ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ มั่นใจ “บิ๊กป้อม” เคลียร์ประเด็นแหวนเพชร-นาฬิกาหรูได้ -มติ ครม. จัดงบฯ 1,700 ล้าน ลดพื้นที่ปลูกข้าว “นาปรัง” 9 แสนไร่

นายกฯ มั่นใจ “บิ๊กป้อม” เคลียร์ประเด็นแหวนเพชร-นาฬิกาหรูได้ -มติ ครม. จัดงบฯ 1,700 ล้าน ลดพื้นที่ปลูกข้าว “นาปรัง” 9 แสนไร่

13 ธันวาคม 2017


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม

ย้ำปลดล็อคพรรคการเมือง หลัง กม.ลูกคลอด

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการพิจารณาปลดล็อกพรรคการเมืองว่า รัฐบาลจะดูแลให้พรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ พรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก ให้ได้รับ ความเท่าเทียม ไม่เสียเปรียบซึ่งกันและกัน ขอทุกฝ่ายอย่ากังวล เพราะเมื่อกฎหมายลูกแล้วเสร็จและปัจจัยทุกอย่างเรียบร้อย ก็จะปลดล็อกให้ดำเนินกิจกรรมกันได้

พร้อมยืนยันว่า การพิจารณากฎหมายลูกเป็นหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตน หรือรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปสั่งการ หรือ เร่งรัดใดๆ เพราะสมาชิก สนช. นั้นไม่ใช่มีเพียงทหาร แต่ประกอบด้วยบุคลากรจากหลายภาคส่วน รัฐบาลทำได้เพียงนำกฎหมายเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ สนช. ซึ่งการพิจารณาก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอนและความเห็นชอง สนช.

“ผมเห็นพูดกันมานานแล้วเรื่องปลดล็อก ผมบอกแล้วว่า เมื่อกฎหมายเรียบร้อยแล้วจะปลดล็อกให้อยู่ดี ก็จะปลดล็อกเป็นขั้นๆ ไป บอกกันวันนี้ซะเลย ทุกพรรคการเมืองมีความจำเป็นแตกต่างกันออกไป ทั้งพรรคเล็กพรรคใหญ่ พรรคใหม่พรรคเก่า ก็ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย การที่จะมาอ้างพรรคเก่าใช้เวลามากกว่า ไม่ลองคิดถึงพรรคเล็กบ้าง ไม่ได้หมายความว่าพรรคของผมอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ยังไม่มีทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเป็นพรรคเก่า มีสมาชิกเก่าเยอะอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย ท่านเช็คแป๊บเดียวก็ออกมาอยู่แล้ว สิ่งสำคัญต้องเตรียมการในเรื่องสมัครพรรคการเมือง ต้องมีการบริจาคเงิน ก็คงจะปลดล็อกให้ทำได้ต่อไปในอนาคต” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงกรณีที่มีการเรียกร้องให้หัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ดำเนินการเร่งออกกฎหมายลูกว่า ให้เร็วโดยใช้มาตรา 44 มันจะเป็นไปได้อย่างไร ทีเวลาอย่างอื่นที่จะเป็นความเป็นความตายของประเทศกลับไม่เอา อย่างนี้ต้องเข้าใจตนหน่อย ตนไม่ได้หงุดหงิดอะไร เพียงแต่เล่าให้ฟัง

มั่นใจ “บิ๊กป้อม” เคลียร์ประเด็นแหวนเพชร-นาฬิกาหรูได้ – วอนสื่ออย่าเน้น

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ฝ่ายการเมืองเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีไม่มีปัญหาการทุจริต แต่กังวลว่าบุคคลรอบข้างของนายกรัฐมนตรีอาจเกี่ยวข้องกับการทุจริต ว่า ตนขอขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจตน  ส่วนคนอื่นนั้น ได้กำชับไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำงานอยู่รอบข้าง ทั้งรัฐมนตรี ผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริต อยากให้มองว่าการทำงานทุกอย่างไม่ได้ผ่านการพิจารณาเพียงแค่ตัวรองนายกรัฐมนตรีหรือ รัฐมนตรี แต่ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ บางโครงการ ครม. มีมติส่งกลับให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาใหม่หรือเพิ่มเติมรายละเอียดต่างๆ ทุกอย่างเป็นไปตามความคิดเห็นของ ครม. จึงไม่ใช่เรื่องที่จะทุจริตโดยง่าย

