ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 23 -29 พฤศจิกายน 2557
- ประชาชนนึกสนุกเปลี่ยนฉากหลังท่านผู้นำ ประยุทธ์บอกทุเรศทุกฉาก!
- ออกแล้วร่างพ.ร.บ. หอพัก ห้ามนศ.ชาย-หญิง อยู่ร่วมกัน
- สั่นสะเทือนวงการตำรวจ – ฝากขัง 5 ออกหมายเพิ่มอีก 8
- แท็กซี่ตัดพ้อผู้โดยสารเห็นใจกันบ้าง – กรมการขนส่งฯ ระบุ Uber ผิดกฎหมายแน่นอน
- อย. ระบุไม่มีคลอโรฟิลล์ไม่มีสรรพคุณวิเศษ หลังปรากฏภาพแม่ป้อนทารกว่อน
ประชาชนนึกสนุกเปลี่ยนฉากหลังท่านผู้นำ ประยุทธ์บอกทุเรศทุกอัน!
เมื่อไม่นานมานี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเปิดหน้าเพจ “เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ” เพื่อร่วมออกแบบฉากหลังของรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ซึ่งมีผู้เข้ามาร่วมเปลี่ยนมากมาย ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่าเพจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ได้สั่งการให้ทีมงานที่จัดรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ซึ่งออกอากาศทุกวันศุกร์ทุกสัปดาห์ โดยมีวัตุประสงค์เพื่อเป็นช่องทางที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ และคสช. ได้พูดคุยชี้แจงแนวทางและนโยบายการทำงานของรัฐบาล ให้มีการปรับปรุงรายการ ด้วยการเปลี่ยนฉากหลังรายการคืนความสุข เพื่อให้ไม่น่าเบื่อ หลังเรตติ้งรัฐบาลและคสช.ตกต่ำลง นั้น ก็ปรากฎเพจ “เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ”
โดยมีการนำภาพพล.อ.ประยุทธ์ยิ้ม สวมเสื้อราชปะแตนสีน้ำตาลเข้ม ยืนอยู่ที่โพเดียม มาซ้อนกับภาพฉากหลังที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาทิ ฉากขั่วโลกเหนือ ฉากเวทีประกวดนางสาวไทย ฉากตัวการ์ตูนชื่อดังต่างๆ ฉากต้นไม้-ทุ่งหญ้า ฉากสนามกีฬา ฉากเทเลทับบี้ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ได้รับความสนใจของคนในโลกโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมากที่เข้าไปกดไลค์ ทั้งยังมีการ ระบุ ให้ประชาชนช่วยจับตาว่า ฉากหลังรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ที่จะประเดิมออกอากาศในวันที่ 28 พ.ย. จะเปลี่ยนเป็นฉากอะไรด้วย หลังจาก “บิ๊กตู่” ไฟเขียวให้ทีมงานได้เปลี่ยนฉากบ้าง เพื่อต้องการกระตุ้นเรตติ้งที่ตกต่ำลง
อย่างไรก็ตาม เพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ “เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ” เปิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2557 ล่าสุดมียอดไลค์จำนวนเกือบ 30,000 ไลค์ และเริ่มมีผู้คนบนโลกออนไลน์เริ่มเข้ามาช่วยกันสร้างกระแส “มีมบิ๊กตู่”
ล่าสุดพล.อ. ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเยือน สปป.ลาว และเวียดนาม กับไทยรัฐออนไลน์ ถึงกรณีที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้ทำการบล็อกเว็บไซต์ของฮิวแมนไรท์วอตช์ประจำประเทศไทยว่า เขามีมาตรการ กติกาของเขาอยู่ เป็นเรื่องของไอซีที เป็นเรื่องของความมั่นคงที่ตนไปมอบมาแล้วว่าเขาต้องทำอะไรให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีผ่านสื่อออนไลน์ และเฟซบุ๊ก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า อ้าวแล้วไง อีกคนก็ถามว่าปิดเว็บจะทำยังไง แต่นี่ก็ถามว่าถ้าโพสต์เฟซบุ๊กจะทำยังไง ถ้าไม่ปิดจะต้องยังไง จะให้แช่งหรืออย่างไร ตนไปต่างประเทศ เขาชื่นชมตนทุกคน เขาเห็นว่าตนพูดแสดงทัศนะว่าจะเดินหน้าประเทศยังไง เพราะเขาไม่ได้มาสนใจคนที่ขี้โกหกมากนักหรอก
“มีแต่พวกเรานี่แหละไปเขียนโกรธเคือง ใครจะเขียนอะไรก็ได้ เนี่ยๆ ที่เขียนอยู่เนี่ย เขียนดีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย นายกฯ กลับมาอารมณ์เสีย ก็เขียนกันอยู่แค่นี้ วันหน้าไม่ต้องมาถามผม ผมเขียนให้ก็ได้แล้วมารับเอาออกไปพิมพ์เหมือนกันหมดแหละ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงเพจ “เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่น (ท่าน) ผู้นำ” ทางเฟซบุ๊ก ว่า “เห็นอยู่แล้ว ทุเรศทุกฉาก”
ออกแล้วร่างพ.ร.บ. หอพัก ห้ามนศ.ชาย-หญิง อยู่ร่วมกัน
เมื่อ 26 พ.ย. เว็บไซต์รัฐบาลไทย ได้เผยแพร่ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องหนึ่งที่มีการเห็นชอบในการประชุมครั้งนี้ คือ “พ.ร.บ.หอพัก” กำหนดให้หอพักชายและหอพักหญิงแยกกันเป็นสัดส่วน ไม่ปะปนกัน จะใช้กฎระเบียบนี้กับผู้ที่กำลังศึกษาไม่เกินระดับปริญญาตรี หรือ อายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์
สำหรับรายละเอียดและสาระสำคัญของ “พ.ร.บ.หอพัก” มีดังนี้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาและปรับแก้ไขให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับในปัจจุบันแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา โดยให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับ ..) พ.ศ. …. (แบ่งส่วนราชการในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สำรวจจำนวนหอพักที่เข้าเกณฑ์และได้รับผลกระทบจากร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการก่อนร่างพระราชบัญญัติจะมีผลใช้บังคับ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กำหนดให้หอพัก หมายความว่า สถานที่ที่รับเฉพาะผู้พักตามพระราชบัญญัตินี้เข้าพักอาศัยโดยมีการเรียกเก็บค่าเช่า โดยผู้พักได้แก่ ผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาในสถานศึกษาทั้งของรัฐและของเอกชนที่จัดการศึกษาในระบบตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติในระดับไม่สูงกว่าปริญญาตรีและอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี
2. หอพักที่อยู่ภายใต้บังคับแห่งร่างพระราชบัญญัตินี้ คือ หอพักสถานศึกษาซึ่งได้แก่ หอพักที่ผู้ประกอบกิจการหอพักเป็นสถานศึกษา และหอพักเอกชนซึ่งได้แก่ หอพักที่ผู้ประกอบกิจการเป็นบุคคลทั่วไป
3. กำหนดให้หอพักมี 2 ประเภท คือ หอพักชายและหอพักหญิง เพื่อป้องกันมิให้มีการปะปนกันระหว่างผู้พักชายและผู้พักหญิง ทั้งนี้ ไม่ได้ตัดสิทธิผู้ประกอบกิจการหอพักที่จะสร้างหอพักชายและหอพักหญิงอยู่ในบริเวณเดียวกันแต่ต้องแยกอาคารและใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักออกจากกัน
4. กำหนดหลักเกณฑ์การรับผู้พัก ดังนี้
4.1 หอพักสถานศึกษาสามารถรับผู้พักซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือระดับอุดมศึกษาได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้พักจะศึกษาอยู่ในสถานศึกษานั้นหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งได้กำหนดข้อยกเว้นให้หอพักสถานศึกษาสามารถรับบุคคลทั่วไปเข้าพักเป็นการชั่วคราวได้ในระหว่างปิดภาคการศึกษาที่ไม่มีผู้พัก
4.2 หอพักเอกชนกำหนดให้รับผู้พักได้เฉพาะผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เนื่องจากผู้พักดังกล่าวสามารถดูแลตนเองได้พอสมควร
5. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือระหว่างผู้ประกอบกิจการหอพักและผู้พักตามแบบที่คณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักกำหนด เพื่อให้สัญญาเช่าหอพักมีมาตรฐานเดียวกัน
6. กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกันไว้ในกฎหมายให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบกิจการหอพักและผู้พัก
7. กำหนดให้ผู้ประสงค์จะประกอบกิจการหอพักสถานศึกษาและหอพักเอกชนต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักจากนายทะเบียน คือผู้บริหารองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งในเขตพื้นที่ที่หอพักตั้งอยู่ เพื่อให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ที่กำหนดให้โอนอำนาจในการกำกับดูแลการประกอบกิจการหอพักให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้กำหนดให้บรรดาค่าธรรมเนียม ค่าปรับ และรายได้อื่น ๆ เกี่ยวกับการประกอบกิจการหอพักตามพระราชบัญญัตินี้ ตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
