ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ปฏิเสธแสดงความเห็นคำวิจารณ์หม่อมอุ๋ย – มติ ครม.ชาวสีรุ้งเฮ! เห็นชอบ “จดทะเบียนคู่ชีวิต”

นายกฯ ปฏิเสธแสดงความเห็นคำวิจารณ์หม่อมอุ๋ย – มติ ครม.ชาวสีรุ้งเฮ! เห็นชอบ “จดทะเบียนคู่ชีวิต”

25 ธันวาคม 2018


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2561 มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อมวลชน ดังนี้

กำชับรักษาความปลอดภัยช่วงปีใหม่

พล.อ.ประยุทธ์เปิดเผยว่า ได้กำชับให้หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและกำกับดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้เกิดความเรียบร้อยทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องการลดอุบัติเหตุทางจราจรและการจัดแสดงมหรสพต่างๆ

“ผมกำชับไปแล้วในหลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่เคยดำเนินการมาในปีที่ผ่านๆมา โดยย้ำเตือนในเรื่องการจราจร การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่การแสดงมหรสพทุกพื้นที่ ซึ่งขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ต้องเสียสละอดทน ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และขอบคุณประชาชนที่จะต้องช่วยกันเฝ้าระวังและดูแลพื้นที่ของตัวเองให้เกิดความสงบเรียบร้อย”

ส่วนเรื่องอุบัติเหตุทางถนนก็ได้กำชับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอยางเคร่งครัด รวมทั้งกำชับให้หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ร่วมกันรณรงค์ลดการเกิดอุบัติเหตุให้ได้ โดยประสานงานกับเจ้าหน้าที่ แต่อย่างไรก็ตามประชาชนก็ต้องให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎหมายด้วย

ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวอวยพรปีใหม่ให้คนไทยและสื่อมวลชนประสบความสำเร็จในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ มีความปลอดภัยในการเดินทาง ทำงานประกอบอาชีพประสบความสำเร็จ เป็นคนดีคนเก่ง มีคุณธรรม เพื่อจะร่วมกันพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน

แจงความคืบหน้ากฎหมายปฏิรูปตำรวจ

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าเรื่องกฎหมายปฏิรูปตำรวจว่า มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนซึ่งกำลังเร่งดำเนินการอยู่ โดยที่ประชุมครม.วันนี้ได้เห็นชอบหลักการการพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีการหารือในหลายประเด็น อาทิเช่น มาตรการในการห้ามนำผู้ต้องหาหรือผู้ถูกจับกุมมาแถลงข่าว การแจ้งความร้องทุกข์นอกพื้นที่ได้ รวมถึงการไม่นับอายุความระหว่างหลบหนีคดี เป็นต้น

“วันนี้เป็นการรับหลักการในกฎหมายนี้ แต่ต้องมีการพิจารณาต่ออีกหลายประเด็นที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มันยังต้องผ่านขั้นตอนมากมายในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปตำรวจ หรือการปฏิรูปการศึกษา มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายประการ เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถึงจะเกิดการปฏิรูปได้อย่างแท้จริง”

ย้ำวางตัวเหมาะสม ไม่ขัดกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามกรณีจะต้องปรับวิธีการทำงานหรือสื่อสารสังคมใหม่หรือไม่ หากมีพระราชกฤษฎีกา(พ.ร.ฎ.) เลือกตั้งประกาศออกมาว่า ตนปฏิบัติตัวและปรับตัวอยู่ในกรอบของกฎหมายอยู่แล้ว โดยมีหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมา ขณะเดียวกันยังเป็นหัวหน้าคสช. ซึ่งได้ปลดล็อกเรื่องต่างๆไปหลายประการแล้ว เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม

“ผมปรับตัวของผมอยู่แล้ว ถ้าทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย ทำได้ ผมก็ทำ วันนี้ทุกคนทราบดีว่าผมมีหน้าที่อะไร หน้าที่ของผมส่วนหนึ่งก็คือการเป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ขึ้นมา”

พร้อมย้ำว่า “อีกส่วนหนึ่งคือการเป็นหัวหน้าคสช. ซึ่งผมได้ปลดล็อกเรื่องต่างๆไปหลายประการแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม นายกฯเองก็ต้องทำตามกฎหมายที่มีอยู่ วันนี้ก็ได้ย้ำเตือนในที่ประชุมครม.ไปอีกครั้งหนึ่งแล้วว่าเราต้องทำตัวกันอย่างไร รัฐมนตรีต้องเป็นยังไง ตราบใดที่ไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมของประเทศ”

ปฏิเสธแสดงความเห็นคำวิจารณ์หม่อมอุ๋ย

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์จะชี้แจงหรือมีความคิดเห็นกรณีม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีเขียนบทความ 8 เหตุผลที่ไม่ต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปอย่างไร โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมไม่มีความคิดเห็นครับ”

เตือนพรรคการเมืองหยุดอ้างชื่อหาเสียง ยังไม่เลือกพรรคไหน

พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามกรณีมีพรรคพลังประชารัฐขึ้นเวทีหาเสียงโดยชูตนเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “ผมก็เห็นหลายพรรคชูประยุทธ์ตลอด แต่ผมยังไม่ตัดสินใจกับใครสักพรรค เพราะฉะนั้นขอให้ระมัดระวังด้วย การจะเสนอกล่าวชื่อผมในเวทีต่างๆ ขอเตือนไว้ด้วย ตราบใดที่ผมยังไม่ได้ตอบรับกับใคร ก็อย่าไปพูดถึงผม ขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่”

พร้อมกล่าวต่อว่า “แต่ถ้ายังมีพรรคใดเสนอผมมา อาจจะรอเรื่องกฎหมายต่างๆที่ยังไม่เรียบร้อยอยู่ก็ได้ ในช่วงนั้นค่อยว่ากันอีกที ผมก็ต้องพิจารณาอีกครั้งว่าผมจะทำต่อไปหรือไม่ แล้วจะรับพรรคใด ขอให้เคารพในการตัดสินใจของผมด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ขอสื่อเสนอข่าว 2 ด้าน อย่าเหมารวมศก.ไม่ดีทั้งหมด

พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดทำสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาลครบ 4 ปีว่า ไม่อยากให้มองเฉพาะผลงานหรือประเมินค่าจากหน่วยงานของรัฐบาล แต่การที่ใครชอบหรือไม่ชอบรัฐบาล ชอบตนหรือไม่ชอบตน ต้องมาจากความคิดเห็นของประชาชน

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อยากให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวในประเด็นเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง อย่านำเสนอข้อมูลด้านเดียว เพราะมีผลต่อความเชื่อมั่นในการตัดสินใจใช้จ่ายของประชาชน อย่างไรก็ตามรัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และขอให้เชื่อมั่นตนว่าไม่ได้ทำหรือตัดสินใจเพื่อใคร แต่ทำเพื่อประเทศชาติให้มีรายได้สูงขึ้น

“ในเรื่องเศรษฐกิจ ผมขออย่างเดียว ถ้าเสนอข่าวโดยรวมว่ามันแย่อย่างเดียว มันก็มีผลต่อความไว้เนื้อเชื้อใจในการใช้จ่ายเงินของประชาชน ก็มีส่วนหนึ่งที่เขาพร้อมจะใช้จ่าย เขามีเงินใช้จ่าย ก็ไม่กล้าจะใช้ ส่วนที่สองคือไม่มีจะใช้อยู่แล้ว รัฐบาลก็เอาไปเติมให้ เสริมให้ แต่ถ้าพูดว่ามันไม่ดีทั้งหมด มันต้องไปดูว่ามันไม่ดีตรงไหน ขายส่ง ขายปลีก วัสดุต้นทุน ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต นวัตกรรม บางพื้นที่เขาก็ดี บางกิจการเขาก็ดี ไม่ได้เดือดร้อน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า “ถ้าท่านเหมารวมทั้งหมดว่ามันเดือดร้อนไปทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ ต้องไปดูในรายละเอียดปลีกย่อยว่ามันเป็นพื้นที่หรือไม่ บางพื้นที่มีการพัฒนาตัวเองหรือยัง ความสะอาด ความเรียบร้อย สินค้าต่างๆ น่าอุปโภคบริโภคมั้ย เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาโดยรวม เขาเรียกว่าบิ๊กดาต้าไง เพราะฉะนั้นต้องไปหาข้อมูลเหล่านี้ ฝากสื่อไปช่วยพิจารณาด้วย”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า “อย่างเรื่องการท่องเที่ยวก็มีการสรุปมาแล้วว่าวันนี้มีความก้าวหน้าในเรื่องประเด็นนักท่องเที่ยวที่มาจากทั้งในและต่างประเทศ มีสูงขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ลดลง หรืออาจจะลดลงบางประเทศ แต่ก็เพิ่มประเทศอื่นมา ก็แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีรายได้จากการประกอบการท่องเที่ยว จากนักท่องเที่ยวภายนอกและในอาเซียนด้วยกัน เป็นจำนวนที่สูงขึ้น ดังนั้นเราก็ต้องพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวในลักษณะที่มีความเชื่อมโยงกันให้มากยิ่งขึ้น และทำอย่างไรให้ผลประโยชน์ลงไปสู่ประชาชนในพื้นที่ ด้วยการท่องเที่ยวชุมชน ด้วยโฮมสเตย์ ด้วยการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวเฉพาะทาง ซึ่งหลายพื้นที่ก็มีสิ่งที่ดีๆเกิดขึ้น”

