ThaiPublica > เกาะกระแส > ประชุมนัดสุดท้าย “บิ๊กตู่” ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช.กว่า 60 ฉบับ – มติ ครม.ดึงยางพาราสร้างถนน 670 เส้นทาง 2,568 ล้านบาท

ประชุมนัดสุดท้าย “บิ๊กตู่” ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช.กว่า 60 ฉบับ – มติ ครม.ดึงยางพาราสร้างถนน 670 เส้นทาง 2,568 ล้านบาท

9 กรกฎาคม 2019


นายกรัฐมนตรี ถ่ายภาพร่วมกับรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในการประชุม ครม. นัดสุดท้าย

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งถือเป็นการประชุม ครม. นัดสุดท้าย โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ซึ่งนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นายกฯ กล่าวอวยพรให้ทุกคนไปทำหน้าที่ตามที่ตัวเองตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมกับกล่าวขอบคุณทุกคนที่ได้อยู่ร่วมกันมาตลอด และบอกว่าหากใครมีปัญหาอะไรก็สามารถโทรศัพท์มาพูดคุยปรึกษาหารือกับท่านได้ ซึ่งทุกคนต่างยกมือไหว้อำลา ก่อนที่นายกฯจะชวนทุกคนไปถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก พร้อมกับมอบของที่ระลึก ซึ่งเป็นเหรียญเงินรัชกาลที่ 10 ที่จัดทำโดยสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์

ขณะที่ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า นายกฯ กล่าวขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกคน และบอกว่า รัฐบาลเป็นรัฐบาลของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ต่อไปจะไม่ได้ทำงานให้ ครม.แล้ว แต่ทุกคนสามารถช่วยเป็นที่ปรึกษาให้นายกฯ ได้ตลอด โดยในวันเดียวกันนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และนางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลาประชุม จึงคงเหลือรัฐมนตรีร่วมประชุมและถ่ายภาพร่วมกับนายกฯ และรองนายกฯ รวมทั้งสิ้น 15 คน

แจงตั้งรัฐบาลช้าไม่เสียหาย หน่วยงานใช้งบได้ตามปกติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลอะไร เพราะได้มีการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้งบประมาณปี 2562 ไปก่อน ซึ่งได้ตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของวงเงินงบประมาณดังกล่าว ซึ่งตนไม่ห่วงว่าฝ่ายค้านจะตีรวนเรื่องนี้ เพราะคนที่จะเสียประโยชน์คือประเทศชาติ และประชาชน ฉะนั้นใครจะตีรวนเรื่องเหล่านี้ก็ขอให้คิดใคร่ควรญให้ดี

“ก็อยากประชาชนด้วยว่า สิ่งที่เขาบอกมาทำไม่ได้ทั้งหมดหากงบประมาณไม่ผ่าน ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของชาติ อย่าให้เป็นประเด็นการเมืองมากนัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนขั้นพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังดีอยู่ถึงแม้ว่าอะไรจะลดลงบ้างก็เป็นไปตามปัจจัยภายในและภายนอกด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เผยหลังถวายสัตย์ เตรียมปฐมนิเทศ ครม.ชุดใหม่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการประชุม ครม. ภายหลังจากการถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า หลังจากถวายสัตย์แล้วตนตั้งใจจะคุยกับรัฐมนตรีอีกสักครั้งหนึ่งก่อน เหมือนเป็นการปฐมนิเทศ พบปะหารือกันถึงแนวทางการทำงาน คงใช้เวลาไม่มาก และจะมีการร่วมพิจารณาถึงนโยบายของรัฐบาลด้วย

ในวันเดียวกันจะมีการหารือกันในระดับพรรคการเมืองต่างๆ ถึงความสอดคล้องในนโยบาย รวมถึงการนำนโยบายของพรรคฝ่ายค้านมาร่วมพิจารณาด้วยว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่อย่างไร

“บางอย่างก็ทำไปแล้ว แต่อาจได้ไม่มากเท่าที่ทุกคนต้องการ หรือที่ไปหาเสียงกันมา แต่ก็ขอให้เห็นใจว่าเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ เพราะหลายพรรคการเมืองมารวมกันอยู่ ผมก็เชื่อมั่นว่าทุกพรรคการเมืองก็รักชาติ รักประชาชนกันทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า รู้สึกเหนื่อยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่เหนื่อย ชินแล้ว ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถ้าจะมีก็ใจนี่แหละ เพราะอยากทำงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และคิดว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ในเรื่องของแนวคิดนโยบายและหลักการต่างๆ แต่บางอย่างยังติดขัดด้วยกฏหมายและงบประมาณ จึงอยากทำให้เร็วในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคนไทยด้วยกันเองต้องคำนึงถึงการพูดและการแสดงความคิดเห็น ทั้งในและต่างประเทศ จะต้องนึกถึงคำว่าประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศอิสระมาช้านาน ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวในกระบวนการภายในของเรา โดยเฉพาะข้อกฎหมาย ถ้ามันใช่ ก็พอรับได้ แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วพูด ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ก็อย่าทำให้ประเทศเสียหาย ทำให้ความเชื่อมั่นลดน้อยลง”

“วันนี้เราได้รับการยอมรับจากต่างประเทศพอสมควรเพราะเห็นจากผลงานและการปฏิบัติหน้าที่มาตลอด 5 ปี หลายอย่างเราทำได้ดีถือเป็นการปฏิรูปที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานาน ต่างประเทศเขาพอใจตรงนี้ แต่คนของเราเองอาจจะไม่เข้าใจว่ามีการปฏิรูปแล้วหรือยัง เพราะการปฏิรูปการเมืองไม่ใช่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของพรรคการเมืองและนักการเมือง จะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของตัวเองด้วย ขอร้องว่าอย่าใช้เวทีสภามาเป็นเรื่องด้อยค่า หรือล้มรัฐบาล ขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะถือว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ทุกอย่างก็จะพัฒนาต่อไปไม่ได้ การที่รัฐบาลกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ประเทศด้านต่างๆ นั้น ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ แต่สืบทอดการแก้ไขปัญหาที่ทุกคนมีส่วนร่วม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่ามีความคิดเห็นอย่างไรที่มีกระแสข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะวางมือทางการเมือง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงว่า “ไปถามเค้าสิ” ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายหลังการถวายสัตย์ฯ

ลั่นหมดเวลาใช้ ม.44  –  ราชกิจฯ ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช.กว่า 60 ฉบับ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ตามมาตรา 44 ที่ 8/2562 เรื่องระงับการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่า กรณีดังกล่าวอย่าไปคิดว่าเพื่อใคร ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ประชาชน ซึ่ง กสทช.ยังต้องทำงานกันต่อไปก่อนในระหว่างที่กฎหมายยังไม่ออก รัฐบาลต่อไปก็ต้องไปพิจารณากฎหมายส่วนนี้ต่อซึ่งไม่รู้ว่ากฎหมายใหม่จะออกเมื่อใด หากออกมาแล้วก็เป็นเรื่องของการทำตามกฎหมายใหม่ในการคัดสรร ถ้ากฎหมายไม่มีก็คัดสรรไม่ได้ ซึ่งหากกรรมการ กสทช.ลดลง ก็จะมีปัญหาในการพิจารณาเรื่องต่างๆ ทั้งหมด

“ผมต้องการให้มีการทำงานที่ต่อเนื่อง แต่ต้องทำงานตามกฎหมายให้ได้ ทั้งในการใช้จ่ายงบประมาณและการดำเนินการโครงการต่างๆ ซึ่งมีระบบตรวจสอบอยู่แล้วทั้งหมด อย่ากังวลเลย หลายคนก็เรียกร้องให้ผมใช้คำสั่งตามมาตรา 44 วันนี้ผมก็ไม่ได้ใช้แล้วมันหมดเวลาที่จะใช้แล้ว ถึงแม้จะมีเวลาถึงวันถวายสัตย์ก็ตามแต่มันไม่ควร แล้วก็จะเห็นได้ว่าคำสั่งตาม มาตรา 44 นั้นไม่ได้ใช้ในเชิงที่เกิดปัญหา แต่เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ในวันเดียวกันเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจำเป็น

ยันไม่ห้าม “กัญชา” ใช้การแพทย์ เตรียมทำตำหรับยาให้ถูกต้อง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวยืนยันว่าตนไม่ขัดข้องหากนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ แต่ตนอยากแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบโดยทั่วกัน ตนก็ได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานทางการแพทย์หลายหน่วยงาน มีหลายโรงพยาบาลมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กัญชาจากแหล่งที่มาที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ได้รับผลกระทบมากพอสมควร หลายคนนำไปใช้อย่างเดียวโดยที่ไม่ได้นำการแพทย์แผนปัจจุบันประกอบด้วยทำให้อาการรุนแรงขึ้น

ฉะนั้นต้องขอย้ำอีกครั้งว่าเราต้องมีการควบคุมให้เป็นไปตามขั้นตอน ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องหารือกันต่อไป ซึ่งตนทราบถึงความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชน แต่ทั่งนี้ก็จำเป็นต้องดูแลในเรื่องสุขภาพของประชาชนด้วยในการใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ตรงกับโรคที่กัญชามีสรรพคุณรักษาอย่างแท้จริง

“การใช้ประโยชน์จากกัญชานั้นมาจากส่วนที่เป็น ดอก ซึ่งต้องนำมาสกัดให้ถูกวิธี และในระหว่างนี้เราก็ต้องเตรียมการในการทำตำหรับยาของเรา เพราะต่างประเทศเขาก็มีทำของเขา ของเราถ้าเราจะปลูกให้มากยิ่งขึ้นเราก็ต้องทำตำหรับยาของเราที่ต้องผลิตเองใช้ประโยชน์เอง สกัดได้เอง เพราะโทษก็มีอยู่ที่ส่วนของใบกัญชาด้วย หากยังไม่ได้ใช้ดอก ซึ่งเราอาจจะควบคุมได้ไม่มากนัก อันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไปขัดแย้งกับใคร เพียงแต่ว่าเราต้องดูทุกอย่าง ต้องตั้งกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด ผมไม่ได้ขัดข้องหามันเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันไม่เลือกจังหวัด จัดงบฯ ลงทุกที่

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวขอบคุณประชาชน ภาคเอกชน และข้าราชการจังหวัดภูเก็ต หลังจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา โดยกล่าวชื่นชมถึงการพัฒนาภูเก็ตในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาว่า มีหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเรื่องของการจราจร ถนนหนทางต่างๆ เรื่องสนามบิน หรือสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ทุกอย่างอยู่ในแผนการทำงานของรัฐบาลแล้ว รวมไปถึงเส้นทางที่ขอมาใหม่ และเส้นทางที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวไปยังหาดป่าตอง ก็อยู่ในแผนงานดำเนินการแล้วเช่นกัน

“ผมได้เร่งรัดไปให้แล้วเรื่องแหล่งน้ำ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปจัดทำแผนงานและโครงการขึ้นมา จะเห็นได้ว่าแม้ผมไม่ได้ไปบ่อยนักก็ตามแต่งานต่างๆ ก็เดินหน้าไปได้ด้วยดีในทุกจังหวัดอันนี้ก็ฝากเรียนพี่น้องประชาชนด้วย หลายอย่างก็เป็นความต้องการของประชาชนมายาวนานแล้ว ผมก็เอาทุกอย่างมาดูแล มาจัดโครงการ จัดงบประมาณลงไป ทุกจังหวัด ไม่ได้เลือกจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง” นายยกรัฐมนตรีกล่าว

ขอประชาชนเสพสื่อ ใช้โซเชียลอย่างมีสติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการป้องปรามความรุนแรงในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า วันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ แม้ตนเองก็ได้รับผลกระทบมากพอสมควรจากโซเชียลมีเดียที่ไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้มากนัก เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ฉะนั้นประชาชนจะต้องเลือกในการเสพข้อมูลเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง

“ผมไม่สบายใจทั้ง 2 ทางนั่นแหละ ไม่ว่าจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม เพราะมันทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรง เกิดความเกลียดชังโดยที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองทั้งสิ้น เป็นการแบ่งข้างประชาชนเป็น 2 พวก กรณีเหล่านี้มีโอกาสจะลุกลามบานปลายไปในอนาคตด้วย ฝากให้ทุกคนมีภูมิต้านทานให้ดี ข่าวกรอง ข่าวดิสเครดิต เหล่านี้อยู่ที่จิตสำนึก ซึ่งผมได้ให้ตรวจสอบดู บางครั้งก็สงสัยว่าข้อมูลจากบางเฟซบุ๊กที่ออกมาเป็นจำนวนมากในเวลาสั้นๆ ต้องไปดูว่ามาจากไหน อาจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจตนาหรือไม่เจตนา ด้วยการกระทำที่เป็นการสร้างเรื่องให้สังคมเกิดความสับสน ต้องดูว่ากฎหมายควบคุมได้แค่ไหนอย่างไร ก็ขอให้ทุกคนระมัดระวังด้วยในกรณีที่แพร่ข่าวสารที่เป็นเท็จ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังเสนอถึงการใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ เช่น กรณีของบังฮาซันที่ขายปลาออนไลน์ว่าสามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร พร้อมกับฝากให้ใช้สื่ออย่างมีสติ ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์ และขอให้เยาวชนไทยมีจิตสำนึกในการใช้อย่างรู้เท่าทัน มีภูมิคุ้มกันที่ดี เช่น การส่งต่อข่าวการแจกเงินของรัฐบาล กรณีบัตรพลังงาน   ที่ไม่เป็นความจริง  รวมถึงการใบ้หวยซึ่งหลอกลวงและผิดกฎหมาย

