ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามวางแผนพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมกว่า 9 พัน กม. ทั่วประเทศ

ASEAN Roundup เวียดนามวางแผนพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมกว่า 9 พัน กม. ทั่วประเทศ

19 กันยายน 2021


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 12-18 กันยายน 2564

  • เวียดนามวางแผนพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมทั่วประเทศ
  • ราคาอพาร์ตเมนต์ในโฮจิมินห์-ฮานอยขยับขึ้น
  • สิงคโปร์ผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับนักเดินทางต่างชาติ
  • อินโดนีเซียเปิดให้นักท่องเที่ยวที่มีวีซ่าอยู่แล้วเข้าประเทศ
  • กฎหมายการลงทุนต่างประเทศฟิลิปปินส์ผ่านวุฒิสภา
  • เวียดนามวางแผนพัฒนาโครงข่ายถนนเชื่อมทั่วประเทศ

    ที่มาภาพ: http://hanoitimes.vn/foreign-businesses-raise-concerns-over-risks-in-ppp-in-vietnam-46672.html
    เมื่อวันที่ 15 กันยายน กระทรวงคมนาคมเวียดนามได้จัดให้มีการบรรยายเปิดตัว แผนพัฒนาถนนแห่งชาติปี 2564-2573 ซึ่งได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน โดยแผนนี้วางวิสัยทัศน์ไว้ถึงปี 2593 เพื่อเร่งการพัฒนาระบบขนส่ง

    แผนพัฒนาโครงข่ายถนนนี้นับเป็นแผนแรกสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะที่ได้รับอนุมัติภายใต้กฎหมายว่าด้วยการวางแผน และเป็นหนึ่งในห้าแผนงานสำหรับภาคการขนส่ง ร่วมกับการวางแผนสำหรับทางน้ำ การบิน ท่าเรือ และทางรถไฟ

    ภายใต้แผนนี้ เวียดนามเป้าหมายที่จะพัฒนาทางด่วนมากกว่า 9,000 กิโลเมตร ภายในปี 2593 ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณ 5,000 กิโลเมตร ภายในปี 2573 เพิ่มขึ้นจาก 3,841 กิโลเมตร ในปี 2564

    เล ดินห์ เทอ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนจากการหารือกับ 63 ท้องที่ กระทรวงและหน่วยงานระดับรัฐมนตรี 16 แห่ง และองค์กรต่างๆ ตลอดจนรับฟังความเห็นของสภาประเมินราคาและรัฐบาล

    ภายใต้แผน จะมีการจัดตั้งโครงข่ายทางหลวงเพื่อเชื่อมต่อศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเมือง เขตเศรษฐกิจที่สำคัญ ท่าเรือ สนามบิน และด่านชายแดนระหว่างประเทศ

    ทางหลวงสายหนึ่งในฮานอยและนครโฮจิมินห์จะถูกปรับความยาวและขนาดด้วยการยกระดับบางส่วนตามความจำเป็นของการพัฒนาเมือง และคาดว่าโครงข่ายถนนนี้จะรองรับ 62% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมดและ 90% ของการขนส่งผู้โดยสารภายในปี 2573

    นอกจากนี้ ตามแนวแกนเหนือ-ใต้ มีส่วนที่ขยายไปทางตะวันออกของทางด่วนเหนือ-ใต้ วิ่งจากหลั่งเซิน ไปยังเมืองกาเมา (2,063 กม.) และส่วนต่อทางตะวันตกของทางด่วนเหนือ-ใต้ (1,205 กม.) ส่วนทางเหนือจะมีทางด่วน 14 เส้น ระยะทางรวมประมาณ 2,305 กิโลเมตร ในภูมิภาคที่ราบสูงตอนกลางและตอนกลาง จะมีทางด่วน 10 สาย มีความยาวรวม 1,431 กิโลเมตร ส่วนภาคใต้จะมีทางด่วน 10 สาย ระยะทางรวม 1,290 กิโลเมตร

    กรุงฮานอยจะมีทางหลวงสายหลัก 3 เส้น มีความยาวรวม 425 กิโลเมตร และอีก 2 เส้นทางในนครโฮจิมินห์ มีความยาวรวม 295 กิโลเมตร

    ส่วนทางหลวงแผ่นดินจะมีทั้งหมด 172 เส้นทาง รวมระยะทาง 29,795 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจาก 5,474 กิโลเมตร ในปี 2564 อีกทั้งจะพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งผ่าน 28 เมืองและจังหวัดด้วยความยาวรวม 3,034 กิโลเมตร

    เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการลงทุนมีความยืดหยุ่นและเปิดกว้าง แผนนี้เปิดให้สามารถปรับกระบวนการลงทุนของโครงการถนนได้ หากเมืองและจังหวัดเห็นว่าจำเป็นต้องลงทุนอย่างรวดเร็ว และสามารถจัดการกับการลงทุนได้ หรือเมื่อเมืองและจังหวัดต้องการขยายทางหลวงและถนนของประเทศ

    ที่สำคัญแผนพัฒนาถนนนี้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มโครงการทางด่วนที่มีขีดความสามารถในการคมนาคมขนส่งที่ดีเยี่ยมให้กับการลงทุนที่มีอยู่ในปี 2564-2573 เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางด่วนระดับภูมิภาคและทำให้เป็นเส้นทางหลักของระบบถนนของประเทศ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายตะวันออกของทางด่วนเหนือ-ใต้ ทางด่วนบางเส้นทางในภูมิภาคที่ราบสูงตอนกลางและตอนใต้ ตลอดจน พื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือ เช่นเดียวกับเส้นทางภายในเมือง ในฮานอยและโฮจิมินห์ซิตี้

    แผนนี้ยังมุ่งที่จะพัฒนาระบบถนนของประเทศอย่างครอบคลุมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การปกป้องสิ่งแวดล้อม และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ราคาอพาร์ตเมนต์ในโฮจิมินห์-ฮานอยขยับขึ้น

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/industries/apartment-prices-rise-in-hcmc-hanoi-despite-falling-demand-4356763.html

    ราคาอพาร์ตเมนต์ในนครโฮจิมินห์และกรุงฮานอยได้ปรับตัวสูงขึ้น แม้ความต้องการลดลง โดยราคาอพาร์ตเมนต์ในโฮจิมินห์ซิตี้เดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนในกรุงฮานอยเพิ่มขึ้น 8% จากข้อมูลจากเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ยอดนิยม Batdongsan.com

    เว็บไซต์ระบุว่าการเซิร์ชหาอพาร์ตเมนต์ในโฮจิมินห์ลดลง 23% และลดลง 43% สำหรับการเซิร์ชหาอพาร์ตเมนต์ในกรุงฮานอย สะท้อนว่าความต้องการลดลง สาเหตุมาจากราคาที่เพิ่มขึ้น แม้อุปทานขาดแคลนก็ตาม

    ดินห์ มินห์ ถ่วน จาก Batdongsan.com ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ทางใต้ กล่าวว่า แม้การใช้มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมเพราะการระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เคยมีมากหันไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่ก็เชื่อว่าเป็นภาวะชั่วคราว เนื่องจากนักลงทุนยังคงถือครองอสังหาริมทรัพย์และกำลังรอที่จะกลับมาซื้อหลังการระบาดลดลง

    สำหรับนักลงทุนที่ไม่เข้าใจการลงทุนในหุ้นมากนัก ยังถือว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในระยะยาว และนักลงทุนจำนวนมากคาดหวังกับการฟื้นตัว ซึ่งหมายความว่าราคาไม่น่าจะลดลงในเวลาอันใกล้นี้

    จาง ฮหวิ่ญ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยอาวุโสของ Savills Vietnam กล่าวว่า 40% ของอพาร์ตเมนต์ในตลาดแรกราคาปรับตัวสูงขึ้น แม้มีการระบาดของโควิด เนื่องจากที่ดินมีจำกัด ราคาที่ดินสูงขึ้น ความล่าช้าในการขอรับใบอนุญาต และการขาดแคลนอุปทานเป็นสาเหตุของการเพิ่มขึ้น

    สิงคโปร์ผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับนักเดินทางต่างชาติ

    ที่มาภาพ: https://www.straitstimes.com/singapore/health/singapore-eases-border-restrictions-for-travellers-from-countries-such-as-poland
    สิงคโปร์ผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับนักเดินทางจากต่างประเทศ โดยอนุญาตให้ผู้โดยสารที่มีประวัติการเดินทางไปอินโดนีเซียภายใน 21 วันก่อนออกเดินทางมาสิงคโปร์ สามารถเปลี่ยนเครื่องในสิงคโปร์ได้อีกครั้ง หลังจากได้มีข้อห้ามตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2564

    กระทรวงสาธารณสุขประกาศเมื่อวันศุกร์ (17 ก.ย. 2564) ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในอินโดนีเซียดีขึ้น ผู้เดินทางเหล่านี้สามารถเดินทางมาต่อเครื่องในสิงคโปร์ได้ตั้งแต่เวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 กันยายน

    สำหรับผู้ที่เดินทางจากอินโดนีเซียเพื่อเข้าสิงคโปร์ กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ PCR เมื่อเดินทางมาถึง ก่อนหน้านี้สิงคโปร์ได้กำหนดให้ตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ด้วยนอกเหนือจากการทดสอบ PCR เมื่อมาถึง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เดินทางเข้าจากอินโดนีเซียจะยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดที่บังคับใช้สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สิงคโปร์ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งหมายความว่าจะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน (SHN) ในสถานที่ที่กำหนด และต้องรับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หลายครั้ง

    กระทรวสาธารณสุขยังระบุด้วยว่า จะเพิ่มชื่อโปแลนด์และซาอุดีอาระเบียเข้าไปในหมวด 2 ตั้งแต่เวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 กันยายน ซึ่งประเทศอื่นที่จัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา เยอรมนี นิวซีแลนด์ และสาธารณรัฐเกาหลี

    ผู้ที่เดินทางออกจากประเทศในหมวดนี้จะต้องทำการตรวจแบบ PCR ก่อนออกเดินทางภายใน 48 ชั่วโมงก่อนเวลาบิน และการตรวจแบบ PCR อีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึง โดยไม่ต้องกักตัวนาน 14 วัน แต่ต้องกักตัว 7 วันในสถานที่กำหนดหรือที่บ้าน และต้องตรวจหาเชื้อแบบ swab ในวันสุดท้ายของการกักตัว

    การปรับเกณฑ์สำหรับซาอุดีอาระเบียและโปแลนด์นั้น ประเมินจากการจัดประเภทความเสี่ยงของประเทศ ซึ่งมีด้วยกัน 4 ประเภท ประเทศที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำที่สุดในการติดเชื้อโควิด-19 จะถูกจัดกลุ่มในหมวดที่ 1

    ผู้เดินทางจากฮ่องกง มาเก๊า จีนแผ่นดินใหญ่ และไต้หวันจะต้องผ่านการตรวจแบบ PCR เมื่อเดินทางมาถึง และสามารถสัญจรได้อย่างอิสระหากผลตรวจเป็นลบ ส่วนประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดจัดอยู่ในหมวดที่ 4

    กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า สาธารณรัฐเช็ก บัลแกเรีย ฝรั่งเศส ลัตเวีย โปรตุเกส และสเปน จะถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อประเทศในหมวดที่ 3 ตั้งแต่เวลา 23.59 น. ของวันที่ 22 กันยายน ผู้เดินทางที่ได้รับฉีดวัคซีนครบถ้วนจากประเทศเหล่านี้ สามารถยื่นขอไม่กักตัวตามสถานที่ที่กำหนด แต่กักตัวที่บ้านแทน หรือที่พักอื่นที่เหมาะสม

    อย่างไรก็ตามการขอไม่กักตัวในสถานที่ที่กำหนด จะพิจารณาเฉพาะผู้เดินทางที่ได้รับวัคซีนครบและมีคุณสมบัติครบถ้วน เช่น พำนักอยู่ในประเทศที่มีรายชื่อในช่วง 21 วันก่อนเดินทางมาถึงสิงคโปร์ และพำนักอาศัยตามลำพัง

    สำหรับพลเมืองสิงคโปร์และผู้อยู่อาศัยถาวร จะต้องยื่นคำร้องล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทางมาถึงผ่านเว็บไซต์ SafeTravel

    ผู้เดินทางที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนยังคงต้องกักตัวในสถานที่ที่กำหนด 14 วัน

    ประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในหมวด ที่ 3 ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งผู้เดินทางจากประเทศในหมวดนี้จะต้องทำการตรวจหาเชื้อแบบ swab ทั้งหมด 6 ครั้ง

    “ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลง เราจะยังคงปรับมาตรการชายแดนของเราควบคู่ไปกับแผนงานของเราในการเป็นประเทศที่ปรับตัวจากโควิด-19” กระทรวงระบุ

    อินโดนีเซียเปิดให้นักท่องเที่ยวที่มีวีซ่าอยู่แล้วเข้าประเทศ

    ที่มาภาพ: https://coconuts.co/jakarta/news/visa-applications-open-and-existing-holders-may-enter-indonesia-as-travel-restrictions-eased/
    _
    อินโดนีเซียได้เปิดพรมแดนบางจุดสำหรับชาวต่างชาติหลังจากกระทรวงกฎหมายและสิทธิมนุษยชนออกกฎกระทรวงที่เปิดให้มีการยื่นคำร้องขอวีซ่านักท่องเที่ยวและวีซ่าแบบการพำนักระยะสั้น (limited stay visa) สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ

    “ก่อนหน้านี้ เฉพาะชาวต่างชาติที่มีวีซ่าทางการทูตและลงตรา (diplomatic and service visa) เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ การออกกฎกระทรวงฉบับที่ 34/2021 ในวันนี้ ผู้ที่มีวีซ่านักท่องเที่ยวและวีซ่าประเภทการพำนักระยะสั้นอยู่แล้วจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศอินโดนีเซียได้เช่นกัน” โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอาร์ยา ปรารถนา อังกาคารา กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี

    นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ตัดสินใจเปิดพรมแดนระหว่างประเทศที่ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โนฮัตตา ในเมืองตาเงอรัง จังหวัดบันเติน ท่าอากาศยานนานาชาติซัม ราตูลางี ในเมืองมานาโด จังหวัดสุลาเวสีเหนือ ท่าเรือในเมืองบาตัม หมู่เกาะรีเยา และนูนูกัน จังหวัดกาลิมันตันเหนือ ตลอดจนด่านข้ามแดนทางบกในพื้นที่อารุคและ เอนทิกง ในจังหวัดกาลิมันตันตะวันตก

    ท่าเรือและพรมแดนทางบกดังกล่าวได้เปิดให้บริการอีกครั้งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เมื่อวันพฤหัสบดี และสนามบินทั้งสองแห่งตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โฆษกของกระทรวงคมนาคมอาดิตา อิราวาตี กล่าวในการแถลงข่าวล่าสุด

    เมื่อวันศุกร์ รัฐมนตรีประสานงานด้านการเดินเรือและการลงทุนลูฮุต บินซาร์ ปันจาอิตัน กล่าวด้วยว่ารัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเปิดเกาะบาหลีรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้งในเดือนตุลาคม เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายวันในอินโดนีเซียลดลง

    “หากจำนวนผู้ป่วยยังคงลดลง เรามั่นใจที่จะเปิดบาหลีอีกครั้งในเดือนตุลาคม” ปันจาอิตัน กล่าวในงานแถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ และเสริมว่าอินโดนีเซียจะจัดลำดับความสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศที่ที่ควบคุมโควิด-19 ได้