8. กำหนดให้ใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักสถานศึกษาใช้ได้ตลอดไปโดยไม่มีอายุ แต่จะสิ้นผลเมื่อผู้ประกอบกิจการหอพักถูกเพิกถอนใบอนุญาตให้จัดตั้งสถานศึกษาหรือเลิกกิจการ แล้วแต่กรณี และในกรณีผู้ประกอบกิจการหอพักดังกล่าวประสงค์จะประกอบกิจการหอพักต่อไป ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตเป็นหอพักเอกชน สำหรับใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักเอกชนให้มีอายุห้าปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต
9. กำหนดให้หอพักสถานศึกษาได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการหอพัก และอาจได้รับสิทธิในการได้รับลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีเงินได้เป็นกรณีพิเศษจากการประกอบกิจการหอพักโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามประมวลรัษฎากรหรือได้รับลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย หรือภาษีอื่นใดในทำนองเดียวกัน สำหรับหอพักเอกชนที่ได้รับการประกาศเกียรติคุณจากคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพักอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรและการสนับสนุนด้านการเงินหรือวัสดุอุปกรณ์เช่นเดียวกับหอพักสถานศึกษา เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบกิจการหอพักเอกชนเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามพระราชบัญญัตินี้มากยิ่งขึ้น
10. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการหอพักต้องจัดให้มีผู้จัดการหอพักเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลหอพัก รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการหอพักจัดการหอพัก
11. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการหอพัก เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลและส่งเสริมกิจการหอพักโดยให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ รับผิดชอบเกี่ยวกับงานธุรการของคณะกรรมการและของคณะอนุกรรมการ
12. กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักของนายทะเบียนไว้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดแก่ผู้พัก โดยกำหนดเหตุที่จะเพิกถอนใบอนุญาตไว้เพียง 2 กรณีคือ 1. หอพักไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตให้ประกอบกิจการหอพัก หรือ 2. ผู้ประกอบกิจการหอพักขาดคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
13. กำหนดบทเฉพาะกาล
13.1 กำหนดให้ใบอนุญาตหรือการอนุญาตใด ๆ ที่ได้ให้ไว้ตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 ที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน
13.2 โดยที่ร่างพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติห้ามผู้ใดใช้คำว่า “หอพัก” ในสถานที่ของตนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการหอพัก ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ที่ใช้คำดังกล่าวอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ จึงกำหนดให้บุคคลดังกล่าวเลิกใช้คำว่า “หอพัก” ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
สั่นสะเทือนวงการตำรวจ – รวบแก๊งพงศ์พัฒน์และพวก ตั้ง 4 ข้อหาหนัก
หลังจากมีคำสั่งย้าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก. ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดยขาดจากตำแหน่งเดิมอย่างสายฟ้าแลบ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ต่อมา 25 พ.ย. พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ุม่วง ผบ.ตร. แถลงข่าวการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ พร้อมพวก โดยเปิดเผยว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญและละเอียดอ่อน บางครั้งไม่อาจเปิดเผยหรือรายละเอียดในเชิงลึกได้ หากคำถามใดที่สื่อต้องการทราบในกรณีถ้าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ขอไม่นำมาเปิดเผย อันไหนบอกได้จะบอก หลังจากที่ได้ดำเนินการสืบสวนตามคำร้องเรียน และออกคำสั่งให้ผู้กระทำมาช่วยราชการตามที่รับทราบกันแล้ว เริ่มกันในวันที่ 22 พ.ย. ได้มีการขออนุมัติหมายจับจากศาลทั้งสิ้น 10 คน
ผู้ต้องหาทั้ง 1-8 ได้รับมอบตัวมาเมื่อวันที่ 22 พ.ย. จากการควบคุมตัวตามประกาศกฎอัยการศึก ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมในเวลาต่อมา ส่วนผู้ต้องหาลำดับที่ 9-10 ได้มีการจับกุมตัวได้ในวันต่อมา โดยในวันที่ 23 ได้มีการขออนุมัติหมายจับเพิ่มอีก 2 คน คือ นายชอบ ชินนะประภา และนางปิยพรรณ ชินนะประภา ในข้อหาผิด พรบ.การฟอกเงิน ต่อมาในวันที่ 24 พ.ย. ได้จับกุม นายเริงศักดิ์ ศักดิ์ณรงค์เดช ที่อ.เมือง จ.เชียงราย ได้ควบคุมและแจ้งข้อหาเป็นที่เรียบร้อย
สถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ มีทั้งหมด 11 จุด สามารถยึดตู้เชฟที่มีการฝังดินได้และมีการปิดบังอำพรางในบ้านย่านปากเกร็ด ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ พฤติกรรมพรางเพื่อไม่ให้เป็นจุดน่าสนใจ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษบางอย่างในการเข้าค้น ซึ่งทรัพย์สินด้านในมีมูลค่ามากมายมหาศาล
นอกจากนี้ยังพบตู้นิรภัยที่มีประตูเหล็กกั้นถูกเก็บไว้อย่างดี เพื่อไม่ให้มีใครเข้าไปวุ่นวายในทรัพย์สิน และพบวัตถุโบราณจำนวนมากซึ่งจะต้องเชิญกรมศิลป์มาตรวจสอบ เป็นของแผ่นดินหรือไม่ และงาช้างที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งทั้งหมดเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดและบันทึกไว้เป็นหลักฐาน รวมถึงเงินสด ธนบัตรทั้งไทยและต่างประเทศ สแตมป์ทองคำหายากที่มีมูลค่าสูงมาก ส่วนที่บ้านพักของ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ ที่เปรียบเสมือนเป็นขุนพลคู่ใจ ได้พบพระเครื่องจำนานมากและมีมูลค่ามหาศาล ยึดได้ที่เซฟเฮ้าส์ย่านมหาดเล็กหลวง
ต่อมา 26 พ.ย. มติชนออนไลน์รายงานว่า ชุดทำงานคดีที่จับกุมพลตำรวจโทพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ขยายผลเครือข่าย และขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่มีพฤติกรรมแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง เรียกรับผลประโยชน์ ทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ จำนวน 5 คน ประกอบด้วย นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ
ศาลได้ออกหมายจับในความผิดฐาน ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ โดยร่วมกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือ กระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้น กระทำการใด ให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และร่วมกันลักทรัพย์ ซึ่งคดีทั้งหมดเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง ซึ่งขณะนี้ ทั้ง5คนได้ถูกจับกุม และดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นั้น ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุนายณัฐพลมียศ “ว่าที่พันตรี” และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์มงกุฎไทย อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์อ้างอิงคำสัมภาษณ์ของ พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสตช. ที่ชี้แจงว่านายณัฐพลได้ถูกถอดยศให้พ้นจากตำแหน่งทางราชการเรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกันผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ออกมาระบุข้อมูลว่า ยังมีข้าราชการตำรวจระดับสูง อักษรย่อ ก และ จ เกี่ยวข้องกับการเรียกรับผลประโยชน์บ่อนการพนัน โดยพลตำรวจเอกสมยศ ระบุว่าอยากให้ระบุชื่อตำรวจคนดังกล่าวเลยจะได้ไม่เสียเวลาในการสืบสวนถอดรหัสเพิ่ม ซึ่งหากนายชูวิทย์มีข้อมูล ให้นำมาเสนอหรือโทรมาได้โดยตรง ซึ่งพร้อมจะรับฟัง แต่ต้องมีพยานหลักฐานว่ากระทำผิดจริง ยืนยันว่าจะไม่ปกป้องอย่างเด็ดขาด
ล่าสุด ไทยรัฐออนไลน์รายงาน 28 พ.ย. 57 ตำรวจนครบาลพระโขนง คุมตัว นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ 5 ผู้ต้องหาเครือข่ายอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มาขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนงฝากขังผัดแรก เป็นเวลา 12 วัน รวม 6 ข้อหา คือร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย หรือเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันลักทรัพย์ หมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
อย่างไรก็ตาม หลังจากก่อนหน้านี้ ถูกนำตัวไปสอบสวนเพิ่มเติม ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล แล้วเเยกไปคุมขังตาม สน.ต่างๆ ในพื้นที่ของกองบังคับการตำรวจนครบาล 5
พันตำรวจเอก ฤทธิกร สายสนั่น ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจนครบาลพระโขนง เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ให้การรับสารภาพทุกข้อหา แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะกลัวว่าจะมีผลต่อรูปคดี ทั้งนี้ จากการสอบสวนพบว่า ยังมีผู้ร่วมขบวนการอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามตัว โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาทั้งหมดจะหลบหนี หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน โดยจะส่งตัวไปคุมขังต่อที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป
ในวันเดียวกันนั้นเอง ผู้สื่อข่าวกรุงเทพธุรกิจ รายงาน ตำรวจยังเดินหน้าสืบสวนสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม คดีเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ร่วมกันกระทำความผิดในหลายข้อหา โดยล่าสุดทาง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อส่วยที่ยึดได้จากบ้านพักของนายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือเสี่ยโจ้ ผู้ต้องหาหนีคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี พบรายชื่อข้าราชการตำรวจหลายหน่วยงาน และชื่อย่อต่างๆ ได้สั่งการให้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว พร้อมกันนี้ได้ทำเอกสาร 2 ชุดให้กองบัญชการตำรวจนครบาลและกองบังคับการปราบปรามดำเนินการสอบสวน
พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่า พบข้อมูลบัญชีการจ่ายเงินน้ำมันเถื่อนเกิดขึ้นมา 2 ปีแล้ว เกี่ยวข้องเกือบทุกหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ จะต้องตรวจสอบย้อนหลังทั้งหมด พบยอดเงินสูงสุดที่มีการจ่ายส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานกองบังคับการตำรวจน้ำ สูงถึง 12 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินคดีกับนายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา และนายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ 5 ผู้ต้องหา กลุ่มเครือข่ายพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผบช.ก. กลางดึกที่ผ่านมาได้นำตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล และทำการแยกตัวสอบปากคำคนละสถานที่ ตำรวจใช้เวลาสอบสวนนานถึง 6 ชั่วโมง
ทั้งหมดให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา หลังจากสอบสวนเสร็จสิ้นได้คุมตัวทั้ง 5 คนฝากขังแยกตามสน.ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ก่อนที่จะมีการนำตัวไปฝากขังศาลจังหวัดพระโขนงในเวลา 13.00 น.วันนี้
เบื้องต้นทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมด 4 ข้อหา 1.ข้อหา ม.112 หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2.ข้อหา ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธและกักขัง โดยร่วมกันตั้งแต่ 5 คน 3. หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือประการกระทำใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใด ให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น และ4.ร่วมกันลักทรัพย์
ขณะที่ทางกรมศิลปากร จะมีการแถลงข่าวผลการตรวจวัตถุโบราณ ศิลปวัตถุ จำนวนกว่า 30,000 ชิ้นที่ทำการตรวจยึดได้จากบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ในช่วงบ่ายวันนี้ ในการตรวจสอบวัตถุโบราณดังกล่าวจะต้องตรวจสอบอ้างอิงหลักฐานทางวิชาการ และประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคสมัยพร้อมกับสอบสวนถึงที่มาที่ไปของการครอบครองโบราณวัตถุ จากผู้ครอบครองเป็นรายบุคคล
โดยจะต้องชี้แจงได้ว่ามาได้มาจากไหน เมื่อใด และเหตุผลของการครอบครอง เพราะบางชิ้นอย่างเช่น เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่เคยอยู่ในเทวสถาน หรือพระพุทธรูปที่อยู่ในวัด เหตุใดจึงมาอยู่ในเซฟเฮ้าส์ได้ทั้งนี้กฎหมายไม่ได้ห้างไม่ให้ครอบครองโบราณวัตถุแต่การครอบครองนั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายหากพบว่าการครอบครองและการได้มามิชอบจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535
แท็กซี่ตัดพ้อผู้โดยสารเห็นใจกันบ้าง – กรมการขนส่งฯ ระบุ Uber ผิดกฎหมายแน่นอน
เกิดเป็นประเด็นร้อนระหว่างผู้ให้บริการรถแท็กซี่และผู้ใช้บริการแท็กซี่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยผู้ให้บริการแท็กซี่เองตั้งกระทู้ตอบคำถามหลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูเกี่ยวกับพฤติกรรมปฏิเสธผู้โดยสาร ดังภาพด้านล่างนี้ ซึ่งมีการสร้างเพจ “เสียงจากแท็กซี่ – Voice of Taxis” ขึ้นมาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการตั้งกระทู้ในเว็บไซต์พันทิปเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย
ขณะเดียวกันวันที่ 28 พ.ย. เว็บไซต์บล็อกนัน รายงานเนื้อหา จดหมายข่าวกรมการขนส่งทางบกฉบับที่ 35 มีการระบุถึง Uber โดยระบุว่ากรมการขนส่งทางบกได้ประชุมร่วมกับกระทรวงไอซีที, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, และมณฑลทหารบกที่ 11 ในประด็นการรับส่งผู้โดยสารผ่านแอพพลิเคชั่นอย่าง เช่น Uber ได้ข้อสรุปว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใน 3 ประเด็นได้แก่ ใช้รถยนต์ผิดประเภท (ทั้งป้ายเขียวและป้ายดำ) ค่าโดยสารไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ผู้ขับไม่มีใบขับขี่สาธารณะ
มาตรการหลังจากนี้คือกรมการขนส่งทางบกจะเตรียมตรวจสอบการให้บริการ และเตรียมปรับสูงสุด เป็นค่าปรับการใช้รถยนต์ผิดประเภท 2,000 บาท และค่าปรับไม่มีใบขับขี่สาธารณะ 1,000 บาท นอกจากประเด็นการทำผิดกฎหมายแล้วกรมการขนส่งทางบกยังแสดงความเห็นห่วง ในประเด็นการใช้บัตรเครดิตที่ “อาจจะส่งผลต่อความปลอดภัย”, รถที่ให้บริการไม่อยู่ในฐานข้อมูลรถสาธารณะของกรมการขนส่งทางบก, และค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าแท็กซี่ทั่วไป
อย. ระบุไม่มีคลอโรฟิลล์ไม่มีสรรพคุณวิเศษ หลังปรากฏภาพแม่ป้อนทารกว่อน
