ThaiPublica > เกาะกระแส > เกาะกระแสเศรษฐกิจ > เศรษฐกิจไทยผ่าน “จุดต่ำสุด” หรือยัง

เศรษฐกิจไทยผ่าน “จุดต่ำสุด” หรือยัง

3 กันยายน 2013


ที่มาภาพ : http://www.straitstimes.com/sites/straitstimes.com/files/thaiecon2005e.jpg
ที่มาภาพ : http://www.straitstimes.com/sites/straitstimes.com/files/thaiecon2005e.jpg

ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/2556 ที่ขยายตัว 2.8% ชะลอลงจาก 5.5% ในไตรมาสแรก และติดลบ 2 ไตรมาสต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า กลายเป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจไทยถดถอยจริงหรือ แต่หลังจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเดือน ก.ค. 2556 ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาส 3 รายงานออกมาก็มีความเห็นต่างกันว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดหรือยัง

โดยทางกระทรวงการคลังค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ขณะที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ยังลังเล โดยเห็นว่าเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวแล้ว

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ก.ค. ว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมเดือน ก.ค. จะชะลอตัว แต่หากเจาะลึกดูในรายละเอียดพบว่า เริ่มมีสัญญาณเศรษฐกิจ “วกกลับ” ที่ดีขึ้น เหมือนคลื่นใต้น้ำ ทำให้เชื่อได้ว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และกำลังฟื้นตัวขึ้น

ภาวะการส่งออก “สีแดง” คือ ยังหดตัวไม่ดีขึ้น  “สีเหลือง” คือ เริ่มมีสัญญาณที่ดี  “สีเขียว” คือ ปรับตัวดีขึ้น
ภาวะการส่งออก “สีแดง” คือ ยังหดตัวไม่ดีขึ้น “สีเหลือง” คือ เริ่มมีสัญญาณที่ดี “สีเขียว” คือ ปรับตัวดีขึ้น

โดยสัญญาณจุดวกกลับที่ สศค. มองว่าปรับตัวดีขึ้นคือ 1. การส่งออกที่ติดลบน้อยลง ที่สำคัญ การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 10% ของการส่งออกทั้งหมดเริ่มกลับมาขยายตัวเป็นบวก 1% เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือน 2. การนำเข้าเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบ และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ 3. การท่องเที่ยว ไม่ใช่สัญญาณของจุดวกกลับ แต่เป็นตัวช่วยที่สำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

“ภาพหลายตัวที่มีสัญญาณดีขึ้น แม้จะเป็นเพียงคลื่นใต้น้ำ ที่ต้องลงไปเจาะลึกในรายละเอียดถึงจะเห็น แต่ทำให้เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะผ่านจุดต่ำสุดกลับมาฟื้นตัวได้แล้ว โดยคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 และ 4 จะปรับตัวดีขึ้น ไม่ติดลบต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ขอดูข้อมูลเดือน ส.ค. อีกครั้งหนึ่งก่อน” ดร.เอกนิติกล่าว

ทั้งนี้ สศค. จะทบทวนประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ทั้งปี 2556 ในเดือน ส.ค. ซึ่งประมาณการไว้ที่ 4.5% ซึ่งก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ปรับประมาณการจีดีพีลดลงอยู่ที่4.2% แต่ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ประเมินว่า จีดีพีปี 2556 และ 2557 อาจขยายตัวต่ำกว่าประมาณการณ์เดิมขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ปรับลดลงไปก่อนหน้าอยู่ที่ 4%

ด้าน นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท. รายงายว่า ภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.ค. ชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า และ “เร็วเกินไป” ที่จะบอกว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ชะลอลงมีมากกว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้น ดังนั้นต้องรอดูข้อมูลเดือน ส.ค. อีกเดือนหนึ่งก่อนถึงจะเห็นทิศทางที่ชัดเจนขึ้น

“เศรษฐกิจเดือน ก.ค. ชะลอลงต่อเนื่องตามการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ลดลงจากการซื้อรถยนต์และสินค้าคงทนอื่น ขณะเดียวกัน ครัวเรือนเพิ่มความระมัดระวังการใช้จ่ายจากภาระหนี้ที่สูงขึ้น ส่วนการส่งออกสินค้ายังลดลงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ยังเปราะบางและข้อจำกัดก้านวัตถุดิบของไทย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนหดตัวตาม แต่ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวดีต่อเนื่อง” นายเมธีกล่าว

ภาพการส่งออกไปตลาดหลัก

อย่างไรก็ตาม สศค. และ ธปท. เห็นประเด็นตรงกันว่า แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีมีเสถียรภาพจากเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำ อัตราการว่างงานต่ำ อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ขณะที่สินเชื่อแม้ชะลอลงแต่ยังขยายตัวได้ระดับสูง ทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยพื้นฐานช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่แย่ลง และเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ก็จะเอื้อต่อการส่งออกและการลงทุน จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถปรับตัวดีขึ้นได้ในครึ่งหลังของปี

เพราะฉะนั้น แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ประเด็นที่ สศค. และ ธปท. จับตามองคือ 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ว่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องหรือไม่ และเศรษฐกิจจีนแม้ชะลอลงจากที่ผ่านมา แต่หากขยายตัวได้ตามที่รัฐบาลจีนคาดการณ์ในอัตรา 7.5% ก็ถือว่าอยู่ระดับสูง 2. ปัญหาราคาน้ำมันจากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ยังไม่นิ่ง และ 3. ความผันผวนของค่าเงินในตลาดโลกซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับลดมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีผลต่อกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายมากน้อยแค่ไหน

ขณะที่ปัจจัยในประเทศก็มีประเด็นที่น่าสนใจคือ ภาวะค่าครองชีพที่มีแนวโน้มแพงขึ้นจากการขึ้นราคาแก๊สแอลพีจี การขึ้นค่าผ่านทางด่วน และปรับเพิ่มค่าไฟจากการขึ้นค่าเอฟที ซึ่งมีผลตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. 2556 ค่าครองชีพที่ปรับเพิ่มขึ้นนี้อาจกระทบทำให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงได้

แต่ประเด็นค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นครั้งนี้ ธปท. ยืนยันว่า ได้ประเมินผลกระทบรวมไว้แล้วว่าไม่น่าเป็นห่วงมากนัก โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนด 0.5-3% และที่สำคัญมีโอกาสจะต่ำกว่า 0.5% ด้วยซ้ำไป โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานล่าสุดเดือน ก.ค. อยู่ที่ 0.85%

เพราะฉะนั้น เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ขาลง หรือกำลังเงยหัวขึ้น ต้องติดตามข้อมูลเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด แต่เวลาจะพิสูจน์ว่าใครจะพยากรณ์ได้แม่นยำกว่ากัน ตอนนี้คงเร็วไปที่จะตัดสินเข้าข้างใดข้างหนึ่ง