ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ปัดเอี่ยวตั้ง “พรรคทหาร” หนุนนั่งนายกฯต่อ มติ ครม.ไฟเขียวสินเชื่อ SMEs 2.45 แสนล้าน

“บิ๊กตู่” ปัดเอี่ยวตั้ง “พรรคทหาร” หนุนนั่งนายกฯต่อ มติ ครม.ไฟเขียวสินเชื่อ SMEs 2.45 แสนล้าน

20 ธันวาคม 2017


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน โดยวันนี้ในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้มอบของขวัญปีใหม่ เป็นกระเป๋าลายผ้าสานให้รัฐมนตรีและคู่สมรส ซึ่งผ้าที่นำมาทำกระเป๋าเป็นผ้าที่นำมาจากวิสาหกิจชุมชน จ.เชียงใหม่ พร้อมทั้งสมุดบันทึกเล่มใหญ่และเล่มเล็ก โดยนายกรัฐมนตรีได้อวยพรรัฐมนตรีทุกคนที่เข้าร่วมประชุม ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ สิ่งต่างๆ ที่ ครม. ทำกันมาทั้งหมดคิดว่าจะเห็นผลในปีหน้า และขอให้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความยากจนให้ประชาชน โดยการลดความเหลื่อมล้ำให้ประชาชนด้วย

“บิ๊กตู่” ปัดเอี่ยวตั้ง “พรรคทหาร” หนุนนั่งนายกฯต่อ

จากนั้นพล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวกรณีมีกระแสข่าวการตั้งพรรคประชารัฐคงว่าประเด็นนี้ต้องไปถามคนพูด เพราะตนไม่รู้เรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด พร้อมถามกลับว่าพรรคทหารคืออะไร หลายคนบอกว่าเป็นพรรคการเมืองรูปแบบเดิมที่มีทหาร แต่ตนยังไม่เห็นมีทหารที่ไหนไปตั้งพรรคการเมืองให้ตนเลย แต่ถ้ามีนายทหารออกมาตั้งพรรคการเมือง ก็เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับตน

“คงไม่มีใครตั้งพรรคทหารหรอก เพราะรู้ว่าตั้งมาแล้ว ก็คือปัญหา มันก็ไม่เคยสำเร็จสักที แล้วจะไปตั้งให้มันเมื่อยทำไม ทุกคนพยายามจะสร้างกระแสให้ได้ว่าจะมีพรรคทหารให้คนรังเกียจ ต้องไปดูจุดมุ่งหมายที่เขาพูดกันเพื่ออะไร ไปถามเขาดู ทั้งนี้สิ่งที่รัฐบาล คสช. คิดคำนึงตลอดเวลาที่จะสนับสนุนนั้นเป็นการสนับสนุนทุกพรรคไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ ที่เข้ามาสู่การเมืองอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพ มองเห็นอนาคตประเทศ เป็นเรื่องของประชาชนที่จะตัดสินในการเลือกต่อไป ทุกพรรคมีโอกาสทั้งสิ้น อย่าไปมองว่า พรรคนี้จะได้ พรรคโน้นจะไม่ได้ เดี๋ยวทุกอย่างจะค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ความชัดเจนจะเกิดขึ้น ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเองในการเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามกระแสข่าวพรรคทหารที่จะตั้งขึ้นมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค แล้วจะสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรี อยู่ต่อ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้ถามนายสมคิดแล้ว ซึ่งนายสมคิดบอกว่าไม่ได้ตั้ง การจะสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีอยู่ต่อ จะอยู่ต่ออย่างไร ตนก็ยังไม่รู้ ซึ่งการอยู่ต่อนั้น อยู่ที่ว่ารัฐธรรมนูญเขียนเรื่องนายกรัฐมนตรีคนนอกไว้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งมันยังไปไม่ถึงตรงนั้นเลย พรรคตั้งใหม่ พรรคเก่าจะไปยังไง ก็ยังมองไม่ออกเลย ทำไมจะต้องไประแวงตรงนั้น เขาเรียกว่ามองปัญหาไปก่อนแล้ว ยังไม่ถึงตรงนั้นจะรีบไปทำไม ตนคงไม่ไปทำอะไรให้วุ่นวายขนาดนั้น

เมินคำทำนาย “โหรวารินทร์” ขอเดินหน้าแก้ปัญหาความยากจนก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีมีการเคลื่อนไหวของคณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในช่วงเวลานี้ที่ออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของท่าน รวมถึงการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ก็เป็นความคิดของท่าน แล้วแต่ประชาชนจะว่าอย่างไร

ต่อคำถามกรณีที่โหรวารินทร์ออกมาทำนายว่าปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง และ พล.อ. ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า โหรก็คือโหร ก็ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ก็คือโหร เป็นสถิติทางโหราศาสตร์ ส่วนการที่จะให้ตนวิเคราะห์การเมืองในปีหน้านั้น ตนไม่รู้จะวิเคราะห์ยังไง ขอทำงานแก้ปัญหาความยากจนก่อนดีกว่า จะไปวิเคราะห์การเมืองทำไม ตนยังไม่ได้ไปเดินการเมืองสักอัน

ชี้ปรับภาพลักษณ์รัฐบาล ต้องอธิบายมากขึ้น

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการแบ่งการทำงานเพื่อปรับภาพลักษณ์การประชาสัมพันธ์ข่าวของรัฐบาลโดยดึงนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี มาช่วยดู ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะดี หรือ ไม่ดี และยังไม่รู้ว่าจะทำให้ดีขึ้นหรือเปล่า เพียงแต่ว่าวิธีการนำเสนอจะต้องมีการปรับปรุงและปรับแก้ใหม่ทั้งหมดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถอธิบายได้ว่านโยบายต่างๆ ที่ระบุว่าดีขึ้นนั้นมีผลกระทบอะไร หรือ สร้างอะไรให้กับประเทศ เช่น เรื่องพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ คำอธิบายจำเป็นต้องมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เช่นนั้น อาจถูกคนนำไปพาดพิงบิดเบือน

นายกฯโชว์ Seiko ยันไม่ปกป้อง “บิ๊กป้อม”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกระแสกดดัน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะเรื่องนาฬิกาหรู ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ. ประวิตร ก็จะมีการดำเนินการด้วยตัวท่านเอง ไม่มีใครไปดูแลหรือปกป้องได้ เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน

เมื่อผู้สื่อข่าวถาม พล.อ. ประยุทธ์ สวมนาฬิกายี่ห้อใด ขอให้โชว์ได้หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ทำไมต้องโชว์ ก็ใส่อยู่ทุกวัน จากนั้นได้ยกมือข้างซ้ายโชว์นาฬิกา

“ขอร้องอย่าให้เป็นประเด็นเลย ผมก็รู้ว่าควรจะเอายังไง ก็เป็นนาฬิกายี่ห้อไซโก (Seiko) ใส่แล้วโก้ไหม เด็กๆ ผมก็ใส่ไซโก ใส่อะไรก็เหมือนกันทั้งนั้น วันข้างหน้าเอาอย่างนี้หรือไม่ ห้อยนาฬิกาปลุกไว้ที่คอ แล้วค่อยว่ากัน ผมไม่ใส่เกินราคาหรอก ผมมีนาฬิกาหลายเรือน ซึ่งได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินไปกับ ป.ป.ช. ทั้งหมดแล้ว รับรองว่าไม่ผิดกฎหมายแน่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมินเอกชนบ่น “บัตรแมงมุม” ต้นทุนสูง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการใช้ระบบตั๋วร่วม (บัตรแมงมุม) เชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งผู้ประกอบการบางรายระบุว่ามีต้นทุนสูง จะต้องเพิ่มค่าโดยสารขึ้นอีก ว่า เรื่องเพิ่มค่าโดยสารยังไม่พิจารณา ส่วนเรื่องต้นทุนสูงนั้นการลงทุนของท่านอยู่ในเรื่องการลงทุนร่วมกับภาครัฐ อยู่ในสัญญา หากท่านเห็นว่าลงทุนสูง ก็อย่ามาทำสัญญากับภาครัฐ อย่ามาทำตรงนี้ ให้คนที่เขาไม่มีปัญหาตรงนี้เข้ามาทำ ถ้าทุกคนต้องการเหมือนกันหมด แล้วมันจะไปต่างกันตรงไหน มันอยู่ในข้อตกลงทีโออาร์ไม่ใช่หรือ เมื่อเข้ามาแล้วบอกว่าไม่ถูกต้องได้อย่างไร

ยันกองทัพไม่ปกปิดผลสอบ “น้องเมย”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีครอบครัวของนักเรียนเตรียมทหาร ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ (น้องเมย) ไม่เข้ารับฟังสรุปผลการสอบสวนการเสียชีวิตจากทางกองทัพ ว่า ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของครอบครัวเขา เมื่อเขาบอกว่าไม่ว่างก็ไม่มา ถ้าว่างเขาก็คงมา หากมีข้อสงสัยก็ถามมา อยากได้ข้อมูลตรงไหนก็ให้ถามมา ผู้เกี่ยวข้องก็พร้อมตอบและพร้อมจะเชิญมาฟัง ทางกองทัพไม่ได้ปกปิดหรือปกป้องอะไร ให้เป็นไปตามกระบวนการ

“เราต้องมาดูว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ถ้าแก้ด้วยความรู้สึก ก็คงแก้ปัญหาไม่ได้ต้องแก้ด้วยกฎหมาย ด้วยหลักการ นิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ แต่ทั้งนี้ทุกคนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นอยู่แล้ว ต้องมองประเด็นนี้ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก ก็ต้องหาวิธีการกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

คดีเผารถทัวร์ภาคใต้ยังไม่สรุป ขอตรวจสอบก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเผารถทัวร์และมีการแจกใบปลิวเก็บค่าคุ้มครองเส้นทางในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบ โดยต้องตรวจสอบว่าเป็นเรื่องคดีความมั่นคงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะกรณีที่เกิดขึ้นในภาคใต้ตนยังไม่ตัดสินว่าเป็นเรื่องใด ต้องมองเรื่องธุรกิจด้วย เพราะการให้บริการก็อาจมีการกระทบกับของ 2 ฝ่าย ขณะนี้กำลังสอบอยู่ซึ่งมีแนวโน้มจะจับกุมได้ หากได้ตัวเราก็จะได้ข้อมูลข้อเท็จจริง

มติ ครม. มีดังนี้

เห็นชอบมาตรการสินเชื่อหนุน SMEs วงเงิน 2.45 แสนล้าน

นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อขับเคลื่อน SMEs เข้าสู่ยุค 4.0 “เสริมแกร่ง เพิ่มทุน ครอบคลุมทุก SMEs” วงเงินรวม 2.45 แสนล้าน โดยถือเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ประกอบการ SMEs เป็นมาตรการทางการเงิน ได้แก่

  • โครงการฟื้นฟูและเสริมศักยภาพ SMEs – คนตัวเล็ก ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับ SMEs ที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องแต่ประสบปัญหาทางการเงิน หรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก โดยใช้งบประมาณจากกรองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จำนวน 2,000 ล้านบาท และงบประมาณจากกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐอีกจำนวน 8,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้ได้รับสินเชื่อ 33,300 ราย มีวงเงินอุดหนุนสูงสุด 1 ล้านบาท ระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 10 ปี สามารถยื่นกู้ผ่านหน่วยงานบริการเคลื่อนที่ 1,000 หน่วยงานของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ
  • สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนของ ธพว. (Local Economy Loan) ในวงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เช่น เกษตรแปรรูป การท่องเที่ยวชุมชน โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการได้รับสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท ให้กู้สูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 3 คงที่ 3 ปี ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกัน ผ่อนนาน 7 ปี สามารถยื่นกู้ผ่านหน่วยบริการเคลื่อนที่ 1,000 หน่วยของ ธพว. ซึ่งรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3 ปี ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
  • สินเชื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2 ของธนาคารออมสิน ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับ SMEs ในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) คาดว่าจะมีผู้ประกอบการได้รับสินเชื่อ 2,600 ราย ให้กู้สุงสุด 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำอัตราร้อยละ 4 คงที่ 7 ปี หลักประกันตามเกณฑ์ธนาคาร ระยะเวลาผ่อนยาวนาน 7 ปี ยื่นกู้ผ่านหน่วยบริการเคลื่อนที่ของ ธพว. ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐและธนาคารพาณิชย์ โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 3 ปี ไม่เกิน 3,345 ล้านบาท