พร้อมย้ำว่า “ฉะนั้นอยากจะขอร้องว่า สิ่งใดที่มันดีขึ้นก็ช่วยเถอะ เพราะท่านบอกว่าต้องเสนอข่าวสองทางอยู่แล้ว ทางที่ดีท่านก็ต้องเสนอด้วย อะไรที่ไม่ดีท่านก็เสนอมา ผมก็รับฟังได้ แต่ถ้าท่านเสนอแต่ไม่ดีอย่างเดียว มันมีผลกระทบกับอย่างอื่น แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าความเชื่อมั่นของประชาชนไม่มี”

พล.อ.ประบุทธ์ กล่าวต่อว่า “นอกจากนี้อยากให้ดูเศรษฐกิจโลกด้วย ประเทศมหาอำนาจต่างๆก็มีปัญหามากมายพอสมควร เพราะฉะนั้นมีผลกระทบทั้งสิ้น ดังนั้นการค้าขายใดๆก็ตาม เราเน้นการดูแลผู้มีรายได้น้อย แต่ต้องปรับปรุงตัวเอง ต้องพัฒนาตัวเองไปด้วย ผมก็พยายามลงพื้นที่สอบถามตรงนี้ว่าเป็นยังไง ขายน้อยลงมั้ย เขาก็บอกว่าปกติ บางวันก็ขายได้หมด หรือสองวันถึงจะขายหมด แต่เขาก็ยังขายได้อยู่ ไม่ใช่มันแย่จนขายของไม่ได้เลย”

“ตราบใดที่ผู้บริโภคยังกิน ยังอยู่ ยังอาศัย เขาก็ต้องซื้อของ แต่เขาจะซื้อของในที่สะดวก สะอาด ปลอดภัย ร้านค้าก็ต้องปรับปรุงตัวเองไปด้วย อย่ามองทุกอย่างเป็นการเมืองไปหมด ไม่อย่างนั้น มันก็ไปเข้ากับคนที่บิดเบือน วันนี้มันต้องแก้ปัญหาในเชิงบูรณาการ ซึ่งรัฐบาลนี้ทำเต็มที่ ฉะนั้นการจะทำอะไรก็ตาม การจะสื่อความหมาย หรือจะสื่อไปยังประชาชนก็ตาม อย่าคิดเองเออเอง วันนี้มันจำเป็นต้องมีข้อมูลที่เพียงพอ อย่าไปเอียงข้างอะไรมากมายนัก ก็เสนอทั้งดีทั้งไม่ดี ก็ว่ามา ที่ไม่ดีรัฐบาลก็แก้ไข ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ฟังใครเลยเมื่อไหร่ รัฐบาลฟังทุกอัน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า “ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาก็ฟังทุกคน จะบอกว่าผมไม่ตัดสินใจ ผมตัดสินใจมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาเยอะแยะ แต่อะไรที่ตัดสินใจแล้วมันเกิดผลกระทบมาก ผมก็จำเป็นต้องชะลอ ให้มีการศึกษาหารือปรึกษากันใหม่ เช่น ปรึกษาว่ากฎหมายมันเป็นยังไง ทำได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำ ก็แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นก็กรุณาฟังผมก็แล้วกัน ขอให้เชื่อมั่นผม ผมบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น”

