ThaiPublica > เกาะกระแส > ป.ป.ช. ชี้มูลอดีต ขรก.สำนักพุทธฯ 9 ราย ผิดวินัย – อาญา ร่วมทุจริตเงินทอนวัดภาคใต้ – ตั้งทีมทวงเงินวัด 12 ล้านคืนคลัง

ป.ป.ช. ชี้มูลอดีต ขรก.สำนักพุทธฯ 9 ราย ผิดวินัย – อาญา ร่วมทุจริตเงินทอนวัดภาคใต้ – ตั้งทีมทวงเงินวัด 12 ล้านคืนคลัง

8 มกราคม 2018


นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช.

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2561 นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมีพล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน กรณีกล่าวหา น.ส.ประนอม คงพิกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กับพวก รวม 9 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เกี่ยวกับการอนุมัติจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนแก่วัดชลธาราวาส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส, วัดยูปาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา และวัดสุริยาราม อ.เทพา จ.สงขลา วัดละ 4,000,000 บาทนั้น

นายวรวิทย์กล่าวว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานพบว่า ในปีงบประมาณ 2558 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 เป็นเงินอุดหนุน 4,501,448,900 บาท โดยงบอุดหนุนส่วนหนึ่งจำนวน 459,842,000 บาท ใช้ในโครงการ/กิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองพุทธศาสนาศึกษา ทั้งนี้ ในการจัดสรรเงินอุดหนุนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนโครงการ/กิจกรรมเผยแผ่พระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2558 มีผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (นายพนม ศรศิลป์) เป็นที่ปรึกษา และรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (น.ส.ประนอม คงพิกุล) เป็นประธานกรรมการ

ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2558 นายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา ได้ประสานติดต่อกับวัดชลธาราวาส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส, วัดยูปาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา และวัดสุริยาราม อ.เทพา จ.สงขลา ว่าจะมีการจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้ แต่มีเงื่อนไขว่าวัดจะต้องคืนเงินส่วนหนึ่งแก่ตน และต่อมาคณะกรรมการพิจารณาการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนฯ มีการประชุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 ได้พิจารณาจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้วัดซึ่งไม่ได้ขอรับเงินอุดหนุน จำนวน 3 วัดดังกล่าวที่นายเสถียรได้ประสานติดต่อไว้ หลังจากนั้นได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนธุรการ เพื่อขออนุมัติจัดสรรและโอนจ่ายเงินอุดหนุนแก่วัดทั้งสาม ซึ่งต่อมานายพนม ศรศิลป์ ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้อนุมัติให้โอนจ่ายเงินแก่วัดทั้ง 3 แห่ง วัดละ 4,000,000 บาท

หลังจากได้โอนเงินอุดหนุนแก่วัดทั้ง 3 แห่งแล้ว นายเสถียรได้แจ้งกับวัดทั้ง 3 แห่งว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีแล้วจำนวน 4,000,000 บาท ให้คืนเงินจำนวน 3,200,000 บาท โดยในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 นายเสถียรได้ไปพบกับพระครูบริหารสังฆานุวัตร บริเวณห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาสงขลา เพื่อรับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาส จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายเสถียร พร้อมของกลางเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท รวมเป็นเงิน 3,200,000 บาท

หลังจากนายเสถียรถูกจับกุม ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน น.ส.ประนอม โทรศัพท์แจ้งนายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ ขณะดำรงตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ ให้จัดทำเอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนา เสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อจัดทำโครงการในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 3 กิจกรรม เพื่อแสดงว่าจะนำเงินจำนวน 4,000,000 บาท ที่ได้โอนให้กับวัดชลธาราวาส ไปใช้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าวซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อทำเอกสารเสร็จแล้ว จึงได้ส่งแฟกซ์เอกสารให้สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดสงขลา เพื่อใช้ประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริงที่นายเสถียรถูกจับกุมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยวรรคท้ายในบันทึกข้อความปรากฏข้อความว่า “จะมีการจัดประชุมผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 28 สิงหาคม 2558 เพื่อรับมอบเงินจำนวน 3,200,000 บาท (ที่นายเสถียรรับจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร) นำไปดำเนินการตามโครงการดังกล่าว”

จากนั้น น.ส.ประนอมได้มีหนังสือถึงผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมแนบแผนการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว เพื่อให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ประสานคณะสงฆ์ภาคส่วนต่างๆ และพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ เพื่อร่วมดำเนินการตามแผนโครงการ ดังนั้น จึงต้องแบ่งเงินจำนวน 3,200,000 บาท จากวัดชลธาราวาส เพื่อนำไปใช้ในแผนการขับเคลื่อนโครงการ ระยะที่ 1 โดยต้องให้ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปรับเงินที่นายเสถียรรับคืนจากพระครูบริหารสังฆานุวัตร จำนวน 3,200,000 บาท ในวันที่ 28 สิงหาคม 2558 ที่วัดโคกสมานคุณ จ.สงขลา เพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมในจังหวัดของตน สำหรับในส่วนของเงินจำนวน 3,200,000 บาท ที่จัดสรรให้กับวัดยูปาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 2 ในจังหวัดสงขลา ปัตตานี สตูล และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท และเงินจำนวน 3,200,000 บาท ที่จัดสรรให้กับวัดสุริยาราม จะนำไปใช้ตามแผนการขับเคลื่อนโครงการระยะที่ 3 ในจังหวัดปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส จังหวัดละ 800,000 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนฯ พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่วัดชลธาราวาส, วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม โดยไม่มีเอกสารประกอบการพิจารณา จึงเป็นการไม่ชอบ เอกสารโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนา เสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว เป็นการจัดทำเอกสารหลักฐานเท็จ ภายหลังที่นายเสถียรถูกจับกุม และการที่ น.ส.ประนอม ทำหนังสือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติลงวันที่ 27 สิงหาคม 2558 และ ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2558 เป็นการดำเนินการเพื่อรองรับการกระทำของนายเสถียรที่เรียกรับเงินจากวัดชลธาราวาส, วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม โดยทุจริต และเห็นว่าการจัดสรรงบเงินอุดหนุนให้ทั้ง 3 วัดดังกล่าว จึงมิใช่เพื่อนำไปแบ่งดำเนินการในโครงการหรือกิจกรรมอื่นตามแผนการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 3 ระยะ รวมทั้งการที่นายเสถียรเรียกเงินจากวัดชลธาราวาส, วัดยูปาราม และวัดสุริยาราม วัดละ 3,200,000 บาท โดยได้รับเงินในส่วนของวัดชลธาราวาสจากพระครูบริหารสังฆานุวัตรในวันที่ 21 สิงหาคม 2558 จึงไม่ได้มีเจตนาเพื่อนำไปใช้ในโครงการหรือกิจกรรมอื่น หรือเป็นการกระทำในการปฏิบัติราชการของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 แต่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น

สำหรับการติดตามเงินคืนนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามเรียกเงินอุดหนุนจำนวน 12,000,000 บาท คืนจากวัดทั้ง 3 แห่ง และนำส่งกระทรวงการคลังแล้ว

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติดังต่อไปนี้

    1. น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และนายเสถียร ดำรงคดีราษฎร์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 มาตรา 162(4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และมาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

    2. นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157

    3. นายประสงค์ จักรคำ ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา นายวสวัตติ์ กิตติธีระสิทธิ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ และนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการศาสนา ชำนาญการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน และมีส่วนในการจัดทำเอกสารเท็จเกี่ยวกับการขออนุมัติจัดสรรเงินอุดหนุนแก่วัดทั้ง 3 แห่ง มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 162 (4) ประกอบมาตรา 83 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83

    4. นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร นักวิชาการศาสนาชำนาญการ นายดำรงค์ศักดิ์ เกตุแก้ว นักวิชาการศาสนาชำนาญการ และนายจักรเวทย์ เดชบุญ นักวิชาการศาสนาปฏิบัติการ ในฐานะกรรมการพิจารณาจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยและส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป