ThaiPublica > คนในข่าว > นอยนอย อากีโน: ผู้นำคนสำคัญที่สุดแห่งอาเซียน

นอยนอย อากีโน: ผู้นำคนสำคัญที่สุดแห่งอาเซียน

17 พฤศจิกายน 2015


โดย คาริม รัสลาน

ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์นั้นไม่มีระบบกษัตริย์หรือเหล่าราชนิกุล แต่กลับเต็มไปด้วยตระกูลเก่าแก่จำนวนนับไม่ถ้วนที่มักจะมีปัญหาขัดแย้งกันเอง

แต่นอกเหนือจากเหล่าตระกูลออสเมนา ตระกูลโคฮวางโก และตระกูลโรซาสแล้ว ยังมีอีกหนึ่งชื่อสำคัญที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ นั่นคือ “ตระกูลอากีโน” ตระกูลที่มักจะถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่ พวกเขาคนหนึ่งถูกลอบสังหาร สองคนได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ได้รับการสรรเสริญยิ่งกว่านางออง ซาน ซูจี ของประเทศเมียนมาเสียอีก

ฟิลิปปินส์ถูกทำลายอย่างย่อยยับในสมัยของนายเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้สิ้นสุดอำนาจการปกครองอันเลวร้ายลงในปีคริสต์ศักราช 1986 ทิ้งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ไว้ในกองหนี้สินและความบอบช้ำจากบาดแผลทางการเมือง

มันกลายเป็นเรื่องน่าตลกที่คนเอาไปพูดกันว่า ท่ามกลาง “ยุครุ่งเรืองของเอเชีย” ฟิลิปปินส์กลับเป็นประเทศที่สิ้นหวังอยู่ในความยากจนและการทุจริต

นายเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (“นอยนอย”)
นายเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (“นอยนอย”)

แต่มาตอนนี้ ราว 29 ปีหลังจากที่นายมาร์กอสหลบหนีไปยังฮาวาย นายเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (“นอยนอย”) บุตรชายของนายเบนิกโน อากีโน จูเนียร์ (“นินอย”) ผู้ถูกลอบสังหาร ได้ทำสำเร็จในสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เขาได้ทำให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดในอาเซียน

จากข้อมูลของธนาคารโลก ในปี 2011–2014 (4 ปีแรกในการดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีของนอยนอย จากระยะเวลาเต็ม 6 ปี) เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์เติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.95 ถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันที่ประเทศมาเลเซียมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ร้อยละ 5.38 เวียดนามและอินโดนีเซียร้อยละ 5.7 และสิงคโปร์ร้อยละ 4.2 ก็จะเริ่มเข้าใจถึงขนาดความสำเร็จของนอยนอย

แต่ถึงอย่างนั้น ประเทศฟิลิปปินส์ก็ยังต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อตามประเทศอื่นให้ทัน

ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2014 ประเทศฟิลิปปินส์พุ่งทะยานจากลำดับที่ 134 ไปอยู่ลำดับที่ 85 ในผลการจัดอันดับดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ด้านการคอร์รัปชันโดย TMI (เลื่อนสูงขึ้น 49 ลำดับ) เทียบกับมาเลเซียที่เลื่อนจากลำดับที่ 56 ไปยังลำดับที่ 50 (เลื่อนขึ้นเพียง 6 ลำดับ) อินโดนีเซียได้เลื่อนจากที่ 110 เป็น 107 (แค่ 3 ลำดับ) และเวียดนามเลื่อนลง 3 ลำดับจาก 116 ไปอยู่ลำดับที่ 119

ในปี 2014 อุตสาหกรรมการให้บริการธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT-BPO สร้างรายได้ถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเกิดการจ้างงานชาวฟิลิปปินส์มากถึง 1.3 ล้านตำแหน่งในปี 2016

มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของนอยนอยเมื่อครั้งที่ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งแรกในปี 2010 พวกเขาคิดว่านอยนอยดูอ่อนแอ ไม่มีประสบการณ์ และไร้จุดยืน แต่ทุกอย่างได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาคิดผิด

ไม่นานมานี้ผมได้รับเกียรติให้เข้าสัมภาษณ์ท่านประธานาธิบดีที่พระราชวังมาลากานัง วังอันงดงามดั่งอัญมณีและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ในกรุงมะนิลา

เพียงสองสัปดาห์ก่อนจะถึงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่จะมีขึ้นในเดือนนี้ (16-18 พ.ย.) ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และเพียง 6 เดือนก่อนที่ชาวฟิลิปปินส์จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ดำรงตำแหน่งคนต่อไป ท่านประธานาธิบดียังคงมองทุกสิ่งในเชิงบวก