    ผู้เดินทางที่ต้องการเข้าอินโดนีเซีย ทั้งชาวอินโดนีเซียและชาวต่างประเทศต้องได้รับวัคซีนครบถ้วน นอกจากจะแสดงใบรับรองการฉีดวัคซีนและผลการตรวจ PCR เป็นลบ จากการตรวจไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทาง เมื่อเดินทางมาถึง ผู้เดินทางต้องทำการตรวจหา PCR อีกครั้ง และต้องกักกันเป็นเวลา 8 วันหากมีผลเป็นลบ และจะต้องมีผลตรวจ PCR เป็นลบอีกครั้งในวันที่ 8

    ทั้งชาวอินโดนีเซียและชาวต่างชาติจะต้องกรอกข้อมูลในบัตรสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (electronic health alert card — E-HAC) ในแอปพลิเคชันติดตามตัว PeduliLindungi

    ชาวต่างชาติต้องแสดงหลักฐานการทำการประกันสุขภาพซึ่งคาดว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลรวมถึงโควิด-19 ขณะอยู่ในอินโดนีเซีย

    กฎหมายการลงทุนต่างประเทศฟิลิปปินส์ผ่านวุฒิสภา

    ที่มาภาพ: https://www.bworldonline.com/senate-approves-amendments-to-foreign-investments-law/

    วุฒิสภาฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 14 กันยายนได้ให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขกฎหมายการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่คาดว่าจะเปิดเศรษฐกิจให้กว้างขึ้น

    ร่างกฎหมาย (Senate Bill หรือ SB) ฉบับที่ 1156 ซึ่งแก้ไขพระราชบัญญัติการลงทุนต่างประเทศ (Foreign Investments Act — FIA) ของปี 2534 ได้รับการอนุมัติในการวาระ 3 และวาระ 4 ในเย็นวันอังคาร และได้รับการรับรองว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนโดยประธานาธิบดีโรดรีโก อาร์ ดูแตร์เต

    ภายใต้ร่างพระราชบัญญัตินี้ จำนวนการจ้างงานโดยตรงที่จำเป็นสำหรับบริษัทต่างประเทศจะลดลงเหลือ 15 คนจากปัจจุบัน 50 คน

    ร่างกฎหมายดังกล่าวจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติลงทุน 100% ในธุรกิจในระบบตลาดของประเทศ ยกเว้นในภาคที่อยู่ในรายการธุรกิจห้ามการลงทุนจากต่างประเทศ

    นักลงทุนต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้จัดตั้งและเป็นเจ้าของ 100% ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

    หลักเกณฑ์การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของฟิลิปปินส์ถูกมองว่าเข้มงวดกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการลงทุนมากกว่า

    ฟิลิปปินส์อยู่ในอันดับที่สามที่มีข้อจำกัดมากที่สุดจาก 83 ประเทศในดัชนี FDI Regulatory Restrictiveness Index ที่รวบรวมโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) โดยอิงจากข้อมูลปี 2563

    กลุ่มธุรกิจได้เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านมาตรการปฏิรูป 3 ข้อ ได้แก่ การแก้ไข FIA พระราชบัญญัติการเปิดเสรีการขายปลีก (Retail Trade Liberalization Act — RTLA) และพระราชบัญญัติบริการสาธารณะ (Public Service Act — PSA)

    สภาผู้แทนราษฎรผ่านทั้ง 3 ฉบับแม้วุฒิสภาจะยังไม่อนุมัติการแก้ไข PSA

    “ทั้งสามมาตรการจะผ่อนคลายข้อจำกัด FDI และอาจส่งผลให้เกิดการลงทุนใหม่หลายพันล้านในอนาคต สร้างงานมากขึ้น สร้างความหลากหลายในเศรษฐกิจ นำเทคโนโลยีใหม่ๆ และเพิ่มการแข่งขัน และให้บริการที่ดีขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์” กลุ่มธุรกิจในและต่างประเทศกล่าวในแถลงการณ์วันที่ 7 กันยายน