“ฝากให้คำนึงถึงข้อเท็จจริงในการรับข้อมูลว่า มันมีอะไรที่ลงทุนน้อยๆ แล้วได้เงินเยอะๆ กำไรหลายเท่า ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในข้อเท็จจริง ต้องทำอะไรหลายอย่างถึงจะมีเงินใช้อย่างถูกต้อง และไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ”  นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งตรวจสอบหลังสื่อรายงาน “นักท่องเที่ยวออสซี่” ป่วยเพราะ “ผัดไทย”

พล.อ. ประยุทธ์  ตอบคำถามกรณีนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียล้มป่วยจากการทานผัดไทยที่ประเทศไทย ว่า กรณีดังกล่าวตนยังไม่ทราบถึงสาเหตุว่ามาจากอะไร อย่างก็ตามกำลังสั่งให้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลอยู่  ขณะนี้มีการพูดถึงเพียงโดยสื่อ ยังตรวจสอบอะไรไม่ได้ แต่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบและทำให้ความจริงปรากฏ

เผยห่วงความรุนแรงชายแดนใต้ตลอด

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในช่วงการเดินทางประกอบพิธีฮัจญ์ว่า รัฐบาลนั้นห่วงทุกเวลาและได้เข้มงวดมาตลอด ขอเพียงให้ประชาชนให้ความร่วมมือเท่านั้นสิ่งต่างๆ ก็จะดีขึ้น ถ้าหากขาดความร่วมมือจากประชาชน มีกฎหมายอะไร เข้มงวดอย่างไร มันก็ไม่สามารถทำได้

มติ ครม.มีดังนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่มาภาพ : www.thailand.go.th

รายงานค้ามนุษย์ยังไทยคง Tier 2 – นายกฯ ลั่น ขรก.มีเอี่ยวให้ออกเท่านั้น

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานการค้ามนุษย์ หรือ Trafficking in Persons Report (TIP Report) ประจําปี 2562 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562 โดยจัดระดับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวม 187 ประเทศ มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้

1) ประเทศไทยยังไม่สามารถขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายสหรัฐอเมริกา แต่ได้เพิ่มความพยายามอย่างสําคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยรวมมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงการรายงานที่ผ่านมา ดังนั้น ประเทศไทยจึงยังคงถูกจัดระดับอยู่ในระดับ Tier 2 เช่นเดียวกับปี 2561 (ประเทศในอาเซียนที่อยู่ในระดับ Tier 2 คือ สิงคโปร์และอินโดนีเซีย)

2) การดําเนินงานที่สําคัญของประเทศไทยที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่เพิ่มขึ้น เช่น การกําหนดบทลงโทษผู้กระทําความผิดฐานค้ามนุษย์อย่างเข้มงวดด้วยการจําคุกเป็นเวลานานและตัดสินลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ด้วยการให้ออกจากราชการ การพัฒนาคู่มือการทํางานต่างๆ ร่วมกับหุ้นส่วนในภาคประชาสังคม การวางมาตรฐานด้านการฝึกอบรมต่อต้านการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ได้ดําเนินการคัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายไปยังทีมสหวิชาชีพเป็นครั้งแรก ส่งผลให้สามารถคัดกรองผู้เสียหาย จากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานได้

3) ประเทศไทยยังไม่สามารถบรรลุมาตรฐานขั้นต่ําในหลายประเด็นที่สําคัญ เช่น การดําเนินคดีและตัดสินลงโทษผู้ค้ามนุษย์มีจํานวนลดลงและสามารถไต่สวนคดีค้ามนุษย์ ด้านแรงงานได้เพียง 43 คดี รัฐบาลจํากัดการเดินทางและช่องทางการสื่อสารของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่อยู่ในสถานคุ้มครองของรัฐ การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐยังเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถคัดแยกคดีค้ามนุษย์อย่างได้มาตรฐานสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน

ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้มีข้อเสนอแนะที่สําคัญ เช่น พัฒนาศักยภาพของผู้บังคับใช้กฎหมายเพื่อดําเนินการเชิงรุกในการดําเนินคดีและตัดสินโทษผู้ค้ามนุษย์ด้านแรงงานและการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน สอบสวนและดําเนินคดีในเชิงรุกกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์รวมทั้งตัดสินและลงโทษผู้กระทําความผิด ด้วยบทลงโทษที่เด็ดขาด สร้างความเชื่อมั่นว่าสถานคุ้มครองของรัฐและองค์การนอกภาครัฐจะดูแลผู้เสียหายโดยคํานึงถึงผลกระทบจากบาดแผลทางจิตใจอย่างเหมาะสม รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาสภาพจิตใจ ทั้งนี้ พม. จะได้จัดประชุมคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์เพื่อพิจารณาข้อแนะนําที่สําคัญดังกล่าวและมอบเจ้าภาพหลัก รับผิดชอบในแต่ละประเด็น และใช้ในการติดตามผลการขับเคลื่อนการดําเนินงานของทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งใช้เป็นกรอบในการจัดทํารายงานของประเทศไทยในปีต่อไป

ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ไทยได้พยายามแก้ปัญหามานับ 10 ปีแล้ว วันนี้ไทยสามารถรักษาระดับให้อยู่ใน Tier 2 ได้อยู่ ซึ่งตนอยากให้ปลดล็อคในส่วนนี้ คงต้องเร่งดำเนินการต่อไปในหลายประเด็นด้วยกัน ทั้งในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ในเรื่องการลงโทษ ในเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

“ผมได้สั่งการเป็นนโยบายไปแล้ว กรณีที่มีเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นหน่วยใดก็ตามไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ให้เอาออกจากราชการไว้ก่อน แล้วค่อยไปสู้คดีเอา ฉะนั้นขอให้แจ้งเตือนทุกคนไว้ด้วยถ้าเกี่ยวข้องเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่ยอม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

รับผลประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ผลักดัน RCEP

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) นําเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสมัยพิเศษ เพื่อหารือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Special ASEAN Economic Ministers” (Meeting on RCEP) เมื่อวันที่ 21-22 มิถุนายน 2562 ในช่วงการประชุม สุดยอดอาเซียนครั้งที่ 34 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมในฐานะประธานการประชุม โดยที่ประชุมฯได้หารือและมีผลการประชุม สรุปได้ ดังนี้

1) เห็นพ้องที่จะเร่งรัดสรุปผลการเจรจา RCEP ให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2560 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการค้าระหว่างประเทศของอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาเปิดตลาดและจัดทําข้อมูลให้ได้ทั้งหมด และหลังจากนั้นแต่ละประเทศจะดําเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อให้มีการลงนามความตกลงฯ ในปี 2563 ทั้งนี้ เมื่อ RCEP มีผลบังคับใช้แล้วจึงจะพร้อมเปิดรับสมาชิกใหม่ ซึ่งในเบื้องต้นฮ่องกงได้แสดงความจํานงเข้าเป็นสมาชิก RCEP ด้วยแล้ว

นอกจากนี้ มอบให้ไทยในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับสํานักเลขาธิการอาเซียน และอินโดนีเซียในฐานะประเทศผู้ประสานงานการเจรจาความตกลง RCEP รวมเป็นกลุ่มผู้ประสานงานฝ่ายอาเซียน (TROIKA) ร่วมหารือกับอินเดียเพื่อให้การเจรจา RCEP บรรลุเป้าหมายภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 เนื่องจากอินเดียมีท่าทีที่เป็นอุปสรรคต่อเจรจา RCEP เช่น ประเด็นการเจรจาเปิดตลาด ระหว่างอินเดียและประเทศสมาชิกอื่นๆ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการหารือในวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย

2) รับทราบความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทําความตกลง RCEP (RCEP-TNC) ในเรื่องภาคผนวกบริการโทรคมนาคม และภาคผนวกบริการการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ในการประชุม RCEP-TNC ครั้งที่ 26 ซึ่งกําหนดจัดขึ้น ในวันที่ 25 มิถุนายน – 3 กรกฎาคม 2562 ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย

3) มอบนโยบายให้สมาชิกอาเซียนระดับเจ้าหน้าที่ร่วมหารือเกี่ยวกับท่าที่ร่วมของอาเซียนในประเด็นสําคัญเพื่อใช้พบหารือกับคู่เจรจา 5 ประเทศ (ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์) เช่น กฎถิ่นกําเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSRs) และการลงทุน

4) หารือทวิภาคีของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กับรัฐมนตรี  4 ประเทศ (เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) โดยทุกประเทศยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่ต้องการให้สรุปผลการเจรจาในปี 2562 นอกจากนี้ อินโดนิเซียขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาแก้ไขมาตรการนำเข้ากาแฟที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งฝ่ายไทยแจ้งว่าไทยและอินโดนิเซียมีสินค้าพืชสวนหลายชนิดที่ประสบปัญหาการส่งออกไปยังอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (Taskforce) เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป

รับทราบความคืบหน้าแก้ปัญหาปาล์มน้ำมัน

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันว่า เรื่องดังกล่าวต้องดูว่าปัญหาทับซ้อนตรงไหน ประเด็นสำคัญ คือ ขณะนี้การลดปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มในกลุ่มประเทศยุโรปซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของน้ำมันปาล์มและผลผลิตจากปาล์มของอาเซียน แม้ไทยจะเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันปาล์มเป็นอันดับ 3 ก็ตามแต่ก็ยังได้รับผลกระทบหนัก

“สิ่งที่ได้แก้ปัญหาในวันนี้คือ การใช้น้ำมันมาผสมในน้ำมัน B20 ซึ่งวันนี้มีอัตราการใช้เพิ่มขึ้น มีผลต่อการผลิตเพิ่มเติม การใช้ปาล์มมาผสมในน้ำมันดีเซลให้มากยิ่งขึ้น โดยได้ตรวจสอบจำนวนสถานบริการน้ำมันที่ให้บริการโดยทั่วไปมีอยู่ประมาณ 900 แห่งในขณะนี้ ในส่วนการให้บริการสำหรับขนส่งมวลชนต่างๆ ก็มีการให้บริการอยู่แล้ว มีปัญหาเกี่ยวพันไปถึงแก๊สโซฮอลด้วยที่อาจได้รับความนิยมลดลง เพราะราคาแพงกว่า ฉะนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องปรับสัดส่วนเหล่านี้ให้เกิดความสมดุลขึ้น ขอฝากไปถึงผู้ประกอบการสถานบริการน้ำมันให้เตรียมการให้พร้อม” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ราคาการรับซื้อผลผลิตปาล์มในไทยสูงกว่าในประเทศรอบบ้าน อยู่ที่ 19 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านรับซื้ออยู่ที่  15 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ตนขอเน้นย้ำเรื่องการลักลอบนำน้ำมันปาล์ม รวมถึงมะพร้าวจากภายนอกประเทศเข้ามา คนไทยต้องไม่มีส่วนร่วมในขวบนการเหล่านี้ เพราะจะทำให้สมดุลด้านราคาในประเทศเสียหาย วันนี้ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศสูงขึ้นแล้วอาจจะยังไม่มากนักก็ตาม

รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีระบุว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้

1. ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาราคาผลปาล์มน้ำมันตกต่ำ

  • รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ตามมติ กนป. เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และผลปาล์มน้ำมัน (อัตราสกัดน้ำมัน ร้อยละ 18) ในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกิโลกรัมละ 15.75-16.00 บาท และกิโลกรัมละ 2.00-2.30 บาท ในเดือนเมษายน 2562 เป็นกิโลกรัมละ 21.75-22.00 บาท และกิโลกรัมละ 3.45-4.10 บาทในเดือน มิถุนายน 2562 ตามลำดับ ซึ่งการปรับตัวของราคาที่สูงขึ้น เป็นผลมาจากความร่วมมือในการดำเนินมาตรการของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์
  • มอบหมายและกำชับให้คณะทำงานการแก้ไขปัญหาการนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม (คนป.) เข้มงวดการตรวจติดตามการนำเข้าปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เนื่องจากขณะนี้มีความแตกต่างของราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยสูงกว่าราคาในประเทศเพื่อนบ้านค่อนข้างมาก
  • รับทราบความคืบหน้าการจัดทำเกณฑ์โครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ซึ่งกรมการค้าภายใน ได้รายงานปัญหาการพิจารณาข้อมูลค่าใช้จ่ายในการผลิต (ค่าสกัด) ที่ยังมีความ เห็นแตกต่างกันของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ภาคเกษตรกร และภาคราชการ และยังไม่ได้ข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มโดยด่วนที่สุด เพื่อให้ได้ข้อยุติและจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ต่อไป

2. การทบทวนยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ

  • รับข้อสังเกตของกรรมการ กนป.ไปทบทวน ปรับปรุง แก้ไข เช่น ด้านการผลิต มุ่งเน้นพื้นที่สอดคล้องกับ Zoning by Agri-map และไม่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม แต่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และเปอร์เซ็นต์น้ำมัน) ด้านพลังงาน ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการนำผลพลอยได้ (by product) ได้แก่ น้ำเสียจากกระบวนการผลิต และทะลายเปล่าปาล์ม ไปผลิต biogas และ biomass เป็นต้น
  • เห็นชอบการทบทวนยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม รวม 6 ด้าน (ด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม ด้านมาตรฐานปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ด้านพลังงาน ด้านการตลาด และด้านการบริหารจัดการ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอทั้ง 3 ระยะ และปรับระยะเวลาดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติเป็น ปี 2561-2580 (เดิมปี 2560-2579)
  • มอบหมายกระทรวงพาณิชย์รวบรวมยุทธศาสตร์การปฏิรูปปาล์มน้ำมัน และน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ที่ได้มีการทบทวนและแก้ไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ แล้วจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการ กนป.เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ต่อไป

ดึงยางพาราสร้างถนน 670 เส้นทาง 2,568 ล้านบาท

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้มีการอนุมัติงบประมาณลงไปในการจัดทำถนน ทำเส้นทางกว่า 400 เส้น ใน 76 จังหวัด ได้ใช้ยางไปประมาณ  20,000 ตัน ซึ่งจะดำเนินการในช่วงเวลา 2 ปีนับจากนี้ (2562-2563) โดยเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ด้วยหน่วยทหารพัฒนา หรือทหารช่าง ของกองทัพบก

“สำหรับการแปรรูปยาง รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้ภาครัฐนำมาใช้ในการอุปโภคเพิ่มขึ้น เช่น หมอนยางพารา ที่นอนยางพารา ได้มีการกำชับให้หน่วยงานราชการได้นำมาใช้ อาทิ ทหาร หรือเรือนจำ เพราะนอกจากสามารถใช้ได้นานแล้วยังเป็นการส่งเสริมการผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้นด้วย รวมไปถึงการนำมาใช้กับสนามกีฬาในกระบวนการซ่อมและปรับปรุงต่างๆ โดยนโยบายต่อไปคือการส่งเสริมให้มีการแปรรูปยางในพื้นที่โดยอาจมีโรงงานในการแปรรูปน้ำยางให้เป็นยางแผ่น ให้สามารถเพิ่มรายได้ให้กับพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องแก้ไขทั้งระบบ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ทั้งนี้รายงานข่าวจากสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอดังนี้

1. อนุมัติให้กองบัญชาการกองทัพไทยและกองทัพบกดำเนินโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ เป็นจำนวน 670 เส้นทาง ระยะทางรวม 1,744.138 กิโลเมตร ปริมาณการใช้ยางพารา จำนวน 17,435.040 ตัน งบประมาณรวมทั้งสิน 2,568,783,400 บาท

2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน 2562 แล้ว วงเงิน 1,645,216,100 บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการสนับสนุนการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามข้อ 1. ต่อไป

ปรับระเบียบก่อหนี้ผูกพันงบฯ เตรียมเกลี่ยกำลังคนลดงบบุคลากร

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องของงบประมาณว่า  ตนได้สั่งการให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ไปพิจารณาในแผนการบรรจุข้าราชการประจำปีใหม่ เร่งศึกษาและทำแผนมาให้ผมทราบ โดยอาจจะต้องไปพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ สำหรับการบรรจุข้าราชการใหม่ หรือเป็นลูกจ้างชั่วคราวให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน และการเป็นรัฐบาล e-government  ในอนาคต ซึ่งจะเริ่มทำตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

“ผมยืนยันว่าได้เอานโยบายของทุกพรรคการเมืองมาดู ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านก็ตาม เพราะรัฐบาลเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ผมก็ต้องดูแลเรื่องเหล่านี้ให้เกิดความเป็นธรรม และไม่มีผลกระทบในการใช้จ่ายงบประมาณ ให้เป็นไปตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งงบประมาณประจำปีที่สำคัญที่สุดคือ งบบริหารราชการแผ่นดิน และงบบุคลากร ผมก็ต้องไปแก้ปัญหาตรงนี้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะมีค่าใช้จ่ายเรื่องบุคลากรให้น้อยลง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้านนายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. …. และร่างระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณพ.ศ. …. โดยเรื่องดังกล่าว สำนักงบประมาณเสนอให้รัฐบาลพิจารณา เพื่อเห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา การใช้เงินงบประมาณในแต่ละปี ไม่สามารถใช้ได้หมดตามกรอบ หรือวงเงิน ที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจตกลงกับรัฐสภา ดังนั้น ระเบียบดังกล่าว จะทำให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินไม่หมด หรือใช้เงินไม่ได้ตามแผนงานดังกล่าว สำนักงบประมาณสามารถเสนอให้รัฐบาลโอนเงินไปยังหน่วยงานอื่นได้ เนื่องจากอดีตที่ผ่านมา งบประมาณสามารถเบิกจ่ายได้เพียง 80% ไม่ถึง 90% ของวงเงินงบประมาณ ขณะที่ งบลงทุนเบิกจ่ายได้ไม่ถึง 80%

“เราคาดว่า หากร่างระเบียบดังกล่าว มีผลบังคับใช้แล้ว จะทำให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เร่งรัดเบิกจ่ายงบ ประมาณได้เร็วขึ้น เพราะที่ผ่านมา การตั้งวงเงินงบประมาณจะเป็นโครงการที่สามารถดำเนินการได้ทัน ในปีงบ ประมาณนั้นๆ แต่ในช่วงระหว่างปี โครงการอาจมีปัญหา เช่น ไม่สามารถเวนคืนที่ดินได้หรือถูกประชาชนร้องเรียน เป็นต้น ทำให้โครงการล่าช้าหรือเลื่อนออกไป ทำให้งบประมาณที่อนุมัติจะถูกตัดทิ้งไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้งบประมาณใช้ไม่หมด” นายเดชาภิวัฒน์ กล่าว

ส่วนเรื่องงบบุคคลกรก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะหน่วยงานบางแห่งของอัตรากำลัง และมีการบรรจุกำลังพลมากเกินกว่าวงเงินที่ได้รับความเห็นชอบเนื่องจากกำลังพลพบขาดแคลน ขณะที่ส่วนราชการบางแห่งขอบบุคคลกรแต่ไม่ได้เปิดสอบ ทำให้งบประมาณบางส่วนราชการมีงบเหลือ ดังนั้น ร่างระเบียบใหม่ จึงเปิดโอกาสให้สำนักงบประมาณสามารถดึงงบบุคคลกรจากส่วนราชการที่มีเงินเหลือไปยังหน่วยงานอื่นได้

โดยร่างระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการฯ ได้กำหนดวิธีการในการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของหน่วยรับงบประมาณ ไปให้หน่วยรับงบประมาณอื่น ดังนี้

  • กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายที่จะโอนไปให้หน่วยรับงบประมาณอื่น ต้องเป็นงบประมาณรายจ่ายที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงงบประมาณเหลือจ่าย ทั้งนี้ ไม่รวมถึงงบประมาณรายจ่ายที่เป็นเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับหน่วยงานของรัฐสภา ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอัยการ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ที่มีกฎหมายกำหนดให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  • การโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ กำหนดให้ผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการ ซึ่งได้แก่ผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำงบประมาณบูรณาการเป็นผู้มีอำนาจอนุมัติหลักการในการโอนงบประมาณ โดยหน่วยงานเจ้าภาพบูรณาการจะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำความเห็นเสนอผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการพิจารณาว่าสมควรให้มีการโอนงบประมาณให้หน่วยงานใดหรือไม่ โดยพิจารณาจากเหตุผลความจำเป็นของหน่วยรับงบประมาณที่ดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และหน่วยงานที่ขอรับโอนงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณจะเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาด้วย และหากผู้มีอำนาจกำกับแผนงานบูรณาการอนุมัติหลักการให้โอนงบประมาณแล้ว หน่วยรับงบประมาณที่ขอรับโอนงบประมาณจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณส่งให้สำนักงบประมาณ ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาโอนงบประมาณให้ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณต่อไป
  • การโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากร โดยการโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐ จะเริ่มพิจารณาในช่วงก่อนสิ้นไตรมาสที่ 3 คือประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม โดยสำนักงบประมาณจะร่วมกับหน่วยรับงบประมาณตรวจสอบผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณว่ามีงบประมาณรายจ่ายบุคลากรที่ไม่สามารถใช้จ่าย หรือก่อหนี้ผูกพันให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณสามารถโอนไปให้หน่วยรับงบประมาณอื่นหรือไม่ ในขณะเดียวกันหน่วยรับงบประมาณที่มีงบประมาณรายจ่ายบุคลากรไม่เพียงพอจะต้องจัดทำคำของบประมาณมาที่สำนักงบประมาณ ซึ่งกำหนดให้เริ่มส่งคำของบประมาณเมื่อสิ้นไตรมาสที่สามของปีงบประมาณ

กรณีที่สำนักงบประมาณพิจารณาแล้วมีความจำเป็นต้องโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของหน่วยรับงบประมาณไปให้หน่วยรับงบประมาณอื่น จะพิจารณาโอนงบประมาณภายในกระทรวงเดียวกันก่อนในลำดับแรก หากยังมีงบประมาณเพียงพอที่จะโอนให้หน่วยรับงบประมาณต่างกระทรวงจะพิจารณาโอนในลำดับถัดไป

ส่วนร่างระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีฯ จะยังคงสาระสำคัญตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีการแก้ไขข้อความเพียงเล็กน้อยเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ดังนี้

  • แก้ไขคำว่า “ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ” เป็น “หน่วยรับงบประมาณ”
  • เพิ่มเติมกรณีการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันซึ่งจะต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ โดยกำหนดให้กรณีที่ต้องมีการขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพัน ก็ให้เสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันด้วย เนื่องจากเป็นกรณีที่มีผลกระทบต่อสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณตามมาตรา 11 (4) ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
  • เพิ่มเติมให้สำนักงบประมาณสามารถกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข หรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปี ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารวงเงินงบประมาณสอดคล้องกับงวดงานที่ดำเนินการจริง

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เพิ่มเติม