มีนัยสำคัญที่ปีนี้การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การสร้างเศรษฐกิจที่เท่าเทียม การสร้างโลกที่ดีขึ้น”

เป็นไปได้ว่าอากีโนมีคำตอบอยู่แล้วในใจเมื่อผมถามท่านเกี่ยวกับความลับในการสร้างความสำเร็จให้กับประเทศฟิลิปปินส์:

“[แก่นความสำเร็จของเรา] มาจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่าทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของประเทศนี้ คือ ประชาชนของเรา”

นอยนอยจัดการให้หน่วยงานด้านการศึกษาได้พูดคุยกับกลุ่มอุตสาหกรรมว่าฝีมือแรงงานด้านใดที่เป็นที่ต้องการของตลาด รัฐบาลของท่านได้ริเริ่มโครงการแจกเงินช่วยเหลือภายใต้ข้อกำหนด ซึ่งให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวยากจนในการส่งเด็กๆ ให้ได้เรียนหนังสือ และภายใต้การนำของท่าน กรมอนามัยได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นถึง 300%

ความสำเร็จของท่านมิได้มีเพียงแต่ในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น

นอยนอยได้รับการยกย่องจากการออกมาตรการจัดการการทุจริตคอร์รัปชันขั้นเด็ดขาด รวมถึงการจัดการให้อดีตประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย ผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าได้รับการดำเนินคดีข้อหาทุจริตการเลือกตั้งและข้อหาอื่นๆ อีกด้วย

ท่านยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดในการขึ้นมาบริหารประเทศ แต่ท่านก็ให้ความเห็นด้วยว่า “ข้าพเจ้าพอใจที่จะเชื่อว่าประชนส่วนใหญ่ของเรา… สนับสนุนอะไรๆ ก็ตามที่เรากำลังทำอยู่”

ในความจริงแล้วที่ท่านได้นำนโยบาย “Daang Matuwid” (คือ “the straight path (เส้นทางที่ถูกต้อง)” ซึ่งเป็นคำขวัญสำหรับผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชันของท่าน) มาเป็นพื้นฐานการทำงานในการดำรงตำแหน่งครั้งนี้

แล้วอะไรละที่เป็นแรงผลักดันให้ท่านนำหลักการ “Daang Matuwid” มาใช้?

ผมได้รับคำตอบนั้นเมื่อผมถามว่า สามารถดำรงตำแหน่งอย่างมั่นคงได้อย่างไร ได้รับตอบอย่างราบเรียบว่า

“ผมคิดว่าผมได้รับส่วนดีๆ มาจากคุณพ่อกับคุณแม่… คุณพ่อของผม… มีความคิดที่ว่าท่านไม่มีเวลามากพอที่จะทำทุกอย่างที่อยากทำได้… ท่านมักจะเป็นคนที่คอยสร้างความสมานฉันท์แต่มันชัดเจนอยู่แล้วว่าท่านคือผู้นำ… ในกรณีของคุณแม่ ท่านน่าจะชอบมุ่งประเด็นถึงหลักในการสร้างความปรองดองมากกว่า มันอาจใช้เวลามากกว่าอย่างมาก แต่ถึงตอนนั้นคุณก็จะได้พื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ”

“Daang Matuwid” ไม่เพียงแต่ยุติการคอร์รัปชันเท่านั้น หากแต่ยังเพิ่มความเชื่อมั่นของประเทศอีกด้วย

“[ในอดีต] ทุกคนเพิกเฉยกับรูรั่วเล็กๆ น้อยๆ จากนั้นรูเล็กๆ เหล่านั้นกลับขยายใหญ่ขึ้น… ใหญ่ขึ้น… จนกระทั่งทุกอย่างรั่วไหลไปหมด 100%… เราจะไม่เพิกเฉยกับสถานการณ์ที่ระบบเครือญาติกลายเป็นระบบอำนาจผูกขาดที่เพาะบ่มความไร้ประสิทธิภาพ เพราะในท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องทนอยู่กับมันเอง”

นายเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (“นอยนอย”)
นายเบนิกโน อากีโน ที่ 3 (“นอยนอย”)

ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของชาวฟิลิปปินส์เป็นเป้าหมายที่ท่านต้องทำให้สำเร็จ:

