญาตให้ถือหุ้นในกิจการไม่เกิน 40% ใน 2 สาขาย่อย เช่น วีดีโอเท็กซ์ บริการประชุมทางไกล บริการประมวลผลข้อมูลออนไลน์ผ่านเครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะ หรืออนุญาตให้ถือหุ้นในกิจการไม่เกิน 49% ใน 51 สาขาย่อย เช่น บริการด้านกฎหมาย, บริการผลิต จัดจำหน่ายภาพยนตร์ และวีดีทัศน์, บริการด้านการศึกษาระดับประถมศึกษา โรงเรียนนานาชาติ และบริการด้านการศึกษาระดับมัธยมศึกษา เป็นต้น และสุดท้ายอนุญาตให้ถือหุ้นในกิจการไม่เกิน 70% ใน 19 สาขาย่อย เช่น บริการให้คำปรึกษาในการร่างเอกสารเกี่ยวกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ บริการด้านพยากรณ์อากาศและอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการอนุญาตให้บุคคลธรรมดา เข้ามาพำนักในไทยได้ไม่เกิน 90 วัน และในระดับผู้จัดการ ผู้บริหาร และผู้เชี่ยวชาญอนุญาตให้เข้ามาพำนักในไทย ครั้งแรกไม่เกิน 1 ปี และขยายเวลาได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี และที่สำคัญ จะต้องอนุญาตให้ผู้ให้บริการของภาคีสมาชิกสามารถเข้าไปลงทุนในฮ่องกง โดยถือหุ้นได้ถึง 100% ในสาขาบริการต่างๆ ประมาณ 90% ของสาขาบริการที่ฮ่องกง ยกเว้นบริการวิศวกรรม บริการด้านโทรคมนาคม เป็นต้น รวมทั้งยกร่างความตกลง AHKIA ครอบคลุมการคุ้มครองการลงทุนและการส่งเสริม และการอำนวยความสะดวกการลงทุน แต่ข้อผูกพันของไทยภายใต้ความตกลง AHKFTA และความตกลง AHKIA จะไม่มีผลให้ไทยต้องแก้ไขกฎหมายภายในประเทศ โดยที่ประชุม ครม. ยังได้เห็นชอบการจัดตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย (Hong Kong Economic and Trade Office: HKETO)

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ ตามที่ ครม. เคยมีมติเห็นชอบให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตเพิ่ม 2% ของรายได้ภาษีสุราและยาสูบ แต่ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท และให้รวมเงินที่มีผู้บริจาคโดยสมัครใจสละเบี้ยยังชีพ เพื่อบริจาคเข้ากองทุนผู้สูงอายุไปช่วยผู้สูงอายุรายอื่นๆ ที่มีรายได้น้อย เริ่มรับบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป ซึ่งผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถแจ้งความจำนงได้ที่หน่วยรับแจ้งการบริจาค เช่น สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร, เมืองพัทยา, เทศบาล, องค์การบริหารส่วนตำบลที่ตนได้ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพไว้ โดยกระทรวงการคลังจะมอบรับเหรียญเชิดชูเกียรติเป็นเหรียญพระคลังขนาด 3 เซนติเมตร ชนิดทองแดงชุบทอง ให้กับผู้บริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุน และสามารถนำเงินบริจาคไปหักลดหย่อนภาษีได้ กรณีผู้บริจาคเปลี่ยนใจ เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย สามารถมายื่นคำร้องขอกลับไปรีบเบี้ยยังชีพคนชราได้ด้วย

คืนสิทธิผู้ประกันตน 3,770 คน รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติ ยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดว่าผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าวต้องไม่มีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคม เนื่องจากผู้ที่มาลงทะเบียนกลุ่มนี้อยู่ในเกณฑ์ยากจน จึงควรได้รับสิทธิ์เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบผลการดำเนินงานเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 โดยเด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่มีสัญชาติไทย คนใด คนหนึ่ง ในระหว่าง 1 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 มีสิทธิได้รับเงินอุดหนุนรายละ 400 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีข้อแม้ผู้มีสิทธิ์ต้องอยู่นอกระบบประกันสังคม ต่อมาในปีงบประมาณ 2559 มีการขยายการช่วยเหลือเป็น 3 ปี เพิ่มเงินช่วยเหลือเป็น 600 บาทต่อคน ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียน 278,322 คน รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณปี 2560 ช่วยเหลือ 1,939 ล้านบาท ปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนประมาณ 3,770 คนอยู่ในเกณฑ์ยากจน แต่ไปมีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคม จึงถูกตัดสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด วันนี้ที่ประชุม ครม. จึงมีมติยกเลิกเงื่อนไขดังกล่าว

กำหนดการ ครม.สัญจร ภาคใต้ 27-28 พ.ย.

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2560 จะมีการประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.สงขลา โดยในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 พล.อ. ประยุทธ์ พร้อมด้วยรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้อง จะลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อติดตามการปฏิบัติงานของทุกหน่วยงาน การพัฒนาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และมาตรการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน จะมีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้และภาคเอกชนที่ จ.สงขลา

ขณะที่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 จะเป็นการประชุม ครม. ตามวาระ จากนั้นในช่วงเย็นนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่พบปะประชาชนที่ จ.สงขลา อย่างไรก็ตาม ด้านรัฐมนตรีแต่กระทรวงได้มีการแบ่งงานลงพื้นที่เช่นเดียวกับการประชุม ครม. สัญจรครั้งที่ผ่านๆ มา โดยในครั้งนี้จะลงพื้นที่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ครม. เคาะหยุดปีใหม่ 4 วัน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้วันที่ 2 มกราคม 2561 เป็นวันหยุดเพิ่มอีก 1 วัน เพื่อชดเชย วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ซึ่งเป็นวันหยุดประจำปี แต่ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดประจำเดือน

“สรุปแล้วปลายปี 2560 จะมีวันหยุด คือวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ถึง วันที่ 2 มกคาคม 2561 รวม 4 วัน ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้อธิบายให้ ครม. ทราบว่า ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นข่าวดีหรือไม่ ถ้าจะเป็นข่าวดีก็คงต้องหยุด 5 วัน แต่ก็มีหลายส่วนที่ประกอบกิจการมองว่าหยุดมากไปก็ไม่ดี เศรษฐกิจไม่ขับเคลื่อน เพราะวันหยุดในเดือนธันวาคม 2560 มีจำนวนหลายวันไม่ว่าจะเป็นวันรัฐธรรมนูญ และวันที่ 5 ธันวาคม 2560 เป็นต้น” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ต่ออายุ “นที” นั่ง ผอ.กองทุนหมู่บ้านอีก 1 ปี

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวว่า ที่ประชุม คสช. เห็นชอบ ใช้คำสั่งตามหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 แต่งตั้งให้นายนที ขลิบทอง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ต่อไปอีก 1 ปี เนื่องจากมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่กระบวนการสรรหา ผอ. คนใหม่ต้องใช้เวลานาน แต่ระหว่างนี้สามารถเปิดการสรรหาควบคู่ไปด้วยได้

รับรองเอกสาร 25 ฉบับ ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมผู้นำสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน 2560 ที่กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีเอกสารทั้งสิ้น 25 ฉบับ แบ่งเป็นเอกสารการลงนามระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 1 ฉบับ ได้แก่ ร่างฉันทามติอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของแรงงานต่างด้าว ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการสร้างกลไก ส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิสวัสดิภาพของแรงานต่างด้าวในอาเซียน เอกสารที่จะต้องมีการรับรอง 20 ฉบับ เช่น ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยนวัตกรรม ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการจัดการด้านสาธารณสุขในสภาวะภัยพิบัติ และร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการรับรองดัชนีการพัฒนาเยาวชนอาเซียน

สำหรับเอกสารที่คาดการว่าจะรับรองเพิ่มอีก 3 ฉบับ คือ ร่างถ้อยแถลงร่วมอาเซียนจีน ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการต่อต้านการทุจริตที่มีประสิทธิภาพอย่างรอบด้าน ร่างถ้อยแถลงอาเซียนจีนว่าด้วยความร่วมมือ เชื่อมโยงสาธารณูปโภคพื้นฐานและร่างถ้อยแถลงของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน สหภาพยุโรปสมัยพิเศษในโอกาสครบรอบ 40 ปี ของการก่อตั้งความสัมพันธ์เจรจาอาเซียน-สหภาพยุโรป และเอกสารที่ รมต.อาเซียนจะลงนามร่วมกัน 1 ฉบับ ทั้งนี้ผลลัพธ์เอกสารทั้งสองฉบับไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่จะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญไทย

ผ่านร่างปฏิญญา-แถลงการณ์ร่วมประชุม APEC

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการข้าร่วมประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปกครั้งที่ 25 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปก ครั้งที่ 29 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2560 ที่นครดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีการรับรองเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • ร่างปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งที่ 25 (ปฏิญญาดานัง) มีสาระสำคัญ เช่น ส่งเสริมการเติบโตอย่างมีนวัตกรรมและการจ้างงานที่ครอบคลุมและยั่งยืน การสร้างความมั่นคงทางอาหารและการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมอนาคตร่วมกัน
  • ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเอเปก ครั้งที่ 29 มีสาระสำคัญ เช่น การส่งเสริมบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาค การส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน มีนวัตกรรมและครอบคลุม การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและนวัตกรรมของวิสาหกิจขนาดกกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วิชาการ และผลลัพธ์ด้านต่างๆ

ทั้งนี้ผลลัพธ์เอกสารทั้งสองฉบับ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่จะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ

ไม่หวั่น “คิงส์เกต” ยื่นฟ้องอนุญาโตฯ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุม ครม. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงในที่ประชุมถึงกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดดเต็ด จำกัด ผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำชาตรี ของ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการ ว่ากรณีดังกล่าวนั้นมิใช่การปิดช่องเจรจา

“นายกรัฐมนตรีฟังแล้วบอกว่าเรื่องนี้มีหลายเหตุ เรื่องเหมืองทองอัคราไม่ได้เริ่มดำเนินการในรัฐบาลนี้ แต่ประชาชนเกิดเจ็บป่วยโดยเชื่อว่ามีผลมาจากเหมืองแม้ผลตรวจสอบเบื้องต้นจะว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหมืองดังกล่าว แต่ประชาชนเชื่อเช่นนั้น ซึ่งไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลต้องเอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง จึงให้หยุดการประกอบกิจการไปก่อน ซึ่งเราก็ไม่ได้วิตก แต่ก็ไม่ใช่ไม่คำนึงถึงผลกระทบ ขอระยะเวลาหนึ่งในการตรวจสอบให้มั่นใจกับทุกฝ่ายก่อนเท่านั้น” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

“ไก่อู” เผยยังไม่มีมติ ย้าย ผว.ชลบุรี-นนทบุรี เข้ากรุ

มีรายงานเพิ่มเติมว่า พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) เปิดเผยว่า มีการนำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ สมุทรปราการ และนายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าฯ นครสวรรค์ เสนอเข้า ครม. จากกรณีปมปัญหาความไม่เรียบร้อยในงานพระราชพิธีฯ

ทั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงในที่ประชุม โดยตนได้ขอเรื่องคืนมา และได้ขออำนาจนายกรัฐมนตรี ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี มาปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ดังนั้น รองผู้ว่าฯ ของทั้ง 2 จังหวัดที่มีลำดับอาวุโสสูงสุด ก็จะต้องขึ้นมาปฏิบัติราชการแทน

อย่างไรก็ตาม พล.ต. สรรเสริญ ระบุว่าไม่มีเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในวันนี้แต่อย่างใด

อ่านมติ ครม. วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ที่นี่