“ทั้ง 3 โครงการมีวงเงินสินเชื่อรวม 80,000 ล้านบาท คาดว่าจะครอบคลุมกลุ่มเอสเอ็มอีเป้าหมาย 51,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงาน 167,600 คน และเกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 370,000 ล้านบาท” นายสมชายกล่าว

สำหรับสินเชื่ออีกส่วนหนึ่งเป็นของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่มีโครงการสินเชื่อสนับสนุนกลุ่ม SMEs ในปี 2561 วงเงินรวม 165,000 ล้านบาท ได้แก่

  • ธนาคารกรุงไทย วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท เช่น สินเชื่อสนับสนุนธุรกิจเกษตรต่อเนื่อง สินเชื่อสนับสนุน SMEs โลจิสติกส์
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงินรวม 95,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อ SMEs เกษตรเพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรกรไทย โครงการชุมชนปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อพัฒนาอาชีพของผู้มีรายได้น้อย
  • ธนาคารออมสิน วงเงินรวม 45,000 ล้านบาท ในแนวทางแก้ไขปัญหาขาดสภาพคล่องให้สินเชื่อเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการ วงเงิน 1,500 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี
  • ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ในโครงการ EXIM Global SMEs Credit

คงกรอบเงินเฟ้อปี 61 ที่ 1-4%

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบเป้าหมายทางการเงิน ประจำปี 2561 ตามที่กระทรวงการคลั และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้กำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2561 ซึ่งกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2.5±1.5 หรืออัตราเงินเฟ้อร้อยละ 1-4 นับเป็นเป้าหมายเดียวกับปี 2560 ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบมีความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นกรอบที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาระยะปานกลาง ควบคู่กับการดูแลการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน

“ระดับเงินเฟ้อดับกล่าวเป็นระดับที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สอดคล้องกับศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทย การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2561 จะปรับสูงขึ้นจากปี 2560 และจะอยู่ภายในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่กระจายตัวทั่วถึง รวมถึงพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปแตกต่างไปจากที่ประเมินไว้” นายณัฐพรกล่าว

แจงความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ลงเสาเอก 21 ธ.ค.นี้

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานและความคืบหน้า โครงการความร่วมมือะระหว่างรัฐบาลไทยและจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชศรีมา) ครั้งที่ 1

โดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ 1. ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้าง 21 ธันวาคม 2560 ใช้เวลา 6 เดือน และให้เร่งรัดระยะ 2 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเดือนสิงหาคม 2561 ใช้เวลา 12 เดือน 3. ช่วงแก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 119.5 กม. เริ่มก่อสร้างเดือนพฤศจิกายน 2561 ใช้เวลา 30 เดือน และ 4. ช่วงบางซื่อ-แก่งคอย ระยะทาง 119 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเดือนมกราคม 2562 ใช้เวลา 30 เดือน โดยการก่อสร้างในช่วงที่เหลือการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะดำเนินการหาผู้รับเหมาด้วยวิธีการประกวดราคาตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560

“ในการดำเนินการก่อสร้างช่วง กลางดง-ปางอโศก กำหนดให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการก่อสร้าง กรอบวงเงิน 425.94 ล้านบาท ตามที่ รฟท. เสนอ ซึ่งจะเริ่มปักหมุดก่อสร้างในวันที่ 21 ธันวาคม 2560 เนื่องจากเป็นการก่อสร้างทางวิ่งระดับดิน โดยมีลักษณะเป็นคันทางรถไฟเป็นหลัก ใกล้เคียงกับการก่อสร้างคันทางถนนที่กรมทางหลวงมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว” นายณัฐพรกล่าว

นอกจากนี้ นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง (ราคากลาง) โครงการรถไฟทางคู่ จำนวน 5 เส้นทาง 13 สัญญา รวมวงเงิน 95,494.27 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ วงเงิน 21,948.92 ล้านบาท 2. ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ วงเงิน 30,136.82 ล้านบาท 3. ช่วงนครปฐม-หัวหิน วงเงิน 19,271.74 ล้านบาท 4. ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 9,990.26 ล้านบาท 5. ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร วงเงิน 16,704.70 ล้านบาท รวมค่าก่อสร้างสายใต้ปรับปรุงใหม่ วงเงิน 43,408.53 ล้านบาท ทั้งนี้จะมีการลงนามในสัญญาวันที่ 28 ธันวาคม 2560

ไฟเขียว 7 มาตรการ แก้ราคายางพาราตกต่ำ

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 2/2560 ในการดำเนินการ 2 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการสินเชื่อผู้ประกอบการยางตามมติ ครม. วันที่ 26 พฤษภาคม 2559 เพื่อขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิตให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นปลายน้ำ ซึ่ง ครม. เคยอนุมัติวงเงินสินเชื่อเอาไว้แล้ว 15,000 ล้านบาท และกำหนดระยะเวลาให้รับสมัครถึงเดือนกันยายน 2559 ซึ่งขณะนี้โครงการเหลือวงเงินอยู่ประมาณ 6,112 ล้านบาท จึงเห็นควรขยายเวลารับสมัครผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการจนถึงเดือนมิถุนายน 2561 โดยให้ดำเนินการตามเงื่อนไขเดิมตามมติ ครม. เดิม
  2. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อแปรรูปยางพาราให้กับสถาบันเกษตรกร ตามมติ ครม. วันที่ 26 สิงหาคม 2557 และ 21 กรกฎาคม 2558 ซึ่งกำหนดวงเงินสินเชื่อไว้ 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.5 ต่อปี โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 3 และกองทุนพัฒนาสหกรณ์ช่วยสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 0.49 ต่อปี แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.สหกรณ์กำหนดให้กองทุนพัฒนาสหกรณ์สามารถช่วยสถาบันเกษตรกรได้เฉพาะในส่วนที่เป็นสถาบันประเภทสหกรณ์เท่านั้น ทำให้กลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชนไม่สามารถรับเงินอุดหนุนดอกเบี้ยจากกองทุนนี้ได้ ดังนั้น วันนี้จึงมีมติให้รัฐช่วยสนับสนุนอัตราดอกเบี้ยให้กลุ่มเกษตรกรหรือวิสาหกิจชุมชนในอัตราดังกล่าวแทนกองทุนพัฒนาสหกรณ์

สำหรับอีก 5 โครงการ วันนี้ ครม. อนุมัติในหลักการและให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ไปหารือกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ได้แก่

  1. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา 1 หมื่นล้านบาท ตามมติ ครม. วันที่ 13 มิถุนายน 2560 มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเบี้ยประกันในอัตรา 0.36% ต่อปี หรือ 36 ล้านบาทต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 108 ล้านบาท ซึ่งเดิม ครม. ให้ใช้เงินจากกองทุนพัฒนายางพารา ซึ่ง กยท. เห็นว่าตามกฎหมาย กยท. ไม่สามารถดำเนินการได้ ทาง กนย. จึงเห็นควรเสนอ ครม. เพื่ออนุมัติงบประมาณสนับสนุนค่าเบี้ยประกันแทน และขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเติมในส่วนของค่าบริหารโครงการ ในอัตราร้อยละ 0.14 ต่อปี
  2. โครงการสนับสนุนสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง หรือยางแห้ง วงเงินสินเชื่อ 2 หมื่นล้านบาท เป้าหมายเพื่อดูดซับยาง 3.5 แสนตัน ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 ถึง ธันวาคม 2562 โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยไม่เกิน 3% ต่อปี
  3. โครงการส่งเสริมการใช้ยางของภาครัฐ โดยที่ กยท. ได้สำรวจความต้องการใช้ยางพาราของ 7 กระทรวง เป้าหมาย 2 แสนตัน และจะใช้งบประมาณรับซื้อยางใหม่จากเกษตรกร 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการขอใช้งบกลาง
  4. โครงการควบคุมปริมาณผลผลิต โดยจะลดพื้นที่ปลูกยางถาวร 2 แสนไร่ และลดพื้นที่การปลูกยางแบบชั่วคราวอีก 2 แสนไร่ รวมเป็น 4 แสนไร่ โดยใช้เงินกองทุนพัฒนายางพารา นอกจากนี้ จะลดปริมาณผลผลิตของภาครัฐที่มีสวนยาง 1.21 แสนไร่ ทั้งในส่วนของกรมวิชาการเกษตร กยท. และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ใช้งบกลาง 303 ล้านบาท
  5. โครงการสุดท้ายคือจัดตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพราคายางพาราระหว่าง กยท. กับผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ 5 บริษัท โดยมีเงินตั้งต้น 1,200 ล้านบาท ซึ่งมอบหมายให้ กยท. หารือกับทุกภาคส่วนให้เกิดความชัดเจนก่อนที่จะไปตั้งกองทุนต่อไป

ตั้งเป้าลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ 2 แสนตัน เร่งส่งออกปาล์มดิบ – ผลิตไบโอดีเซล

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) โดยการลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 2 แสนตันภายในเดือนธันวาคม 2560 โดยให้ผู้ส่งออก โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เร่งส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน 1 แสนตัน และให้กระทรวงพลังงานประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อลดสต็อก จำนวน 1 แสนตัน นอกเหนือจากที่ให้ผู้ค้าน้ำมันสำรองไว้เดิม

“เนื่องจากปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีจำนวนมากกว่า 5 แสนตัน ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มและน้ำมันปาล์มด้านการตลาดจึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบข้างต้น นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาให้การสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกการส่งออก เช่น การขนส่งน้ำมันปาล์มและเรือในการส่งออก ในส่วนการช่วยเหลือเกษกรรายย่อยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) หารือร่วมกับเกษตรกรและโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม กำหนดแนวทางการช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่ดีขึ้น โดยเน้นการผลิตปาล์มคุณภาพ” นายณัฐพรกล่าว

เตรียมใช้ ม.44 ขยายกิจกรรมการเมือง

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม คสช. เห็นชอบในหลักการให้ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. มาตรา 44 เพื่อขยายเวลาให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมได้ตามกรอบเวลาที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2560 กำหนดไว้ โดยคำสั่งดังกล่าวมีผลต่อพรรคการเมืองดังนี้

  • สำหรับพรรคการเมืองใหม่จะสามารถจองชื่อพรรคการเมือง, สรรหาสมาชิก, เก็บค่าบำรุงสมาชิกได้ และให้เริ่มประชุมใหญ่ครั้งแรกเพื่อคัดเลือกหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคได้ โดยจะต้องขออนุญาต คสช. ก่อน
  • พรรคการเมืองเก่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่จำนวน 69 พรรค สามารถดำเนินการตรวจสอบสถานภาพสมาชิกเดิมได้ไปพลางๆ ก่อน แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จัดประชุมใหญ่

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า การใช้มาตรา 44 ในเรื่องดังกล่าวคาดว่าจะมีคำสั่งออกมาภายในปีนี้ คสช. ส่วนการจะทำการปลดล็อกให้ พรรคการเมืองต่างๆ สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ทั้งหมด หลังจากที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีผลบังคับใช้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2561 และยืนยันว่าพรรคการเมืองทั้งหมดจะสามารถเริ่มดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 150 วัน

“เหตุผลที่ คสช. ยังไม่พิจารณาปลดล็อกกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมด เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงยังพบความเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าสถานการณ์ยังไม่เหมาะสมที่จะปลดล็อกในช่วงนี้ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้จัดทำตารางฉายภาพโรดแมปพร้อมกรอบเวลาของ คสช. ทั้งหมด รายงานต่อที่ประชุม โดยนายกรัฐมนตรีขอทำการตรวจดูกรอบเวลาทั้งหมดโดยละเอียด ทั้งนี้ กำหนดการเลือกตั้งยังอยู่ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามโรดแปมที่วางไว้เช่นเดิม” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

จ่อใช้ ม.44 ปลดล็อก ระเบียบจัดซื้อฯ หนุนราชการซื้อยางทำถนน

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการให้ใช้คำสั่งหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ในการแก้ปัญหาการจัดซื้อยางพาราจากการยางแห่งประเทศไทย เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อยางไปทำถนนได้ในปริมาณ 2 แสนตัน โดยปลดล็อกเงื่อนไขทางกฎหมายของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 9 หากการดำเนินงานขัดต่อกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานของรัฐสามารถซื้อยางพาราจาก กยท. ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐเช่นกันได้

ทั้งนี้ การพิจารณาใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ฉบับนี้จะต้องรอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ความเห็นก่อนว่าหน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อพัสดุของรัฐได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขวา-ซ้าย)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ห้ามส่งออกน้ำมันเครื่องบิน-เรือให้ “โสมแดง”

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการกำหนดรายการสินค้าต้องห้ามส่งออกไปยังเกาหลีเหนือ และรายการสินค้าต้องห้ามนำเข้าจากเกาหลีเหนือ รวมถึงรายการสินค้าที่ห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังกองกำลังติดอาวุธที่อยู่ในประเทศไหนก็ตาม เพื่อสนับสนุนกองกำลังติดอาวุธเกาหลีเหนือ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติที่ 2270 โดยรายการสินค้าประกอบด้วย

1. สินค้าฟุ่มเฟือย น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ และเรือ ถือเป็นสินค้าต้องห้าม และส่งออกไปยังเกาหลีเหนือ

2. สินค้าแร่และรูปปั้นที่มีแหล่งกำเนิดจากเกาหลีเหนือ ถือเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร

3. สินค้าดังกล่าวข้างต้นเป็นสินค้าห้ามส่งออก นำเข้า หรือผ่านราชอาณาจักร ไปยังกองกำลังติดอาวุธที่อยู่ในประเทศไหนก็ตาม ที่สนับสนุนกองทัพติดอาวุธเกาหลีเหนือ

“ในที่ประชุมกระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีข้อสังเกตถึงมาตรการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือนี้ ให้มีเพิ่มเติมต่อจากนี้ เช่น เพิ่มรายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่เป็นเครือข่ายกับเกาหลีเหนือ เพิ่มเรื่องการจัดซื้อถ่านหิน แร่เหล็ก ตะกั่ว แร่ตะกั่วจากเกาหลีเหนือ รวมถึงห้ามจัดหา จำหน่าย หรือถ่ายโอนก๊าซธรรมชาติ หรือปิโตรเลียมให้กับเกาหลีเหนือ โดย ครม. ให้กระทรวงพาณิชย์ทำร่างฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องต่อไป” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

รับทราบจัดงาน “สวดมนต์ข้ามปี”

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. มีมติรับทราบการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ถวายเป็นพระราชกุศล เสริมสิริมงคลทั่วไปส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีธรรม พุทธศักราช 2561 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ

โดยเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 26/2562 ได้มีมติเห็นชอบโครงการสวดมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2561 โดยขอให้ทุกวัดในราชอาณาจักรและวัดไทยในต่างประเทศจัดให้มีการสมาทานศีล ฟังพระธรรมเทศนา สวดมนต์ และเจริญจิตภาวนาข้ามปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 และให้มีพิธีทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ และสวดมนต์ให้ประเทศไทยในวันที่ 1 มกราคม 2561 รวมทั้งขอให้วัดทุกวัดประชาสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศาสนิกชนพร้อมครอบครัว ลด ละ เลิกอบายมุข สิ่งเสพติด และร่วมกันทำกิจกรรมที่เป็นมงคลดังกล่าวที่วัดแทนการละเล่นหรือกิจกรรมที่รื่นเริงอย่างอื่น

ชู “กาฬสินธุ์โมเดล” แก้ปัญหาความยากจน

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้พูดในที่ประชุมถึงการตรวจราชการที่ จ.กาฬสินธุ์ ก่อนพบว่ามีการใช้กาฬสินธุ์โมเดลในการแก้ปัญหาความยากจน และท่านต้องการให้จังหวัดอื่นๆ มีการใช้โมเดลดังกล่าวเป็นแบบอย่างในการแก้ไขปัญหา โดยต้องมีการปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับพื้นที่ สภาพภูมิประเทศ และพี่น้องประชาชน เพื่อให้ได้ผลในการแก้ปัญหาความยากจนต่อไป นอกจากนี้ยังได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการภาคทั้ง 6 ภาค ทำงานร่วมกับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่างๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาโครงการต่างๆ ที่แต่ละจังหวัดเสนอเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ประชุมครม.สัญจร พิษณุโลก-สุโขทัย 25-26 ธ.ค.นี้

พ.อ.หญิง ทักษดา กล่าวถึงกำหนดการลงพื้นที่ประชุม ครม. นอกสถานที่อย่างเป็นทางการที่ จ.พิษณุโลก และสุโขทัย ระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม 2560 ของนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ว่า นายกรัฐมนตรีจะเดินทางออกจากกรุงเทพมหานครไปยัง จ.พิษณุโลก ในช่วงเวลา 07.00 น. โดยจะเข้านมัสการพระพุทธชินราช หลังจากนั้นจะเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีพิษณุโลก (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และพบปะประชาชนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะมอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์ในที่ดินทำกินให้ประชาชนใน 14 จังหวัด 21 พื้นที่ และในช่วงเที่ยงจะมีการประชุมยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคเหนือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นภาคเหนือ ในช่วงบ่ายจะตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำโมเดล และโครงการแก้มลิง จากนั้นเดินทางไป จ.สุโขทัย เพื่อพบผู้นำท้องถิ่น และเยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย รวมทั้งเปิดตลาดประชารัฐ ตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม 800 ปีของกรุงสุโขทัย

ในวันที่ 26 ธันวาคม 2561 ก่อนการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีและ ครม. จะร่วมตักบาตรบริเวณหน้าวัดมหาธาตุและถ่ายภาพร่วมกัน ก่อนเริ่มประชุมอย่างเป็นทางการที่สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุโขทัย หลังการประชุมนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ จะเดินทางกลับเพื่อร่วมพิธีสวดมนต์เย็นบริเวณลานหน้าพระราชวังดุสิต

สำหรับรายชื่อ ครม. ที่ร่วมเดินทางในครังนี้ ได้แก่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรองนายกรัฐมนตรี, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายกฤษดา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เห็นชอบผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ร.10

มีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบในหลักการ การผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน รัชกาลที่ 10 เพื่อเตรียมออกใช้ในระบบ โดยเหรียญหมุนเวียนรัชกาลที่ 10 จะมีทั้งหมด 9 ชนิดราคา ประกอบด้วย เหรียญ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ ขณะที่เหรียญรัชกาลที่ 9 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ก็ยังคงใช้หมุนเวียนในระบบเช่นเดิม