“ผมคิดว่าการฟื้นคืนความภาคภูมิใจของชาวฟิลิปปินส์ [ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม]… ทัศนคติของพวกเขา ความเข้าใจของพวกเขาต่อปัจจุบันและอนาคต มีผลต่อชีวิตพวกเราทุกคนในภายภาคหน้า”

แน่นอนว่าปัญหาต่างๆ ยังคงมีอยู่ รายจ่ายเพื่อโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศยังคงอยู่ที่ร้อยละ 4 ของ GDP การเกษตรยังคงเป็นเรื่องน่าผิดหวังภายใต้การบริหารของท่านเนื่องจากประเทศฟิลิปปินส์ยังคงต้องนำเข้าข้าวในปริมาณมหาศาล

ยิ่งไปกว่านั้น กรุงมะนิลาจัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของเมืองที่มีอัตราค่าไฟฟ้าแพงที่สุดจาก 14 เมืองหลักในเอเชีย-แปซิฟิก การจราจรยังคงเลวร้ายอย่างมาก และสนามบินนินอย อากีโน ก็พัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เช่นเดียวกัน เป้าหมายในการลดจำนวน “Balikbayan” (แรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์) ของนอยนอยกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ว่าจำนวนแรงงานข้ามชาติชาวฟิลิปปินส์ทั้งหมดในต่างประเทศจะลดลงเหลือ 9.5 ล้านคนจาก 10 ล้านคนในช่วงก่อนหน้าก็ตาม

มีการตั้งคำถามเหน็บแนมว่าหลักการ “Daang Matuwid” จะยังสามารถดำเนินการต่อไปได้หรือไม่ในวันที่นอยนอยไม่ได้นั่งดำรงตำแหน่งอีกต่อไป ท่านได้อธิบายว่า “ผมจะกล่าวว่าฝันร้ายของผมคือการที่ทุกสิ่งที่ได้ทำกันมา ถูกทำให้สูญสลายไปในอีก 6 ปีข้างหน้า”

ท่านยังมีแนวความคิดอีกหลายอย่างเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ

ในเขตทะเลจีนใต้ ท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่าความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นไม่กระทบกับการค้าขายและการท่องเที่ยว โดยบริษัทสัญชาติจีนได้ลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์มากถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 และในปีเดียวกันนั้นชาวฟิลิปปินส์มากกว่า 800,000 คนได้เดินทางไปยังประเทศจีนแผ่นดินใหญ่

ถึงอย่างไรก็ตาม ศาลอนุญาโตตุลาการประจำกรุงเฮกได้ตัดสินว่า ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคำร้องของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ในการชี้ขาดข้อพิพาทกับสาธารณรัฐประชาชนจีน นอยนอยเน้นย้ำว่า “การกระทำของเรามิได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความตึงเครียดให้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เราจะไม่นึกถึงว่าตนเองมีศักยภาพจะไปขัดแย้งกับใครๆ ก็ได้ตามอำเภอใจ”

นอยนอยกล่าวต้อนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC):

“ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมระบบเศรษฐกิจแต่กลับคาดหวังให้มันเติบโต เราไม่สามารถมีสิ่งไร้ประสิทธิภาพไว้ในประเทศและยังคาดหวังว่าจะแข่งขันในระดับโลกได้ เรามองตัวเองอย่างผู้มีสิทธิ์มีเสียง และจะเป็นเสียงที่มีความสำคัญยิ่งขึ้นในเวทีโลกเพราะการปรากฏตัวของเราในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนประชากรมากที่สุดของโลก”

นอยนอย-2

ประโยคสุดท้ายของท่านยังคงก้องอยู่ในใจของผม

แม้จะยังไม่มีความแน่นอนว่าหลักการ “Daang Mutawid” จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ นอยนอยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ก็กำลังย้ำเตือนกลุ่มสมาชิกอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

แตกต่างจากผู้นำจากราชวงศ์ทั่วๆ ไป นอยนอยเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการจำกัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น มากกว่าที่จะใช้เวลาในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง

ในขณะที่หลายๆ คนยังมองว่า “การขาดคุณสมบัติในการโน้มน้าวจิตใจประชาชน (Charisma Deficit)” ของท่านเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่ผมกลับมั่นใจว่าท่านคือหนึ่งในผู้นำที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสมัยนี้ และยังนับเป็นอีกหนึ่งในสมาชิกจากตระกูลอากีโนที่ทุ่มเทให้กับการรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง

หลังจากผ่านหลายทศวรรษของการถูกเหยียดหยัน ประเทศฟิลิปปินส์ได้กลับกลายเป็นผู้เล่นที่เอาจริงเอาจังอย่างมากประเทศหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก