ASEAN Roundup เวียดนามเตรียมสร้างคาสิโน เปิดให้คนในประเทศเข้าได้

ASEAN Roundup ประจำวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2568

  • เวียดนามเตรียมสร้างคาสิโน เปิดให้คนในประเทศเข้าได้
  • นายกฯ เวียดนามสั่งตอบสนองข้อเสนอภาคธุรกิจใน 2 สัปดาห์
  • รัฐอ่าวอาหรับ-อาเซียนเตรียมเจรจา FTA
  • มาเลเซีย-GCC เริ่มเจรจา FTA เป็นทางการ
  • ไทย-อินโด-มาเลเซีย คุย IMT-GT ครั้งที่ 16 จับมือพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามประเทศ

    เวียดนามเตรียมสร้างคาสิโน เปิดให้คนในประเทศเข้าได้

    ที่มาภาพ: https://casinocorona.vn/en/

    กระทรวงการคลังเวียดนามได้ยื่นเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัตินโยบายการลงทุนสำหรับโครงการคาสิโนหรู เพื่อการท่องเที่ยวและการบริการในจังหวัดกว๋างนิญ ที่มีชื่อว่าโครงการคาสิโนวันดอน (Van Don)

    โครงการคาสิโนจะสร้างขึ้นในตำบลวันเอียน อำเภอวานดอน มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีพื้นที่ที่วางแผนไว้ประมาณ 244 เฮกตาร์

    โครงการนี้จะมีระยะเวลาดำเนินการสูงสุด 70 ปี และมีระยะเวลาการก่อสร้างไม่เกิน 9 ปีนับจากวันที่จัดสรรที่ดิน

    โครงการคาสิโนได้รับการออกแบบให้เป็นรีสอร์ทระดับไฮเอนด์และศูนย์รวมความบันเทิงพร้อมการพนัน โดยมีเป้าหมายที่จะจัดงานระดับนานาชาติ และก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อดำเนินการคาสิโนและให้บริการที่เกี่ยวข้อง โดยปฏิบัติตามกฎหมายของเวียดนาม

    ที่น่าสนใจคือ กระทรวงฯ ได้เสนอให้นายกรัฐมนตรีอนุมัติโครงการนำร่อง ที่อนุญาตให้พลเมืองเวียดนามเข้าร่วมเล่นคาสิโนในสถานที่ดังกล่าวได้ โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่และคำสั่งของคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo) อย่างเคร่งครัด

    กระทรวงฯ ยังเสนอว่า ควรให้อำนาจคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว๋างนิญ คัดเลือกนักลงทุนที่เหมาะสมตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการลงทุน การใช้ที่ดิน การประมูล และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้แผนการปรับโครงสร้างการบริหารที่ได้รับการอนุมัติเมื่อไม่นานนี้ วันดอนถูกกำหนดให้เป็น 1 ใน 13 หน่วยงานบริหารพิเศษระดับจังหวัดทั่วประเทศ

    จากเอกสารที่ส่งไปยังสภาการประเมินมูลค่าแห่งรัฐ (State Appraisal Council) ทุนสำหรับการลงทุนทั้งหมดสำหรับโครงการนี้มีมูลค่า 51.5 ล้านล้านด่อง (2.16 พันล้านเหรียญสหรัฐ) โดย 7.7 ล้านล้านด่องจะมาจากนักลงทุน ส่วนที่เหลือจะมาจากเงินกู้จากธนาคาร

    โครงการนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 (2023–2027) มูลค่าการลงทุนประมาณ 25.1 ล้านล้านด่อง ระยะที่ 2 (2027–2031) มูลค่าลงทุน 22.08 ล้านล้านด่อง และระยะที่ 3 (2031–2032) มูลค่าลงทุน 4.3 ล้านล้านด่อง

    ทางการกว๋างนิญเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเขตบริหารพิเศษวันดอนอย่างแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุน สร้างการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับงบประมาณของรัฐ

    คาดว่าโครงการคาสิโนวันดอนจะมีส่วนสนับสนุนงบประมาณจำนวนประมาณ 228.9 ล้านล้านด่องตลอดอายุโครงการ ซึ่งรวมถึงภาษีเงินได้นิติบุคคล 134.3 ล้านล้านด่อง และภาษีมูลค่าเพิ่ม 94.5 ล้านล้านด่อง

    อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้ในเวียดนามมองว่า คาสิโนในเวียดนามกำลังเผชิญกับกรอบกฎหมายที่ยังไม่พัฒนาและยังไม่สมบูรณ์

