ASEAN Roundup ประจำวันที่ 15-21 กันยายน 2562
- มาเลเซียเปิด fast-track ดึงต่างชาติลงทุน
- เวียดนามขึ้นแท่นผู้นำประเทศน่าลงทุนในอาเซียน
- เมียนมาตั้งเป้าจีดีพีโต 7% ปีงบประมาณ’63
- เมียนมาปรับเกณฑ์ใหม่คุมผู้นำเข้าส่งออก
- ฟิลิปปินส์เงินร้อนไหลออก
มาเลเซียเปิด fast-track ดึงต่างชาติลงทุน
มาเลเซียได้ตั้ง คณะทำงานเพื่อให้บริการเร่งด่วนรองรับการลงทุนจากต่างชาติ เพื่อแข่งขันแย่งชิงเม็ดเงินจากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยในเดือนนี้ได้อนุมัติโครงการไปแล้วรวมมูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้บริษัทสหรัฐและจีนที่กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อเลี่ยงผลกระทบสงครามการค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดกันว่าจะส่งผลให้เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด
คณะทำงานใหม่ของมาเลเซีย ชื่อ คณะกรรมการการลงทุนแห่งชาติ 1(National Committee on Investment I-NCII) มีเป้าหมายที่จะดึงการลงทุนเข้าประเทศและได้อนุมัติโครงการลงทุนไปแล้วรวม 2.2 พันล้านริงกิตหรือ 722.9 ล้านดอลลาร์
นาย อ่อง เกียน มิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ กล่าวว่า หากเป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติเมื่อ 3 เดือนก่อนก็จะใช้เวลาเพียง 1 เดือนในการจัดทำเอกสารจนคณะกรรมการอนุมัติเรียบร้อย ซึ่งจะช่วยดึงการลงทุนที่จะย้ายฐานจากสงครามการค้า
คณะกรรมการ NCII มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ เป็นประธานและมีอำนาจในการอนุมัติสิทธิประโยชน์ได้เบ็ดเสร็จและทันที
การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเข้ามาเลเซียในครึ่งแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 50 พันล้านริงกิต โดยที่มากกว่าครึ่งเป็นภาคการผลิต ซึ่งนาย อ่อง เกียน มิง หวังว่าจะเพิ่มมากขึ้นในครึ่งหลังของปี
ประเทศที่ลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งในมาเลเซียคือ สหรัฐฯในจำนวน 5.62 พันล้านดอลลาร์ โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง อินเทล คอร์ป, เดลล์ เทคโนโลยี่ส์ อิงค์ และ ออน เซมิคอนดักเตอร์ คอร์ป ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิคส์
นาย อ่อง เกียน มิงกล่าวว่า การยื่นขอลงทุนจากจีนก็เพิ่มขึ้นมากใน 2-3 เดือนที่ผ่านมาและคาดว่าการลงทุนโดยตรงจากจีนจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังจากที่ลดลงไปอยู่ที่ 5.1 พันล้านริงกิตใน 6 เดือนแรก
เวียดนามขึ้นแท่นผู้นำประเทศน่าลงทุนในอาเซียน
เวียดนามได้รับการจัดอันดับให้เป็น ประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในปีนี้ นำหน้าประเทศอื่นๆในอาเซียน ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์และอินโดนีเซีย
รายงานของ US News and World Report ซึ่งเป็นสื่อจากสหรัฐฯ จัดให้เวียดนามอยู่อันดับที่ 8 จาก 29 เขตเศรษฐกิจของประเทศที่น่าลงทุน เพิ่มขึ้นจากอันดับ 23 ในปีก่อน ส่วนมาเลเซียอยู่อันดับ 13 สิงคโปร์อันดับ 14 และ อินโดนีเซียอันดับ 18
รายงานระบุว่านโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจ Doi Moi หรือ โด่ย-เหม่ย ที่เริ่มขึ้นในปี 1986 ส่งผลให้เวียดนามเปลี่ยนผ่านเป็นประเทศที่ทันสมัย มีความสามารถในการแข่งขัน ประกอบกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก(WTO) ในปี 2007 และมีความตกลงการเปิดเสรีการค้า (Free Trade Agreement: FTA) โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: CPTPP) อีกทั้งยังเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ สมาชิกอาเซียนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC)
การจัดอันดับครั้งนี้ได้จากผลสำรวจจากนักธุรกิจจำนวนราว 7,000 คนใน 8 ด้านที่มีน้ำหนักเท่าๆกันคือ การมีพลวัตร เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีโอกาสทางธุรกิจ มีโครงสร้างภาษีที่จูงใจ มีนวัตกรรม มีแรงงานทักษะ และมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
นับตั้งตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวียดนามมีมูลค่า 22.53 พันล้านดอลลาร์ และ ณ สิ้นเดือนสิงหาคมมีโครงการลงทุนต่างชาติมากกว่า 29,530 โครงการ รวมมูลค่าลงทุน 353.7 พันล้านดอลลาร์
เมียนมาตั้งเป้าจีดีพีโต 7% ปีงบประมาณ’63
รัฐสภาเมียนมาให้ความเห็นชอบพระราชบัญญัติแผนงานประจำปีงบประมาณ 2562-2563 โดยปีงบประมาณจะเริ่มขึ้นวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563
งบประมาณประจำปี 2562-2563 ตั้งเป้าการขยายตัวของจีดีพีไว้ที่ 7% มีมูลค่ารวม 95.4 พันล้านจั๊ด จาก 6.8% ในปีงบประมาณก่อน
โดยปัจจัยหลักมาจากภาคการเงิน ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 11.3% และภาคอุตสาหกรรมที่จะเติบโต 9.9% ส่วนภาคบริการ ภาคเทเลคอม ก่อสร้าง ป่าไม้ พลังงานไฟฟ้ารวมแล้วจะขยายตัว 7% ส่วนภาคการค้าจะเติบโต 13% แต่ภาคเกษตรและปศุสัตว์ พลังงานและเหมืองแร่ จะชะลอตัว
รัฐบาลคาดว่าภาคเอกชนจะมีการลงทุนมากถึง 70% ของการลงทุนโดยรวม ขณะเดียวกันประมาณการณ์การขาดดุลการค้าไว้ที่ 2 พันล้านดอลลาร์ เพราะการนำเข้าจะสูงกว่าการส่งออกโดยมีมูลค่ารวม 17.5 พันล้านดอลลาร์
รายได้ต่อหัวของประชากรคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 12% เป็น 2.2 ล้านจั๊ด
ประธานาธิบดี อู วิน มินต์ กล่าวว่า แผนงานประจำปีงบประมาณนี้จะเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียนมาและครอบคลุมโครงการที่มีผลต่อประชาชนโดยเร็ว นอกจากนี้ธุรกิจรายย่อย รายเล็ก รายกลางจะได้รับประโยชน์จากแผนพัฒนา เพราะเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เปิดทางให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนมากกว่าเดิม ลดข้อจำกัดการลงทุนและส่งเสริมความร่วมมือการลงทุนของภาคเอกชน
รัฐบาลยังมีแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าให้มากขึ้นและป้องกันไฟขัดข้อง การพัฒนาเครือข่ายคมนาคมขนส่งและยกระดับถนนในต่างจังหวัดเพื่อส่งเสนิมการท่องเที่ยว การขนส่งสินค้า ตลอดจนการพัฒนาภาคเกษตร โรงแรมและการท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้จีดีพีขยายตัวตามเป้า 7%
ปรับเกณฑ์ใหม่คุมผู้นำเข้าส่งออก
กรมการค้า กระทรวงก่อสร้างเมียนมาได้ออกประกาศ หลักเกณฑ์การค้าฉบับใหม่ครอบคลุมสินค้า 6 รายการ ห้ามไม่ให้ผู้นำเข้าทำการค้าใน สินค้า 6 ประเภทดังต่อไปนี้ ปุ๋ย เมล็ดพันธ์ ยาฆ่าแมลง อุปกรณ์การแพทย์ วัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และเครื่องมืออุปกรณ์การเกษตร โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจค้าส่งหรือค้าปลีกด้วย
บริษัทต่างชาติหรือธุรกิจร่วมทุนระหว่างนักลงทุนต่างชาติและชาวเมียนมา ที่ทำการนำเข้าสินค้าทั้ง 6 รายการนี้ในการจดทะเบียนทำธุรกิจส่งออกและนำเข้ามีเวลา 90 วันไปนับตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม ที่จะยื่นขอจดทะเบียนธุรกิจ
แม้ระยะเวลาการจดทะเบียนธุรกิจได้สิ้นสุดแล้ว แต่ก็ยังอนุญาตให้ดำเนินการตามขั้นตอนการจดทะเบียนได้ โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และระเบียบที่กำหนด แต่ธุรกิจนำเขา้และส่งออกที่ไม่ได้จดทะเบียนค้าส่งและค้าปลีกด้วยจะไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายสินค้าทั้ง 6 ประเภทโดยที่มีใบอนุญาตนำเข้าส่งออกเพียงอย่างเดียว
ฟิลิปปินส์เงินร้อนไหลออก
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์เปิดเผยว่า ในรอบ 8 เดือนแรกของปีเงินร้อนหรือเงินเก็งกำไรได้ไหลออกจากฟิลิปปินส์เกือบ 1.1 พันล้านดอลลาร์
ช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม เงินไหลเข้าเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ของต่างชาติมีฐานะติดลบจากที่เป็นบวกสุทธิ 602 ล้านดอลลาร์ในระยะเดียวกันของปีก่อน
กระแสเงินไหลเข้ารอบ 8 เดือนเพิ่มขึ้น 9.5% เป็น 11.7 พันล้านดอลลาร์ แต่ไหลออกมีจำนวน 12.8 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 27%
ธนาคารกลางระบุว่า เงินไหลออกเพราะเศรษฐกิจไตรมาสองเติบโตต่ำกว่าเป้า เฉพาะเดือนสิงหาคมเงินไหลออกมีจำนวน 391.7 ล้านดอลลาร์ จากที่ไหลเข้า 225.9 ล้านดอลลาร์ในเดือนเดียวกันของปีก่อน
ในเดือนสิงหาคม 75.7% ของเงินไหลเข้าเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ได้เข้าไปซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนอีก 24.3% ไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาล
สำหรับนักลงทุน 5 อันดับแรกได้แก่ อังกฤษ สิงคโปร์ มาเลเซีย และฮ่องกง