“แล้วในกรณีที่บอกว่าผมทำเพื่อคนนั้นเพื่อคนนี้ จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องทำเพื่อใคร ผมทำเพื่อประเทศชาติ เพราะผมต้องการให้ประเทศเรามีรายได้ที่สูงขึ้น ฉะนั้นอยากให้สื่อมองตรงนี้ด้วย วันนี้การเสนอข่าวต้องระมัดระวังที่สุด โลกกำลังอ่อนไหวจากมาตรการการค้าการลงทุน จากเศรฐกิจระหว่างประเทศ เรายิ่งเสนอข่าวที่มันเสียหาย มันยิ่งพาให้ทุกอย่างพังเร็วขึ้น ท่านต้องสร้างพลังอันแข็งแกร่งของคนไทย ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง ผมไม่ได้รังเกียจใครหรอก แต่ขอร้องกันแค่นั้นเอง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

มติ ครม.มีดังนี้

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาะ :www.thaigov.go.th

เห็นชอบเป้าการเงินปี 62 – กรอบเงินเฟ้อ 2.5+/-1.5%

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ ครม. มีมติเห็นชอบเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี 2562 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง และเป้าหมายสำหรับปี 2562 ซึ่งการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินไว้ที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.5 +/- 1.5% ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 – 2565) โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในช่วง 3.5 – 4.5 % เช่นเดียวกับในปี 2562 ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวในกรอบ 3.5 – 4.5% เช่นกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีตามการปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้และการจ้างงานและปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนตามทิศทางการดำเนินนโยบายการค้า นโยบายการเงิน และนโยบายด้านต่างประเทศของประเทศสำคัญ ๆ

ทั้งนี้สถียรภาพทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของอุปสงค์ภายในประเทศและราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นจากช่วง 1.5-2.5% ในปี 2564 มาอยู่ในช่วง 2 – 3% ในปี 2565

สำหรับการดำเนินนโยบายการคลังระยะปานกลาง รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และหากในระยะต่อไป ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมีภาคเอกชนเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รัฐบาลก็จะสามารถลดขนาดการขาดดุลลงได้ ดังนั้น เป้าหมายการคลังในระยะยาวจึงควรกำหนดให้รัฐบาลปรับลดขนาดการขาดดุลและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในที่สุด

ไฟเขียว กม.เดินอากาศ ต่างชาติถือหุ้น 100% – 3 ธุรกิจ อุตสาหกรรมการบิน

นายณัฐพร กล่าวว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสน โดยมีสาระสำคัญในการตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นมิให้นำบทบัญญัติเรื่องทุนจดทะเบียนซึ่งต้องเป็นของบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนทั้งหมด และอำนาจการบริหารกิจการซึ่งต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของบุคคลผู้มีสัญชาติไทย มาใช้บังคับแก่คุณสมบัติและลักษณะของ

  • 1) ผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตอากาศยาน
    2) ผู้ขอรับใบอนุญาตผลิตส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน
    และ 3) ผู้ขอรับใบรับรองหน่วยซ่อมประเภทที่หนึ่งสำหรับอากาศยานที่มีมวลวิ่งขึ้นสูงสุดตั้งแต่ห้าพันเจ็ดร้อยกิโลกรัมขึ้นไป
  • นอกจากนี้ยังพิ่มเติมบทเฉพาะกาลเพื่อให้ผู้ผลิตอากาศยานหรือส่วนประกอบสำคัญของอากาศยานอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้ทำการผลิตต่อไปได้ แต่ต้องยื่นคำขอต่อผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับให้ใบรับรองหน่วยซ่อมประเภทที่หนึ่งฯ ให้คงใช้ได้ต่อไปจนกว่าใบรับรองนั้นจะสิ้นอายุ และให้ผู้ประกอบกิจการซึ่งยังไม่ได้รับใบรับรอง ยื่นคำขอรับใบรับรองต่อผู้อำนวยการภายใน 180 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

    “เป็นการเปิดช่องให้ผู้ประกอบธุรกิจต่างชาติ สามารถถือหุ้นได้ 100 % สำหรับธุรกิจผลิตอากาศยาน ทั้ง 3 ประเภท ทั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยผ่อนคลายข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติและลักษณะของผู้ขอรับใบอนุญาตธุรกิจด้านอากาศยานทั้ง 3 ประเภท จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติและเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีในกิจการดังกล่าว เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของไทย” นายณัฐพร กล่าว

    อนึ่งปัจจุบันไทยมีผู้ประกอบการผลิตอากาศยานและส่วนประกอบสำคัญของอากาศยาน รวม 26 ราย และผู้ประกอบการหน่วยซ่อมอากาศยาน รวม 14 ราย มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 23,000 ล้านบาท

    ชาวสีรุ้งเฮ ครม.เห็นชอบ “จดทะเบียนคู่ชีวิต”

    นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. …. เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับสร้างครอบครัวของผู้มีความหลากหลายทางเพศ โดยมีสาระสำคัญ อาทิ กำหนดให้ผู้ที่จะจดทะเบียนได้ต้องไม่ใช่คู่ชายหญิง มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมีสัญชาติไทย ทั้งสองฝ่ายยื่นคำร้องและแสดงความยินยอมต่อนายทะเบียน ส่วนหลักเกณฑ์การสิ้นสุดการเป็นคู่ชีวิต จะสิ้นสุดลงโดยความตาย สมัครใจเลิกกัน หรือศาลพิพากษาเพิกถอนการเป็นคู่ชีวิต สำหรับการกำหนดความสัมพันธ์เรื่องทรัพย์สินและมรดก ให้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับใช้โดยอนุโลม

    “การจดทะเบียนคู่ชีวิตจะมีลักษณะคล้ายการจดทะเบียนสมรส แต่มีข้อแตกต่างๆ อย่าง สวัสดิการของภาครัฐ เช่น ข้าราชการจะมีสวัสดิการครอบคลุมสามี ภรรยาด้วย อีกเรื่องคือสิทธิการลดหย่อนทางภาษีในแง่สามีภรรยา ส่วนเรื่องบุตรไม่อยู่ในกฎหมาย แต่ครอบคลุมอยู่ในเรื่องบุตรบุญธรรม สองคนมาอยู่ด้วยกันสามารถรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมและมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว” นายณัฐพร กล่าว

    ทั้งนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฎหมายลักษณะนี้ หลังจากครม.เห็นชอบจะส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณารายละเอียด เมื่อเห็นชอบจึงจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา และใช้ระยะ 120 วันก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะสามารถผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวได้ทันใน สนช. ชุดนี้หรือไม่

    อนุมัติ 500 ล้าน อบรม SMEs “ลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน”

    นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติการปรับปรุงมาตรการเพิ่มขีดความสามารถและส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยจัดการอบรมเสริมสร้างความรู้ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และออกคูปองเพื่อซื้อขายเงินตราต่างประเทศสำหรับการทำธุรกรรมซื้อขายเงินต่างประเทศ FX Options วงเงิน 30,000 บาท เป้าหมาย 5,000 ราย ภายใต้กรอบวงเงิน 500 ล้านบาท

    โดยโครงการส่งเสริมความรู้ให้กับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ปรับปรุงใหม่ มีรายละเอียด ดังนี้

    • ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการต้องเป็นผู้ประกอบการส่งออก/นำเข้าที่มียอดขายไม่เกิน 400 ล้านบาทต่อปี และเป็นสมาชิกของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
    • เข้าอบรมจะต้องเป็นเจ้าของกิจการ หรือผู้มีอำนาจตัดสินเท่านั้น โดยผู้ประกอบการทุกรายสามารถเข้าอบรมได้ แต่ผู้ที่จะได้รับวงเงินต้องเข้าเงื่อนไขการได้วงเงิน
    • ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการระยะแรกสามารถมีสิทธิ์ใช้วงเงินได้ แต่ต้องเข้ารับการอบรมและทำแบบประเมิน client suitability ใหม่

    ทั้งนี้ผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าเป้าหมายยที่ตั้งไว้ 5,000 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 2,600 ราย และรับวงเงินไปทดลองใช้ธุรกรรมจำนวน 2,269 ราย ซื้อออฟชั่นจริง 619 ราย จำนวน 1,561 สัญญา คิดเป็นมูลค่า 55.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นผลจากหลายปัจจัย อาทิ ผู้ประกอบการบางส่วนเห็นว่า เงื่อนไขคุณสมบัติที่จะได้วงเงินเข้มงวดเกินไป รวมทั้งวงเงินไม่จูงใจ และผู้ประกอบการบางส่วนไม่จำเป็นต้องป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

    เห็นชอบ รฟม. คุมรถไฟฟ้าโคราช

    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ อนุมัติในหลักร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. …. โดยจัดทำเป็นระบบรางเบา (Street Running Light Rail) ระยะทางรวม 50.09 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 3 แนวเส้นทาง ดังนี้

    • สายสีเขียว ช่วงตลาดเซฟวัน – ถนนมุขมนตรี – สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ ระยะทาง 11.17 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายช่วงสถานีทดลองการใช้น้ำชลประทานที่ 3 (ห้วยบ้านยาง) – ตลาดเซฟวัน และช่วงสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ – สำนักงานขนส่งจังหวัดนครราชสีมา สาขา 2 ระยะทาง 12.12 กิโลเมตร รวม 33 สถานี
    • สายสีส้ม ช่วยแยกประโดก – ถนนช้างเผือก – คูเมืองเก่า ระยะทาง 9.81 กิโลเมตร และส่วนต่อขยาย ช่วงโรงเรียนเทศบาล 1 – หัวทะเล – ดูโฮม ระยะทาง 5.37 กิโลเมตร มีสถานีทั้งสิ้นจำนวน 23 สถานี
    • สายสีม่วง ช่วงตลาดเซฟวัน – ถนนมิตรภาพ – สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านนารีสวัสดิ์ ระยะทาง 7.14 กิโลเมตร และส่วนต่อขยายช่วงมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล – แยกจอหอ – ค่ายสุรนารายณ์ ระยะทาง 4.48 กิโลเมตร มีสถานีทั้งสิ้นจำนวน 22 สถานี

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้ 5 ปี นับตั้งแต่ได้รับอนุมัติโครงการและงบประมาณ ซึ่งในวันนี้เป็นเพียงการเห็นชอบในหลักการของร่างกฎหมายเบื้องต้นของโครงการ ยังไม่มีการระบุไปถึงงบประมาณแต่อย่างใด

    อนึ่งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ได้มีการพิจารณาเพิ่มเติมให้ดำเนินโครงการดังกล่าวตามมาตรการ PPP Fast Track รวมทั้งเสนอกรอบระยะเวาในการดำเนินโครงการให้เป็นไปตาม PPP Fast Track โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 19,660 คนต่อวัน ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 110,250 คนต่อวัน ในปี 2596

    แก้ ป.วิอาญา อีกก้าวปฏิรูป ตร.- 2 สัปดาห์ ครม.ผ่านกม.กว่า 50 ฉบับ

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ…. ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปตำรวจ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายและผู้ต้องหา โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

    1.กรณีที่มีการจับกุมตัวผู้ต้องหาแล้ว ห้ามนำตัวไปแถลงข่าว

    2.ขณะทำการสอบสวน จะต้องถ่ายวีดีโอและบันทึกเสียงไว้เป็นหลักฐานโดยตลอด

    3.ในขั้นตอนการสอบสวน อาจต้องมีพนักงานอัยการในกรณีที่เป็นคดีที่มีโทษรุนแรงหรือผู้ต้องหาร้องขอ 4.กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนในการส่งสำนวนขึ้นสู่ศาล

    5.กำหนดให้ผู้เสียหายสามารถแจ้งความที่สถานีตำรวจใดก็ได้ จากเดิมต้องเป็นสถานีตำรวจในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังสามารถแจ้งความทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมลล์) ได้ด้วย

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อว่าในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีกฎหมายที่ผ่านครม.ส่งไปสนช.กว่า 50 ฉบับ ซึ่งการพิจารณาจะเรียงลำดับตามความเหมาะสมเร่งด่วน โดยวันนี้มีร่างกฎหมายที่น่าสนใจอื่นๆ ที่ผ่านความเห็นชอบ จาก ครม. อาทิ ร่างพระราชบัญญัติระยะเวลาในการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. …., การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ร่าง พระราชบัญญัติ รวม 11 ฉบับ), ร่างพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (เพิ่มเติมบุคคลที่ได้รับการยกเว้น ค่าธรรมเนียมและภาษีประจำปีสำหรับรถ), ร่างพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นต้น

    เคาะ “191” เบอร์ฉุกเฉินเบอร์เดียว

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว คือ “191” โดยจะค่อยๆ ลดเลขหมายสายด่วน เลขหมายฉุกเฉินอื่นๆ และรวมเป็นเลขหมายเดียวภายในปี 2562 – 2565 (ในระยะเวลา 5 ปี)

    “หลังจาก ครม.ให้การเห็นชอบหลักการดังกล่าว เลขหมาย 191 ก็ยังเป็นเลขหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสามารถใช้ได้ตามปกติ” นายพุทธิพงษ์ กล่าว

    ทั้งนี้ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เตรียมการเรื่องของบประมาณ และการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวที่จะกระจายไปทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศโดยขอจัดสรรงบประมาณไปยังสำนักงบประมาณส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งได้เห็นชอบให้ใช้งบประมาณในกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ทั้งนี้ ครม.ได้มอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาเรื่องงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการทั้งหมด

    “วิษณุ” แจงสถานะ/ข้อพึงระวัง ครม. ช่วงเลือกตั้ง

    นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงที่ประชุม ครม. ถึงสถานภาพของ ครม. และข้อพึงระวังในระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ว่า ครม.ชุดนี้ ยังคงมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยสามารถปฏิบัติหน้าที่และดำเนินการรต่างๆ ได้ตามปกติ เช่น การโยกย้ายข้าราชการ การอนุมัติโครงการที่มีผลผูกพัน เป็นต้น

    ส่วนแนวทางการปฏิบัติตนนั้น ต้องวางตัวเป็นกลาง แต่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ เพียงแต่การปฏิบัติหน้าที่ต้องไม่ดำเนินการใดๆ ที่มีความลำเอียง หรือสนับสนุนผู้สมัครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นคุณหรือโทษต่อผู้สมัคร เช่น ไม่ปราศรัยหาเสียง, ไม่ให้สัมภาษณ์เพื่อให้เลือกหรือไม่เลือกใคร, ไม่จัดมหรสพหรือจัดเลี้ยงให้ผู้ใด, ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ข่มขู่คุกคามให้เข้าใจผิดต่อคะแนนนิยมของผู้ใด เป็นต้น

    มท-คค-สตช รายงานโครงการเกินพันล้านปี’63 – วงเงินรวม 8.6 หมื่นล้าน

    มีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 รายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

    โดยกระทรวงมหาดไทยมีทั้งสิ้น 10 โครงการ วงเงินรวม 22,917 ล้านบาท ดังนี้

    • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย : การจัดหาเฮลิคอปเตอร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสาธารณภัย (ระยะที่ 2) วงเงินทั้งสิ้น 1,862 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 428 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสนบจากอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลอดลาดพร้าวถึงบริเวณซอยลาดพร้าว 130 และโครงการจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานฯ วงเงินทั้งสิ้น 1,751 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 347 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองทวีวัฒนาบริเวณคอขวดและจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานฯ วงเงินทั้งสิ้น 2,274 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 454 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก คลองบางจากไผ่จากบริเวณคลองพระยาชราชมนตรีถึงบริเวณสุดเขตกรุงเทพฯ วงเงินทั้งสิ้น 1,083 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 216 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบจากบริเวณประตูระบายน้ำมีนบุรีถึงบริเวณประตูระบายน้ำหนองจอก วงเงินทั้งสิ้น 1,799 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 359 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างเขื่อนคนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมทางเดินคลองภาษีเจริญจากบริเวณถนนราชพฤกษ์ถึงบริเวณสุดเขตกรุงเทพฯ วงเงินรวม 1,970 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 394 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายช่วงที่ 2 ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา รวมทางขึ้น-ลง วงเงินรวม 1,350 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 230 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างสะพานข้มแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายช่วงที่ 4 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนครจากแยกสะพานแดงถึงถนนกำแพงเพชร วงเงินรวม 1,100 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 260 ล้านบาท
    • กทม. : โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 5 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนครจากถนนกำแพงเพชรถึงถนนพหลโยธิน วงเงินรวม 1,025 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2563 ใช้เงิน 210 ล้านบาท
    • สำนักงานปลัดกระทรวงฯ : โครงการสร้างการรับรู้สู่ชุมชนของกระทรวงฯ วงเงินรวม 8,701 ล้านบาท

    กระทรวงคมนาคม รวม 31 โครงการ ระยะเวงาดำเนิการ ปี 2563-2565 วงเงินรวมทั้งสิ้น 57,597 ล้านบาท โดยมีวงเงินที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2563 จำนวน 11,519 ล้านบาท แบ่งเป็น

    • สำนักงานปลัดกระทรวงฯ : จำนวน 1 โครงการ วงเงินรวม 3,710 ล้านบาท (ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 741 ล้านบาท ปีะงบประมาณ 2564 จำนวน 1,484 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2565 จำนวน 1,484 ล้านบาท)
    • กรมท่าอากาศยาน : จำนวน 1 โครงการ วงเงินรวม 1,387 ล้านบาท (ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 277 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2564 จำนวน 554 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2565 จำนวน 554 ล้านบาท)
    • กรมทางหลวง : จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 52,500 ล้านบาท (ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 10,500 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2564 จำนวน 21,000 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2565 จำนวน 21,000 ล้านบาท)

    สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิทัลระยะที่ 3 วงเงินรวมทั้งสิ้น 5,514 ล้านบาท โดยมีวงเงินที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายฯ ปี 2563 จำนวน 1,102 ล้านบาท และเป็นภาระผูกพันงบประมาณ ปี 2564 – 2565 อีกจำนวน 4,411 ล้านบาท

    เห็นชอบ ร่างกฎหมายกำจัดซากอิเล็กทรอนิกส์

    นายณัฐพร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติในหลักการ ร่าง พ.ร.บ.การจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ….โดยกฎหมายดังกล่าวจุดประสงค์หลักคือเรื่องสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้แบตเตอรี่จำนวนมาก หากไม่มีการจัดการก็จะเป็นปัญหากับสิ่งแวดล้อมต่อไป

    โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญ กำหนดให้ผู้ผลิตต้องจัดตั้งศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์ หรือให้ผู้จัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือผู้ใดดำเนินการแทนภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ผลิต หรือผู้ผลิตสามารถทำความตกลงกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ในการดำเนินการจัดตั้งศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์

    นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการการรับคืน จัดเก็บ การรวบ การเก็บรักษา และการขนส่งซากผลิตภัณฑ์ให้ใช้บังคับการดำเนินการของบุคคลหรือหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ขณะเดียวกันยังเพิ่มให้ผู้ผลิตไม่สามารถปฏิเสธการดำเนินการหรือกำหนดหลักเกณฑ์ใดที่เป็นการสร้างภาระกับผู้นำซากผลิตภัณฑ์มาส่งคืน หรือโยนภาระให้กับผู้บริโภคได้

    รวมถึงยังกำหนดให้ผู้ดำเนินการรับคืน จัดเก็บและรวบรวมซากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ที่ในวันที่กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับให้ดำเนินการได้ต่อไป แต่จะต้องขอจัดตั้งเป็นศูนย์รับคืนซากผลิตภัณฑ์ภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่อธิบดีประกาศหลักเกณฑ์ และวิธีการกำหนด

    เห็นชอบของขวัญปีใหม่ เพิ่ม 4 หน่วยงาน

    มีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ “ของขวัญปีใหม่” จาก 4 หน่วยงานเพิ่มเติม อาทิ กระทรวงคมนาคม จัดบริการรถตู้รับ-ส่งฟรีแก่ผู้โดยสารที่จองตั๋วล่วงหน้าของ บขส. (999),ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริการที่จอดรถฟรีบริเวณลานจอดรถระยะยาวโซน C รองรับได้กว่า 700 คัน และจัดเตรียมรถ Shuttle Bus ให้บริการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังอาคารต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว โดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง, กระทรวงอุตสาหกรรม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปทั่วไทย เป็นต้น

    อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2561 เพิ่มเติม