    หลุยส์ เมสกิตา เด เมโล (Luís Mesquita de Melo) ที่ปรึกษาทั่วไปของ Hoi An South Development Ltd ผู้พัฒนาและผู้ดำเนินการ Hoiana Resort & Golf ซึ่งเป็นคอมเพล็กซ์พักผ่อนริมชายหาดที่มีคาสิโนสำหรับชาวต่างชาติเท่านั้นบนชายฝั่งตอนกลางของเวียดนาม ให้ความเห็นว่า กรอบกฎหมายของเวียดนามที่ควบคุมอุตสาหกรรมคาสิโนของประเทศนั้น ยังไม่พัฒนาและยังไม่สมบูรณ์ โดยประเด็นหลักที่น่ากังวลคือการกำกับดูแลธุรกิจทัวร์บ่อน (ธุรกิจทัวร์มีนำลูกทัวร์นักพนันวีไอพีไปเล่นตามคาสิโนต่างๆ หรือ junket operations) และการขยายสินเชื่อให้กับนักพนันเพื่อวัตถุประสงค์ในการเล่นพนัน

    “เห็นได้ชัดว่าเวียดนามเป็นเขตอำนาจรัฐใหม่ และด้วยเหตุนี้ เวียดนามจึงต้องพยายามหาหนทางของตนเอง” เมสกิตา เด เมโล กล่าว

    “ระบบการกำกับดูแลปัจจุบันในเวียดนามยังคงไม่พัฒนาและยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จึงมีช่องโหว่มากมาย ซึ่งสร้างความท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายที่พยายามทำความเข้าใจระบบ” เมสกิตา เด เมโล กล่าว

    เมสกิตา เด เมโล ให้ความเห็นเมื่อวันศุกร์ (9 พฤษภาคม 2568) ในการเสวนาในหัวข้อ “The Latest Compliance Issues Faced by Gaming Operators ปัญหาการปฏิบัติตามกฎหมายล่าสุดที่ผู้ประกอบการพนัน” ในงานแสดงสินค้าและคาสิโน Global Gaming Expo (G2E) Asia 2025 ที่จัดขึ้นที่รีสอร์ทคาสิโน Venetian Macao ระหว่าง 7-9 พฤษภาคม 2568

    เมสกิตา เด เมโล อธิบายว่า กฎหมายการพนันของเวียดนาม ซึ่งเป็น “กฎหมายหลัก” ของประเทศในด้านนี้ ประกาศใช้เมื่อต้นปี 2560

    “กรอบกฎหมายดังกล่าวควรได้รับการพัฒนาและทำให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ พร้อมกฎระเบียบตามมาอีกหลายฉบับ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลย” เมสกิตา เด เมโล กล่าว

    ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายซึ่งมีประสบการณ์มากมายในตลาดมาเก๊า กล่าวว่า “ปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง” ที่ธุรกิจการพนันต้องเผชิญในเวียดนามคือ การขาดหน่วยงานกำกับดูแลการพนันอย่างเป็นทางการ

    ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าวต่อว่า “เวียดนามเป็นระบบกฎหมายแพ่ง มีแนวทางเฉพาะเจาะจงมากต่อหลักนิติธรรมในแง่ที่ว่า กฎหมายจะไม่ถูกนำไปใช้จริงจนกว่าจะเป็นเป้าหมายของการตัดสินใจทางปกครอง ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะต้องการทำอะไรก็ตาม จะต้องมีแนวคิดว่าต้องถามรัฐบาลว่าต้องทำอย่างไร”

    นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า “เห็นได้ชัดว่าเรื่องสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ในแง่ที่ว่าไม่มีทางรู้จริงๆ ว่ากฎหมายจะถูกตีความอย่างไร และเมื่อกฎหมายนั้นเองไม่ซับซ้อนและไม่สมบูรณ์จากมุมมองทางกฎหมาย ก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่หลวง”

    “ท้ายที่สุดแล้ว นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะต้องการทำอะไรก็ตาม ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอย่างน้อย 8 แห่ง” ที่ปรึกษาทั่วไปของ Hoiana กล่าว

    ตัวอย่างที่มสกิตา เด เมโล นำเสนอ เกี่ยวเนื่องกับโครงการนำร่องของเวียดนามที่อนุญาตให้คนในท้องถิ่นเล่นการพนันในคาสิโนที่กำหนด ในเวียดนามการพนันในคาสิโนในปัจจุบัน ได้รับอนุญาตเฉพาะผู้ถือหนังสือเดินทางต่างชาติเท่านั้น

    Corona Resort & Casino ในฟูก๊วก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปิดให้ประชาชนชาวเวียดนามเล่นการพนันได้เพียงแห่งเดียวที่อยู่ในโครงการนี้ ได้ประกาศเมื่อเดือนธันวาคมว่า จะ “ระงับโครงการนี้ชั่วคราว” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม “จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป”

    “เราไม่มีข้อมูลเชิงลึกเลยว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับการพนันในประเทศ” เมสกิตา เด เมโล กล่าว

    ผู้เข้าร่วมการเสวนามองว่าสิงคโปร์มีมาตรฐานการกำกับดูแลในระดับเข้มงวดที่สุด ขณะที่มาเก๊ามีความท้าทาย

    ก๊ก-เกิง เลา (Kok-Keng Lau) หุ้นส่วนของ Rajah & Tann Singapore LLP ที่เข้าร่วมในการอภิปรายกล่าวว่า ภูมิทัศน์ของกฎระเบียบการพนันของสิงคโปร์นั้น “อาจเป็นหนึ่งในภูมิทัศน์ที่เข้มงวดที่สุดในโลก”

    “เราได้รับการยกย่องในวงกว้างว่าเป็นผู้กำหนด ‘มาตรฐานทองคำ’ สำหรับกฎระเบียบการพนัน” ก๊ก-เกิง เลากล่าว

    เหตุผลหนึ่งที่สิงคโปร์ใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดก็คือ “ไม่เหมือนกับตลาดการพนันที่มีการควบคุมอื่นๆ ทั่วโลก สิงคโปร์ไม่ได้มุ่งที่จะขยายตลาด”

    เปโดร คอร์เตส (Pedro Cortés) หุ้นส่วนผู้จัดการของสำนักงานกฎหมาย Lektou ซึ่งตั้งอยู่ในมาเก๊า กล่าวถึงความท้าทายด้านกฎระเบียบที่มาเก๊าเผชิญ ในขณะที่อุตสาหกรรมการพนันเปลี่ยนจากรูปแบบที่เน้น VIP ไปเป็นรูปแบบที่เน้นตลาดมวลชน (mass market ) เป็นหลัก

    คอร์เตสชี้ว่า จากมุมมองของกฎระเบียบและการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่การตรวจสอบห้อง VIP อีกต่อไป แต่กลับอยู่ที่แคชเชียร์และการแลกชิปให้ลูกค้าแทน โดยผู้ประกอบการ “จำเป็นต้องตรวจสอบธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำแต่มีปริมาณมาก”

    กอร์เตสแนะนำว่า คาสิโนสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการตรวจสอบกิจกรรมประเภทนี้ได้ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ machine learning

    นายกฯ เวียดนามสั่งตอบสนองข้อเสนอภาคธุรกิจใน 2 สัปดาห์

    ที่มาภาพ: https://english.vov.vn/en/politics/domestic/prime-minister-addresses-business-concerns-to-accelerate-private-sector-growth-post1203660.vov

    นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามได้สั่งการว่า ต้องมีคำตอบรวมทั้งแก้ไขข้อเสนอและข้อกังวลทั้งหมดจากบริษัทต่างๆ ภายใน 2 สัปดาห์

    นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการพบปะกับภาคธุรกิจในกรุงฮานอยเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 การพูดคุยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการดำเนินการตามมติของคณะกรรมการกรมการเมืองเลขที่ 68-NQ/TW ว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนอย่างมีประสิทธิผล ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างรวดเร็วและยั่งยืน

    คณะกรรมการกรมการเมืองออกคำสั่งเลขที่ 68 เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 ตามด้วยมติของสมัชชาแห่งชาติเลขที่ 198/2025/QH15 และมติของรัฐบาลเลขที่ 138 และ 139/NQ-CP ซึ่งล้วนเน้นที่การพัฒนาภาคเอกชน กระทรวงการคลังระบุว่า มติเหล่านี้กำหนดวัตถุประสงค์ แนวทางแก้ไข และการมอบหมาย โดยยึดตามหลักการชัดเจน 6 ประการ ได้แก่ ความรับผิดชอบ ภารกิจ อำนาจ แผนงาน ผลลัพธ์ และความรับผิดชอบ

    ปัจจุบันภาคเอกชนมีส่วนสนับสนุนประมาณ 50% ของ GDP มีสัดส่วน 56% ของเงินลงทุนทั้งหมด และมีสัดส่วนกว่า 30% ในรายรับของงบประมาณแผ่นดิน และเกือบ 30% ของมูลค่าการนำเข้า-ส่งออก จากข้อมูลของรัฐมนตรีประธานสำนักงานคณะรัฐมนตรี เจิ่น วัน เซิน (Tran Van Son) ในการประกาศการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีในการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลแห่งชาติเพื่อนำมติ 68-NQ/TW ไปปฏิบัติ

    ในการพบปะครั้งนี้ ผู้นำรัฐบาลและท้องถิ่นได้หารือถึงขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในการนำมติสำคัญไปปฏิบัติ ผู้เชี่ยวชาญและนักธุรกิจต่างยินดีกับท่าทีที่สนับสนุนและขอบเขตที่กว้าง โดยชี้ว่าเป็นโอกาสอันหายากสำหรับการเติบโตของภาคเอกชน พร้อมเชื่อมั่นว่าสามารถบรรลุเป้าหมายได้ก่อนกำหนดด้วยความพยายามร่วมกัน

    ภาคธุรกิจเรียกร้องให้รัฐบาลปรับปรุงกฎหมาย ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ประสานงานการตรวจสอบ และดูแลการเข้าถึงที่ดิน ทุน แรงงาน และทรัพยากรอย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้มีการมอบหมายงานมากขึ้นแก่บริษัทเอกชน โดยเฉพาะในภาคส่วนใหม่

    รวมทั้งยังเสนอให้มีสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและค่าธรรมเนียมมากขึ้น การคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ทางกฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ปรับปรุงกลไกการจัดการข้อร้องเรียน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการนำไปปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

    นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ชื่นชมความคิดเห็นที่จริงใจและสร้างสรรค์จากผู้ประกอบการ และขอบคุณสำหรับมุมมองในทางบวกและความเต็มใจที่จะร่วมมือกับรัฐบาลในการผลักดันเป้าหมาย 100 ปีสองประการของประเทศ และยืนยันเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ 8% ในปี 2568 และการเติบโตในอัตราเลขสองหลักในปีต่อๆ ไป

    นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์รับทราบข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับขั้นตอนให้ง่ายขึ้น การเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และกลไกนโยบายที่ชัดเจนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจ และย้ำว่าหน่วยงานของรัฐต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลาง โดยเน้นที่กลยุทธ์ การกำหนดนโยบาย การกำกับดูแล และตรวจสอบภายหลัง

    รัฐบาลจะเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3 ประการที่จัดทำขึ้นใหม่ในการปฏิรูปกฎระเบียบ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพยากรบุคคล นอกจากนี้ ยังจะดูแลอำนาจอธิปไตย เสถียรภาพทางการเมือง และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจเข้าถึงที่ดิน ทุน ทรัพยากร เทคโนโลยี และแรงงานที่มีทักษะ ตลอดจนปกป้องทรัพย์สินและสิทธิทางธุรกิจ

    นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์สั่งการให้กระทรวง หน่วยงาน และหน่วยงานท้องถิ่นทั้งหมด พัฒนากลไกสำหรับการมีส่วนร่วมกับธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดการกับคำขออย่างรวดเร็ว และดูแลให้คำขอจะได้รับการตอบสนองภายในสองสัปดาห์

    พร้อมเรียกร้องให้มีการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งขึ้นระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งผ่านการมีส่วนร่วมโดยตรงและแพลตฟอร์มดิจิทัล นอกจากนี้ ยังขอให้กระทรวงต่างๆ ทบทวนและปรับนโยบายอย่างต่อเนื่องในเวลาที่เหมาะสม ยืดหยุ่น และมีประสิทธิผล เพื่อสนับสนุนธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น

    นายกรัฐมนตรีจิ๋งห์ส่งเสริมให้แวดวงธุรกิจยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยธรรม ปฏิบัติตามกฎหมาย สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และลงทุนในการบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด

    นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้มีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างบริษัทเอกชน นักลงทุนต่างชาติ และรัฐวิสาหกิจ เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิต การจัดหา และการบริการในประเทศและต่างประเทศ และหวังว่าธุรกิจในครัวเรือนจะพัฒนาเป็นวิสาหกิจอย่างเป็นทางการ บริษัทขนาดเล็กจะพัฒนาเป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดใหญ่จะพัฒนาเป็นบริษัทข้ามชาติ

    สุดท้าย ผู้นำรัฐบาลได้ขอบคุณภาคธุรกิจสำหรับการมีส่วนสนับสนุนทางสังคม และเรียกร้องให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาที่อยู่อาศัย การขจัดความยากจน และสวัสดิการสังคมต่อไป รวมทั้งเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ กำหนดนโยบาย และหล่อเลี้ยงทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพสูงสำหรับเวียดนามที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ยั่งยืน และเจริญรุ่งเรือง

    รัฐอ่าวอาหรับ-อาเซียนเตรียมเจรจา FTA

    ที่มาภาพ: https://asean.org/secretary-general-of-asean-attends-the-second-asean-gulf-cooperation-council-summit-in-kuala-lumpur/

    ประเทศสมาชิกของคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council หรือ GCC) และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations หรือ ASEAN) ยืนยันในการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 (2nd ASEAN-GCC Summit) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย ในวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงความต้องการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมโยง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความสำคัญในการกระจายห่วงโซ่อุปทาน

    ในปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง GCC และ ASEAN ฉบับล่าสุดที่ออกหลังการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 อ้างถึงแถลงการณ์ร่วมที่ออกในการประชุมสุดยอด GCC–ASEAN ครั้งแรกที่จัดขึ้นในรียาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสำรวจความร่วมมือในประเด็นสำคัญด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การส่งเสริมการบูรณาการตลาดในภูมิภาค ความยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอน การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการผนวกรวม โดยเฉพาะในบริบทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมของภาครัฐและเอกชน และการเชื่อมโยงระหว่างประชาชน

    ปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement) ระหว่างอาเซียนและ GCC และความเป็นไปได้ในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจผ่านความร่วมมือตามภาคส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เช่น การเงิน (รวมถึงธนาคารอิสลาม) อาหาร และการท่องเที่ยว

    ปฏิญญาดังกล่าวรับรองกรอบความร่วมมือ ASEAN-GCC (2567–2571) ซึ่งกำหนดการดำเนินการและกิจกรรมร่วมกันในพื้นที่ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมิติทางการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อปลดล็อกศักยภาพทั้งหมดของความร่วมมือระหว่างสองกลุ่ม

    แถลงการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำถึงโอกาสในการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่าในปี 2566 ที่ผ่านมา GCC เป็นคู่ค้ารายใหญ่เป็นอันดับ 7 ของอาเซียน โดยมีมูลค่าการค้ารวม 130,700 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นแหล่งที่มาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่เป็นอันดับ 16 ที่ 390.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าปริมาณการค้าจะเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 30% เป็น 180,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2575

    ปฏิญญาฉบับนี้แสดงถึงความตั้งใจร่วมกัน ที่จะเสริมสร้างการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และทำงานร่วมกันในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก โดยส่งเสริมการค้าและกระแสการลงทุน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย และชี้ไปที่โอกาสการลงทุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับกรอบความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย รวมถึงการเสริมสร้างความร่วมมือตามภาคส่วน การดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกัน ที่จะจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีที่มีศักยภาพ และการเริ่มการหารือการค้าเสรี

    นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า การบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค สามารถคืบหน้าได้โดยการสำรวจความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในเศรษฐกิจดิจิทัล และโดยการขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น เกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร ไฮโดรคาร์บอน พลังงานสีเขียว พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีขั้นสูง การดูแลสุขภาพ การผลิต การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสร้างมาตรฐาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เทคโนโลยีทางการเงินและบริการ เช่น การเงินอิสลาม ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาล โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลของอาเซียนและ GCC อย่างเต็มที่

    ปฏิญญาดังกล่าวยังเรียกร้องให้มีการมีส่วนร่วมของภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น และความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างสองภูมิภาค โดยใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่และแพลตฟอร์มใหม่ ทั้งแบบกายภาพและเสมือนจริง เช่น ภารกิจการค้า กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และการแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับกรอบเศรษฐกิจ กฎระเบียบ และกฎหมาย ตลอดจนการเจรจาทางธุรกิจ ปฏิญญายังสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ความช่วยเหลือทางเทคนิค และการสร้างศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการและสตาร์ทอัป โดยเน้นเป็นพิเศษที่การเสริมพลังให้สตรี เยาวชน และชุมชนที่ถูกละเลยในการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก

    นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงการประสานงาน และการสื่อสารระหว่างรัฐบาล สมาคมธุรกิจ และภาคเอกชนจากทั้งสองภูมิภาค ในบริบทของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและ GCC โดยเสนอให้แบ่งปันความเชี่ยวชาญในการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ระบบขนส่งอัจฉริยะ และปัญญาประดิษฐ์ ตลอดจนสำรวจผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม จากการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟและถนนระหว่างประเทศสมาชิก GCC และสมาชิกอาเซียน ปฏิญญาดังกล่าวเรียกร้องให้สนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในภาคการขนส่งทางบก

    สุดท้าย ปฏิญญาดังกล่าวเรียกร้องให้เพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่าง GCC และประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกต่อโอกาสในการลงทุนในภาคส่วนที่มีความสำคัญ เช่น พลังงาน เทคโนโลยีขั้นสูง การผลิต โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว

    ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงความปรารถนาร่วมกัน สำหรับอนาคตที่บูรณาการและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและ GCC และการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้สูงสุดเพื่อให้บรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองภูมิภาค สอดคล้องกับความพยายามในการส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

    มาเลเซีย-GCC เริ่มเจรจา FTA เป็นทางการ

    ที่มาภาพ: https://economymiddleeast.com/news/gcc-malaysia-to-strengthen-trade-relations-through-new-agreement/

    มาเลเซียและคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ได้เริ่มการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) อย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างทั้งสองฝ่าย

    GCC ประกอบด้วย 6 ประเทศสมาชิก ได้แก่ บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

    เต็งกู ดาโต๊ะ สรี ซาฟรูล อับดุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม กล่าวว่า มาเลเซียถือว่า GCC เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนการค้าที่มีคุณค่ามากที่สุดในเอเชียตะวันตก

    “FTA มาเลเซีย-GCC ไม่ใช่แค่ข้อตกลงทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีเชิงยุทธศาสตร์ในการปรับจุดยืนและเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีของเรา ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากมาย นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือและทำงานร่วมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างครอบคลุม” เต็งกูซาฟรูลกล่าวในแถลงการณ์

    คาดว่า FTA จะครอบคลุมพื้นที่หลากหลาย รวมถึงการค้าสินค้าและบริการ การลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า และความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น

    ในปี 2567 การค้าระหว่างมาเลเซียและ GCC มีมูลค่ารวม 222,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,800 ล้านริงกิตมาเลเซีย) โดยสินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันปาล์ม รวมถึงผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มและอาหารแปรรูป

    กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม (MITI) กล่าวว่า FTA มีเป้าหมายที่จะขยายขอบเขตนี้ต่อไปโดยลดอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรและไม่ใช่ภาษีศุลกากร ส่งเสริมความคล่องตัวทางธุรกิจ และเพิ่มความร่วมมือด้านกฎระเบียบ

    กระทรวงฯ กล่าวว่าทั้งมาเลเซียและ GCC ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันสำหรับข้อตกลงเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายด้านการค้าโลกในปัจจุบัน และส่งเสริมการเติบโตที่ยืดหยุ่น ครอบคลุม และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม

    “การเปิดการเจรจาระหว่างมาเลเซียและ GCC เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของมาเลเซียในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าในภูมิภาค เช่น GCC มาเลเซียมีความหวังเกี่ยวกับกระบวนการเจรจาที่สร้างสรรค์ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประโยชน์มหาศาลต่อทั้งเศรษฐกิจและประชาชน” แถลงการณ์ระบุ

    ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ร่วมในการเปิดการเจรจาได้รับการลงนามโดยเต็งกู ซาฟรูล และ Jasem Mohamed AlBudaiwi (จาเซ็ม โมฮาเม็ด อัลบูไดวี) เลขาธิการ GCC การลงนามดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน-GCC ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของแผนริเริ่มดังกล่าว

    การแลกเปลี่ยนแถลงการณ์มี นายกรัฐมนตรีดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม และชีค อัลคอลิด อัลฮะมัด อัลมุบาร็อก อัศเศาะบาฮ์ (Sheikh AI-Khaled Al-Hamad AI-Muborak Al-Sababoh) มกุฏราชกุมารและรองเจ้าผู้ครองรัฐคูเวต ร่วมเป็นสักขีพยาน

    ไทย-อินโด-มาเลเซีย คุย IMT-GT ครั้งที่ 16 จับมือพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามประเทศ

    ที่มาภาพ: https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/96862

    ขณะที่นายกรัฐมนตรี ย้ำไทยเสนอ 3 แนวทางหลักจับมือกันพัฒนาภาคเกษตร นวัตกรรมและการวิจัยฯ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเชื่อมโยง ระหว่างประชาชนของทั้งสามประเทศกว่า 370 ล้านคน

    วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งตรงกับเวลา 16.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย ณ ห้อง Conference Hall 1 ชั้น 3 ศูนย์ประชุม Kuala Lumpur Convention Center (KLCC) ประเทศมาเลเซีย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle หรือ IMT-GT) ครั้งที่ 16 ร่วมกับดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)

    นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของถ้อยแถลง ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อที่ประชุมฯ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียในฐานะเจ้าภาพ และขอบคุณเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย ที่ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสอันเหมาะสมในการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสามประเทศต่อ “IMT-GT Vision 2036” ที่มุ่งสร้างอนุภูมิภาค ที่มีการบูรณาการ นวัตกรรม ที่ครอบคลุมอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือที่ดำเนินมากว่า 30 ปี นั้นได้ก่อให้เกิดพัฒนาการที่สำคัญด้านความเชื่อมโยง การบูรณาการทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาค

    ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความยินดีต่อการลงนามกรอบความร่วมมือด้านศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง และการกักกันโรค ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นของทั้งสามประเทศ และแม้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวหลังจากวิกฤตโรคระบาด แต่ภูมิภาคยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอากาศ และการชะลอตัวของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือภายใต้กรอบ IMT-GT ที่ต้องแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวมากยิ่งขึ้นโดยประเทศไทย ได้เสนอแนวทางความร่วมมือ 3 ประการ

    ประการแรก ความร่วมมือในภาคเกษตร โดยเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งสามประเทศ ได้แก่ ยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งไม่เพียงเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของ 3 ประเทศ แต่ยังเกี่ยวโยงในห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค และระดับโลก ทั้งนี้ขอเสนอให้ประเทศสมาชิกเร่งยกระดับการแปรรูปสินค้าเกษตร ใช้มาตรฐานความยั่งยืนสากลและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ นำไปสู่การเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ IMT-GT ในฐานะผู้นำด้านเกษตรกรรมที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทของแต่ละประเทศ

    ประการที่สอง การส่งเสริมนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา (R&D) ประเทศไทยเห็นว่า “นวัตกรรม” จะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในอนาคต ซึ่งต้องเร่งปรับตัวต่อความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศของโลกที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควรลงทุนในเทคโนโลยีที่รับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตร ที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจระยะยาวให้กับอนุภูมิภาคได้

    ประการที่สาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและดิจิทัลไร้รอยต่อ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งทางบก ทางทะเล ทางอากาศ และเครือข่ายดิจิทัลนั้น นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโต ดึงดูดการลงทุน และบูรณาการความร่วมมือในอนุภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น โดยโครงการภายใต้ IMT-GT ควรสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 2036 ที่เน้นความครอบคลุม ความยืดหยุ่น และความยั่งยืน

    ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า จุดแข็งของ IMT-GT อยู่ที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในเป้าหมายร่วมกัน ของทั้งสามประเทศ ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่เป็นกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเวทีเพื่อ “สันติภาพ ความมั่งคั่ง และความเป็นหุ้นส่วน” และขอเชิญชวนให้ทุกประเทศเดินหน้าร่วมกันเพื่ออนาคตที่เชื่อมโยงบูรณาการระหว่างกัน มีนวัตกรรม ครอบคลุม และมีความยั่งยืนของประชาชนในอนุภูมิภาค IMT-GT สามประเทศ

    นายจิรายุกล่าวต่อไป อีกว่า ในที่ประชุมฯ สามประเทศ ยังได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 16 แผนงาน IMT-GT (Joint Statement of the 16th IMT-GT Summit) ซึ่งยืนยันในความมุ่งมั่นต่อวิสัยทัศน์ IMT-GT พ.ศ. 2579 (IMT-GT Vision 2036) พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจยั่งยืนผ่านแนวทางเศรษฐกิจ สีเขียว สีน้ำเงิน (เศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรทางทะเลฯ) และเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งการขับเคลื่อนการเติบโตด้วยนวัตกรรมดิจิทัล และการรับมือความท้าทายระดับโลก

    จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมยินดีต่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการกักกันโรคระหว่างกัน อีกด้วย