ต่อคำถามถึงการตรวจสอบเรื่องแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนได้ให้กำลังใจ พล.อ. ประวิตร ตามปกติ และเชื่อว่า พล.อ. ประวิตร เป็นคนเข้มแข็ง เพราะเป็นทหารสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวต้องไปดูข้อกฎหมาย และขอให้สื่อมวลชนอย่าจับจ้อง พล.อ. ประวิตร มากจนเกินไป

“ส่วนการแอบอ้างจะต้องไปดูว่ามีการแอบอ้างอย่างไร โดยต้องให้ความเป็นธรรมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย หากพบการแอบอ้างก็ขอให้ช่วยกันบอกแจ้งเตือนมาที่รัฐบาล บางคนบอกว่ากลัว แต่ก็สามารถส่งข้อมูลมาทางลับเข้ามาได้ ขอให้บอกผมมา ถ้าไม่กล้าบอกผม แล้วจะไปกล้าบอกใคร ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในระดับล่าง เช่น ในท้องถิ่น ก็ต้องไปดูว่าทุจริตกันตรงไหน ผมจะสอบให้หมด แต่อย่าพูดแบบลอยไปลอยมา โดยไม่มีหลักฐาน มาบอกผมซิครับ จะปลด ย้าย ติดคุก ผมทำให้ได้หมด แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการ เพราะถ้าไม่มีมูลแล้ว พูดก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา และรัฐบาลก่อนๆ มีเรื่องพวกนี้น้อยกว่านี้หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ก็ชอบพูดกันนัก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

“สมศักดิ์” เสนอจัดงบฯ พัฒนา จว. 5 พันล้าน นายกฯ ชี้ทำตามขั้นตอน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุโขทัย ขอให้รัฐบาลจัดสรรงบ 5 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาจังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดพิษณุโลก-สุโขทัย ระหว่างวันที่ 25 -26 ธันวาคม 2560 ว่า การประชุม ครม.สัญจร จะมีการพูดคุยกับคนในพื้นที่ ทั้งทางจังหวัดและคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) หอการค้า สภาอุตสาหกรรมท้องถิ่น โดยจะเสนอโครงการมาที่รัฐบาล โครงการใดที่อยู่ในแผนงานประจำปี ก็จะทำให้สอดคล้องกับงานของรัฐบาล ถ้ายังไม่มี ก็จะจัดสรรงบประมาณให้เมื่อมีความจำเป็น

“ที่อยากให้เดินหน้าโครงการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นนั้น ถามว่าทำไมที่ผ่านมาถึงสร้างไม่ได้ ทุกคนทราบดีว่าติดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่ป่า การแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่ที่ประชาชนจะให้ความร่วมมือมากน้อยเพียงใด ถ้าเรายังต่อต้านกันเหมือนเดิมจะมีผลกระทบด้านน้ำท่วมฝนแล้งอีกมากเท่าใด ปีหนึ่งเสียหายกี่หมื่นล้าน แต่หากจะสร้างเขื่อนจริง ก็จะต้องดูว่าสร้างความเสียหายต่อพื้นที่ป่าเท่าใด คุ้มค่าหรือไม่ และจะสามารถปลูกป่าชดเชยได้หรือไม่ จะจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้ประชาชนได้อย่างไร วันนี้ได้สั่งการไปแล้วในเรื่องของการดูแลประชาชนเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม เพราะเมื่อฝนตกมาน้ำก็ท่วมที่เดิม อาจมีความจำเป็นต้องสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ผมไม่อยากใช้คำว่าเขื่อน เพราะเดี๋ยวจะมีความขัดแย้งขึ้นอีก แต่อะไรก็ได้ที่จะลดปริมาณน้ำจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลาง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดกาฬสินธุ์ในวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ว่า จะลงไปดูปัญหาที่ชาวกาฬสินธุ์ร้องเรียน โดยจะรับฟังถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขจากในพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง และจะพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุด เพราะบางทีก็มีการร้องเรียนโดยที่ไม่มีข้อมูล จากนั้นมีการขยายความจนกล่าวหากันว่ารัฐบาลไม่สนใจ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลทำไปเยอะในเรื่องร้องเรียนเล็กๆ น้อยๆ แต่ปัญหาคือท้องถิ่นมีขีดความสามารถจำกัดในการก่อสร้างจึงต้องนำหน่วยงานอื่นไปทำ เช่น กรมทางหลวง กรมพัฒนาชนบท

เชื่อ “ชวน” หวังดี ยื่น จม.เปิดผนึก-แก้คนใต้รายได้ตกต่ำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทำจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องการแก้ปัญหาประชาชนในภาคใต้มีรายได้ตกต่ำว่า ตนนั้นเชื่อว่านายชวนหวังดี ท่านเป็นคนดี แต่ทุกฝ่ายรู้ดีว่าการเมืองไม่ใช่แบบนั้น

“เรื่องราคายางที่ลดลงนั้น ไม่ใช่จะลดแค่พื้นที่ภาคใต้ ราคายางลดทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี 2558 ที่ผ่านมาก็ปลูกแต่ยาง ไม่เคยทำอาชีพอื่น บอกให้ทำอย่างอื่นก็ไม่ยอมเพราะมีคนไปให้ความหวังว่าเดี๋ยวจะดีขึ้น แต่ผมไม่โกหกแบบนั้น การที่บอกให้ปรับเปลี่ยนมีการเลี้ยงสัตว์บ้าง แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด  ถ้าช่วยกัน นักการเมืองคนไหนพูดมาก็รับฟัง แต่ถ้ามาบอกว่ารัฐบาลนี้ทำแล้วแย่ลง ก็ต้องมองย้อนกลับไปว่ารัฐบาลที่ผ่านมาไม่รู้กี่ปีได้มีการสร้างความเข้มแข็ง สร้างความเชื่อมโยง ทำถนนหนทางได้เท่ารัฐบาลนี้หรือไม่ สาเหตุก็เป็นเพราะประชาธิปไตยเราเป็นแบบนั้น พรรคไหนได้คะแนนเสียงจากพื้นที่ใดก็ทำตรงนั้น อีกพรรคไม่ได้คะแนนเสียงตรงพื้นที่นี้ก็ไม่ทำ ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ทุกคนก็ทราบดี โยนกลับมาให้ผมทุกเรื่องแล้วจะทำอะไรได้ ต้องสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนใหม่แล้วรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยตามที่เรียกร้องกันมานั้นสามารถพูดแบบที่ผมพูดได้หรือไม่  ขอร้องว่าอย่าไปถามพวกที่ใช้ไม่ได้ ดีแต่โต้ตอบผม บางคนผมไม่คุยด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปลื้ม “อียู” รื้อฟื้นสัมพันธ์การเมืองกับไทย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีสหภาพยุโรป (อียู) มีมติฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศไทยว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามจะสื่อสารมาโดยตลอดกับทุกประเทศ โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรปที่ถือเป็นตลาดสำคัญ และมีการค้าการลงทุนกับไทยในระดับสูง โดยรัฐบาลได้พยายามทำความเข้าใจทั้งในเรื่องของแผนการทำงานและการวางยุทธศาสตร์ชาติว่าประเทศไทยได้ดำเนินไปตามแผนโรดแมป และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2561 จะต้องเป็นไปตามโรปแมปที่วางไว้เช่นกัน พร้อมกล่าวย้ำว่า ที่ผ่านมาตนไม่เคยฝืนโรดแมป ปีที่แล้วเหตุที่ต้องเลื่อนโรดแมปเพราะมีงานพระราชพิธี แล้วจะไม่เลื่อนได้อย่างไร

“วันนี้ต้องดูและคำนึงถึงความปลอดภัย เรื่องสถานการณ์ภายในประเทศของเราด้วย ผมคิดว่าทุกประเทศเข้าใจ เหลือแต่คนในประเทศของเรา ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน นักการเมืองก็พยายามพูดอะไรที่จะนำไปสู่หรือให้เกิดความขัดแย้ง กดดันรัฐบาลและบิดเบือนอะไรต่างๆ ซึ่งมีเยอะแยะเราก็เห็นกันอยู่ในคลิปอะไรต่างๆ พูดจริงและไม่จริงบ้าง แล้วก็บิดเบือนแสวงหาประโยชน์ไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าคนไทยต้องแก้ไขตรงนี้ ช่วยผมหน่อย ในการสร้างความเข้าใจกันใหม่ ดังนั้นถือเป็นเรื่องที่ดีที่อียูมีมติเช่นนี้ และถือว่าไม่ใช่เงื่อนไข เพียงแต่เขาอยากเห็นไทยกลับสู่ประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือ ประชาชนมีส่วนร่วม มีเสถียรภาพ เสรีภาพ ซึ่งรัฐบาลก็พยายามที่จะเดินหน้าไปสู่ตรงนั้น หากเราปล่อยทุกอย่างเละเทะตั้งแต่วันนี้ มันจะไปตรงนั้นได้หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ผมกังวล” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งตรวจมาตรฐาน “รถเมล์ NGV” – หลังบริษัทจีนเสนอขายต่ำกว่าราคากลาง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีมีข้อเสนอจากรัฐวิสาหกิจจีน ที่เสนอขายรถเมล์ NGV ให้กับ องค์การขนส่งมวลชน (ขสมก.) ในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางที่ ขสมก. กำหนด โดยระบุว่า กรณีดังกล่าวได้มีการตรวจแล้วว่าเป็นเพียงบริษัทของมณฑลท้องถิ่นจีน เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ เพราะรัฐต่อรัฐนั้นต้องทำกับรัฐบาลกลาง ทำให้ยังไม่มั่นใจในมาตรฐานการผลิต โดยรัฐบาลขอระยะเวลาในการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวก่อน หากดำเนินการได้ก็จะดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว โดยต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย

“จึงขอให้เข้าใจว่าต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ เพราะหากดีจริง ก็อยากให้นำเข้ามา โดยต้องกำหนดโควตาในการจัดซื้อ รวมถึงให้บริษัทต่อรถในไทยเองได้มีโอกาสในการแข่งขันเพราะตนเองต้องดูแลให้ครอบคลุม เพราะไม่ต้องการซื้ออย่างเดียว แต่อยากให้มีการผลิตและสร้างงานภายในประเทศได้ด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกฯ ยันทำตาม “ยูเอ็น” ห้ามเรือโสมแดงเทียบท่า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีรายงานของสถาบันเพื่อวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศระบุว่า ประเทศไทยละเมิดต่อการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีการปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติในการร่วมมือต่างๆ อย่างครบถ้วน และหลายอย่างทำมากกว่าที่มีข้อกำหนด เพราะฉะนั้นที่มีการกล่าวอ้างว่ามีเรือเกาหลีเหนือเข้ามาเทียบท่านั้น ตนได้สั่งห้ามมานานแล้ว ต้องผลักดันออกไปให้หมด ไม่มีการค้าขายระหว่างกัน ไม่มีการซื้อถ่านหินระหว่างกัน ไม่มีการประกอบการค้า

“ตอนนี้เยอะแยะไปหมดจนแทบกระดิกไม่ได้อยู่แล้ว อย่าไปฟังเขามากนักเลย อะไรที่เป็นมติสหประชาชาติ ผมก็ทำและทำพร้อมไปกับเพื่อนอาเซียนด้วย ไม่ใช่ผมทำคนเดียว เป็นพระเอก ก็ไม่ใช่ เพราะถือว่าเป็นมติของอาเซียน ซึ่งในการกล่าวถ้อยแถลงอะไรก็แล้วแต่ ครั้งที่แล้วถ้อยแถลงอาเซียนไม่มี แต่ไทยเป็นคนเสนอเองว่าอย่างน้อยก็ให้แถลงออกมาว่าเราทำอะไรบ้างที่สอดคล้องกับมติสหประชาชาติ จึงได้มีถ้อยแถลงดังกล่าวออกมา ดังนั้นอย่าไปว่าพวกเรากันเอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. อื่นๆ มีดังนี้

นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)

ไฟเขียวแก้ราคายางตกต่ำ – “ลดพื้นที่-จัดสินเชื่อรับซื้อยาง-สั่งภาครัฐเพิ่มการใช้”

นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ 3 มาตรการ ได้แก่

1) ให้หารือกับส่วนราชการ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา และกระทรวงมหาดไทย เพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มปริมาณความต้องการใช้ยางพารา จากเดิมในเบื้องต้นคาดว่าจะมีปริมาณประมาณ 70,000-80,000 ตันซึ่งยังคิดว่าน้อยเกินไป และมีเป้าหมายที่ 200,000 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท

2) ช่วยเหลืออุดหนุนภาระดอกเบี้ยสูงสุดรายละ 3% ต่อปี วงเงินสินเชื่อรวม 20,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการซื้อยางพาราแห้งภายในประเทศ คาดว่าจะดูดซับปริมาณยางทั้งปีได้ 350,000 ตัน

3) มาตรการลดพื้นที่ปลูกและกรีดยางพารา ระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่มกราคม-มีนาคม 2561 แบ่งเป็นลดพื้นที่ของส่วนราชการทั้งหมด 120,000 ไร่ ซึ่งเปิดกรีดแล้ว 70,000-80,000 ไร่ และช่วยลดปริมาณน้ำยางประมาณ 5,000 ตัน ขณะเดียวกันจะเชิญชวนประชาชนให้ช่วยลดการปลูกหรือกรีดยางพาราและหันมาปลูกพืชชนิดอื่น โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมีการอุดหนุนปัจจัยการผลิต รวมทั้งประสานกระทรวงพาณิชย์ให้หาตลาดสำหรับผลผลิตด้วย ทั้งนี้เบื้องต้นตั้งเป้าหมายไว้ที่ 20,000 ราย รายละ 10 ไร่ รวมทั้งสิ้น 200,000 ไร่ โดยมีแรงจูงใจเป็นเงินอุดหนุน 4,000 บาทต่อราย

ทั้งนี้ ตามกฎหมายระบุว่าต้องนำมาตรการดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ และคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เสียก่อนและให้นำเข้าขอความเห็นชอบจาก ครม. อย่างเป็นทางการอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป นอกจากนี้ รัฐบาลมีมาตรการเสริมต่างอีก 2 มาตรการ ได้แก่ การเจรจาลดการผลิตจาก 3 ประเทศผู้ผลิตยางพาราหลัก ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะลดการผลิตยางใหม่ได้ประมาณ 200,000 ตัน และ กยท. ร่วมมือกับภาคเอกชนเข้าซื้อยางพาราในตลาดซื้อขายยางพาราหลัก 6 แห่งและตลาดรองอีก 108 แห่ง

สำหรับความคืบหน้าโครงการที่รัฐบาลเคยอนุมัติโครงการอุดหนุนดอกเบี้ย 3% เดิม 2 โครงการ วงเงินโครงการละ 10,000 ล้านบาท โดยโครงการแรกจะเป็นกาารเสริมสภาพคล่องแก่สถาบันเกษตรกรสำหรับรวบรวมยางพาราและแปรรูปยางสร้างมูลค่าเพิ่มที่ผ่านมาได้ใช้วงเงินไปประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาทแล้วและรวบรวมยางพาราได้ประมาณ 100,000 ตัน และโครงการที่ 2 จะเป็นการเสริมสภาพให้ผู้ประกอบการรวบรวมน้ำยางข้นที่ผ่านมาได้ใช้วงเงินทั้งหมดแล้ว และจะเริ่มซื้อยางหลังจากนี้ไปทั้งปี 200,000 ตัน

จัดงบฯ 1,700 ล้าน – ลดพื้นที่ปลูกข้าว “นาปรัง” 9 แสนไร่

นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการปรับพื้นที่ปลูกพืชทดแทนการปลูกข้าว รอบที่ 2 ภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 (ด้านการผลิต) จำนวน 3 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายเพิ่มเติม 900,000 ไร่ วงเงิน 1,747.48 ล้านบาท ได้แก่

1) โครงการขยายการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรังปี 2561 ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ วงเงิน 647.48 ล้านบาท พื้นที่ 300,000 ไร่

2) โครงการขยายการปลูกพืชปุ๋ยสด ฤดูนาปรังปี 2561 ของกรมพัฒนาที่ดิน วงเงิน 240 ล้านบาท พื้นที่ 200,000 ไร่ และ

3) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชอาหารสัตว์ ฤดูนาปรังปี 2561 ของกรมปศุสัตว์ วงเงิน 869 ล้านบาท พื้นที่ 400,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณอนุมัติวงเงินเพียง 1,687.15 ล้านบาท โดยเป็นการปรับค่าราคาตามมาตรฐานของสำนักงบประมาณแทน

“ครม. เคยอนุมัติมาตรการดังกล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าจะลดการปลูกข้าวนาปรังไปได้ประมาณ 1.05 ล้านไร่ แต่จากที่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงลงไปสำรวจพบว่าเกษตรกรหลายรายคาดว่าจะปลูกข้าวนาปรังเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านไร่ เนื่องจากปีนี้น้ำท่าดี โครงการรอบที่ 2 จึงจะขยายพื้นที่อีกประมาณ 900,000 ไร่ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการอุดหนุนปัจจัยการผลิตจากรัฐรายละ 2,000 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 15 ไร่ รวมทั้งการให้ความรู้ในการเพาะปลูกและมีการหาตลาดสำหรับจำหน่ายให้เสร็จสรรพ ซึ่งหากทั้งหมดเป็นไปตามแผนคาดการฤดูกาลเพราะปลูกปี 2560/61 จะมีข้าวออกสู่ตลาดทั้งหมดประมาณ 29-30 ล้านตันข้าวเปลือก โดยมีพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดประมาณ 11 ล้านไร่ โดยเป็นการลดปรับพื้นที่ไปประมาณ 2 ล้านไร่” นายลักษณ์กล่าว

ยกเว้นภาษีเงินฝากตามหลักอิสลาม

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร รวม 2 ฉบับ (มาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษี กรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม) ตามการเสนอของกระทรวงการคลัง โดยเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลตอบแทนเงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ให้สอดคล้องกับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลตอบแทนจากเงินฝากประเภทดังกล่าวของสถาบันการเงินอื่น

สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 301) พ.ศ. 2539 โดยเพิ่มเติมการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามกับธนาคารในราชอาณาจักร ซึ่งจะต้องฝากเงินเป็นรายเดือนติดต่อกันมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 24 เดือนนับแต่วันที่เริ่มฝาก โดยมียอดเงินฝากแต่ละคราวเท่ากัน แต่ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน และรวมแล้วทั้งหมดต้องไม่เกิน 600,000 บาท ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด

ขณะที่สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เป็นการแก้ไขเพิ่มกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และกฎกระทรวง ฉบับที่ 250 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ดังนี้

1) เพิ่มเติมการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามกับธนาคารในราชอาณาจักร ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับเงินฝากประเภทออมทรัพย์ เฉพาะกรณีได้รับผลตอบแทนดังกล่าว และดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรประเภทออมทรัพย์ รวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาทตลอดปีภาษี

2) เพิ่มเติมการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามกับธนาคารในราชอาณาจักร ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับเงินฝากประจำที่มีระยะเวลาการฝากตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป แต่เมื่อรวมกับผลตอบแทนดังกล่าวทุกประเภทหรือดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภทแล้ว ต้องไม่เกิน 30,000 บาทตลอดปีภาษี และได้รับผลตอบแทนดังกล่าวหรือดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์

บริจาคเงิน “โครงการสานพลังประชารัฐ” หักภาษี 2 เท่า

นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐ โดยจะเป็นการกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนโครงการสานพลังประชารัฐ หรือเพื่อดำเนินการภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ

สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว คือ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้มีการจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนโครงการสานพลังประชารัฐ หรือเพื่อดำเนินการภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐ สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5% ของกำไรสุทธิหลังจากที่ได้หักรายจ่ายเป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่าย ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา สำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ และรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชน ที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใดๆ หรือสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ หรือสนามกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกิน 10% ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่าย เพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ทั้งนี้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม.ค. 2560 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2561

สั่งขุดคลองแก้น้ำท่วม จ.นครศรีธรรมราช ตามพระราชดำริ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทาน ดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีกำหนดแผนงานโครงการ 6 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2566) โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ มีข้อสั่งการว่าควรเร่งดำเนินการ โดยอาจจะให้ทหารเข้ามาช่วยดำเนินการได้

สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ดำเนินการภายในกรอบวงเงิน 9,580 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ที่สำนักงบประมาณได้ตั้งรองรับไว้ จำนวน 265,297,600 บาท ส่วนงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566 ให้กรมชลประทานจัดทำแผนปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

ทั้งนี้ กษ. ดำเนินการขอตั้งงบประมาณให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าหรือบำรุงป่าชายเลนไม่น้อยกว่า 20 เท่า ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและการบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมกรณีการดำเนินการโครงการใดๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. 2556 อย่างเคร่งครัด และยื่นเรื่องขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่จากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งต่อไป รวมทั้งให้สร้างความเข้าใจและการยอมรับจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบและผลประโยชน์จากการดำเนินโครงการ เพื่อสามารถดำเนินการได้ตามแผนปฏิบิติการที่กำหนดไว้

สาระสำคัญของโครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชและบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งเพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำหรับการเกษตรกรรมริมฝั่งคลองระบายน้ำ และสามารถป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้ามาในบริเวณพื้นที่โครงการ ที่ตั้งโครงการ อยู่ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ครอบคลุมพื้นที่ 6 ตำบล 2 อำเภอ ได้แก่ ตำบลไชยมนตรี ตำบลท่าเรือ และตำบลบางจาก อำเภอเมือง และตำบลนาสาร ตำบลข้างซ้าย และตำบลนาพรุ อำเภอพระพรหม

พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย)

เปิดรับฟังความเห็นปมสร้าง “เขื่อนแก่งเสือเต้น” – สั่งลดงบฯ จัดเลี้ยงนายกฯ ลงพื้นที่

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดลงพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 13 ธันวาคม 2560 และการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.สุโขทัยและ จ.พิษณุโลก ระหว่างวันที่ 25-26 ธันวาคม 2560 จะมีตัวแทนประชาชนและกลุ่มการเมืองเตรียมยื่นเรื่องเกี่ยวกับการก่อสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้นว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ปิดกั้นการรับฟัง โดยยินดีรับฟังข้อมูลทุกภาคส่วน เพราะการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งเป็นสิ่งสำคัญ ทุกคนต้องช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนว่า วิธีใดจะเป็นจุดลงตัวของทุกฝ่าย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ในการลงพื้นที่ครั้งนี้และครั้งต่อๆ ไป ที่จะไปตรวจเยี่ยมประชาชน หรือประชุม ครม. นอกสถานที่ จะขอให้ลดงบประมาณในการจัดเลี้ยงดูแลต้อนรับให้มากที่สุด เอาเท่าที่จำเป็น ทั้งในส่วนของนายกฯ เอง และส่วนของคณะติดตาม รวมถึงการจัดบูธต่างๆ แม้จะเป็นความตั้งใจดีของหน่วยงาน ที่ต้องการให้รู้ว่าโครงการทั้งหลายที่มีนโยบายสั่งการไป มีความพัฒนาไปถึงไหน แต่ก็เป็นเรื่องที่เสียเวลาค่อนข้างมากถ้านายกรัฐมนตรีจะไปเดินดูตั้งแต่บูธแรกจนถึงบูธสุดท้าย แต่ถ้าไม่ไปผู้ที่จัดก็จะเสียกำลังใจ จึงขอให้เปลี่ยนเป็นการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหาในแต่ละเรื่องกับผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือถ้าจำเป็นต้องดูถึงความก้าวหน้า ขอให้พาลงไปดูในพื้นที่เลยไม่ต้องจัดบูธมา หากต้องจัดก็ขอมีแต่น้อย

ยกเว้นค่าทางด่วน “มอเตอร์เวย์-วงแหวนบางพลี-บางขุนเทียน” ช่วงปีใหม่

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. …. (ยกเว้นค่าธรรมเนียมในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 28 ธันวาคม 2560 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 4 มกราคม 2561) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเสนอว่า เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ของปี พ.ศ. 2561 มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวันคาดหมายได้ว่าจะมีประชาชนจำนวนมากเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นผลให้การจราจรติดขัดในทุกสายทางที่ออกและเข้ากรุงเทพมหานครและปริมณฑล การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่จะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การจราจรมีความคล่องตัว รวมทั้งเป็นการลดการใช้พลังงานของประเทศ

อนึ่ง ร่างกฎกระทรวงมีสาระสำคัญกำหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 37 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร-เมืองพัทยา พ.ศ. 2558 และบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี ตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน-บางพลี พ.ศ. 2558 ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 28 ธันวาคม 2560 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 4 มกราคม 2561

อ่านมติ ครม. วันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่นี่