เมื่อ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ เผย นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีชาวเน็ตแพร่ภาพหญิงสาวรายหนึ่งถ่ายภาพเด็กทารกแรกคลอดได้ 7 วัน น้ำหนัก 5 กิโลกรัม ขณะกำลังดูดน้ำคลอโรฟิลล์ โดยอ้างว่าแม่เด็กดื่มมาตั้งแต่ตอนท้อง และเมื่อคลอดก็ให้ลูกดื่มต่อ ซึ่งอาจเข้าข่ายการโฆษณาสรรพคุณอาหารเสริมว่า จากการตรวจสอบเป็นการกล่าวอ้างของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคลอโรฟิลล์ และพบการกล่าวอ้างโฆษณาเกินจริงทางเว็บไซต์ด้วย ทั้งนี้ จากการตรวจเลขสารบบอาหาร 21-4-00449-1-0001 เป็นผลิตภัณฑ์คลอโรฟิลล์ชนิดน้ำ แจ้งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตราบ้านสมุนไพร ผลิตโดย บริษัท บ้านสมุนไพรชัยมงคล จำกัด จังหวัดระยอง และพบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวผลิตจากอัลฟัลฟ่า (alfalfa) สกัด ซึ่งอยู่ในรูปของ โซเดียม คอปเปอร์ คลอโรฟิลล์ (sodium copper chlorophyllin)
นพ.บุญชัย กล่าวว่า คอปเปอร์ คลอโรฟิลล์ มีการวิจัยว่าเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีศักยภาพในเรื่องของการต้านการกลายพันธุ์ ต้านสารก่อมะเร็ง และต้านอนุมูลอิสระ แต่กลไกดังกล่าวยังไม่เป็นที่แน่ชัด นอกจากนี้ ยังมีรายงานถึงการบริโภคคลอโรฟิลล์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ มีผื่นคัน และอุจจาระร่วงได้ รวมทั้งพบว่าลิ้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือดำ และทำให้สีของปัสสาวะ หรืออุจจาระเปลี่ยนเป็นสีเขียวในผู้บริโภคบางรายอีกด้วย ดังนั้น การโฆษณาว่าน้ำคลอโรฟิลล์ สามารถช่วยขับสารพิษ สารตกค้างต่างๆ ทำให้ผิวพรรณสดใส บรรเทาอาการของโรคต่างๆ หรือช่วยให้เด็กทารกแข็งแรงกว่าปกตินั้น จึงยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่า คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้างจริง
สำหรับกรณีอ้างถึง นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นลูกค้าของบ้านสมุนไพรดังกล่าว นพ.บุญชัย กล่าวว่า ขอให้ผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อการแอบอ้าง ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย ทั้งนี้ ขอให้ผู้บริโภคใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนว่า มีความจำเป็นหรือไม่ที่ต้องดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ และถ้าหากอยากได้รับคลอโรฟิลล์ เพียงรับประทานผักมาก ๆ นอกจากร่างกายจะได้รับคลอโรฟิลล์แล้ว ยังได้รับใยอาหารที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายอีกด้วย ที่สำคัญ อย่าได้หลงเชื่อสรรพคุณว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสามารถรักษาหรือป้องกันโรคได้ นอกจากจะเสียเงินโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังอาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายโดยคาดไม่ถึง
“ที่สำคัญ มีข้อห้ามบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในเด็ก และสตรีมีครรภ์เด็ดขาด พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการทุกรายเห็นแก่ความปลอดภัยของผู้บริโภค ดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม อย่าโฆษณาด้วยวิธีการต่างๆ ในลักษณะที่เกินเลยความเป็นจริง ซึ่งโทษของการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการลักลอบใส่สารอันตรายถือเป็นการเข้าข่ายอาหารปลอม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000 ถึง 100,000 บาท” เลขาธิการ อย. กล่าว
นพ.บุญชัย กล่าวว่า หากผู้บริโภคพบเห็นการอวดอ้างสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกินจริง เช่น รักษาสารพัดโรค ช่วยในการลดน้ำหนัก บำรุงร่างกาย ช่วยเรื่องผิวพรรณ เป็นต้น ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ หรือโฆษณาหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยการขายตรง ขอให้แจ้งร้องเรียนมายังสายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อทางราชการจะได้ตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป