ASEAN Roundup ประจำวันที่ 18-25 มกราคม 2568
เวียดนามคุมเข้มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

เล ฮวาง อวนห์ อธิบดีกรมอีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า กรมฯจะยังคงหาแนวทางจัดการเพื่อให้มั่นใจว่าอีคอมเมิร์ซมีความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างฝ่ายต่าง ๆ และร่วมมือกับสมาคมอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ
นอกจากนี้ยังจะทำงานร่วมกับกระทรวง ภาคส่วน และท้องถิ่นต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระดับภูมิภาคในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซ โดยกระทรวงฯวางแผนที่จะส่งร่างกฎหมายอีคอมเมิร์ซเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมในเดือนตุลาคมปีนี้
เล ฮวาง อวนห์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายระบุว่าธุรกิจและองค์กรที่มีส่วนร่วมในอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนในตลาดเวียดนามจะต้องยื่นขอใบอนุญาตจาก MoIT และจัดตั้งสำนักงานตัวแทนในเวียดนามหรือแต่งตั้งนิติบุคคลในเวียดนามเป็นตัวแทนที่ได้รับอนุญาต
นอกจากนี้ยังกำหนดความรับผิดชอบของสำนักงานตัวแทนหรือหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตในเวียดนามในการรับรองสิทธิของผู้บริโภค ร่างกฎหมายยังครอบคลุมถึงกฎระเบียบในการตรวจสอบผู้ขายต่างประเทศและการชดเชยผู้ซื้อก่อนที่จะเกิดการละเมิดใด ๆ บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ร่างกฎหมายยังกำหนดว่าธุรกิจและองค์กรต่างประเทศที่ขายสินค้าและให้บริการบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมีความรับผิดชอบในลักษณะเดียวกบแพลตฟอร์มในประเทศ นอกจากนี้ รวมทั้งจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้จัดการของแพลตฟอร์มดิจิทัลตัวกลาง และรับรองการตรวจสอบข้อมูลผู้ขาย และการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ขายในตลาดเวียดนาม โดยเฉพาะสินค้าและบริการจากต่างประเทศที่นำเสนอในตลาดเวียดนามจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานและกฎระเบียบที่ใช้บังคับในเวียดนาม รัฐบาลจะจัดทำรายการสินค้าที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าผ่านอีคอมเมิร์ซ
ข้อมูลสถิติระบุว่าอีคอมเมิร์ซของเวียดนามยังคงรักษาอัตราการเติบโตที่น่าพอใจที่ 18-25% ต่อปี
ในปี 2567 ขนาดของตลาดอีคอมเมิร์ซสูงถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นประมาณ 9% ของรายได้จากการขายปลีกและการบริการผู้บริโภคทั้งหมดทั่วประเทศ
นอกจากนี้ อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนยังได้รับการพัฒนาค่อนข้างดี ช่วยให้ผู้บริโภคชาวเวียดนามกลายเป็นผู้บริโภคระดับโลกโดยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อีกทั้ง ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเวียดนามยังใช้ประโยชน์จากอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเป็นช่องทางการส่งออกที่สำคัญ ซึ่งเป็นการขยายตลาดสำหรับสินค้าเวียดนาม
รายงานจาก Amazon Global Selling Vietnam ระบุว่า ผลิตภัณฑ์กว่า 17 ล้านรายการจากธุรกิจในเวียดนามถูกส่งออก ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 50% และจำนวนพันธมิตรการขายเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบเป็นรายปี อีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนเติบโต 26% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
กิจกรรมการค้าของเวียดนามคาดว่าจะเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วยข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการลงทุนภาครัฐ ซึ่งจะสร้างโอกาสเชิงบวกสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน จีน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ ของเวียดนาม โดยมีบทบาทสำคัญในการขยายกิจกรรมบนแพลตฟอร์มดิจิทัล
เวียดนามเร่งเข้าเป็นสมาชิก OECD

เวียดนามพยายามที่จะเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อปรับนโยบายการแข่งขัน การลงทุน และภาษีให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากลและมาตรฐานการกำกับดูแล และเพิ่มความน่าดึงดูดใจของนักลงทุน จากการที่ประเทศไทยและอินโดนีเซียกำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นสมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายแรกของ OECD ความต้องการของเวียดนามจึงเน้นย้ำถึงเส้นทางการเติบโตที่โดดเด่นของภูมิภาคอาเซียน
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ๋ง ของเวียดนาม ได้พบปะกับ นายมาธิอัส คอร์มันน์ เลขาธิการใหญ่ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(Organisation for Economic Co-operation and Development:OECD) เป็นช่วงสั้นๆ นอกรอบการประชุมประจำปีครั้งที่ 55 ของ WEF ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์
นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ๋ง เน้นย้ำว่าการประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 ครั้งที่จัดขึ้นในกรุงฮานอยช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง OECD และภูมิภาคและขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของ OECD ในระหว่างที่เวียดนามเป็นประธานร่วมของโครงการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การต่อสู้กับโรคโควิด-19
ผู้นำรัฐบาลเวียดนามชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ของเวียดนาม โดยกล่าวว่า จากรากฐาน 40 ปีของนโยบาย Doi Moi “โด่ย เหม่ย” ของเวียดนาม ปี 2568 นี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับเวียดนามในการก้าวสู่ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาภายในปี 2588
เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างเวียดนามและ OECD นายกรัฐมนตรีได้ขอให้เลขาธิการ สั่งการคณะกรรมการพิเศษขององค์กรได้แบ่งปันความเชี่ยวชาญ ให้คำแนะนำด้านนโยบาย และช่วยเหลือเวียดนามในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการกำกับดูแลระดับโลกของ OECD
นอกจากนี้ยังขอให้ OECD สนับสนุนเวียดนามในการเตรียมและเผยแพร่รายงานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจะเป็นข้อมูลอ้างอิงที่จำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายระยะยาว
นายกรัฐมนตรีจิ๋งยังขอให้ OECD พิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD ก่อนกำหนดของเวียดนาม และพิจารณาให้ผู้เชี่ยวชาญชาวเวียดนามได้ร่วมอยู่ในสำนักเลขาธิการของ OECD พร้อมยืนยันว่าเวียดนามจะปฏิบัติตามกระบวนการ มาตรฐาน และเงื่อนไขที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการเป็นสมาชิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการบูรณาการกับเศรษฐกิจโลกให้ลึกยิ่งขึ้น และมีส่วนร่วมมากขึ้นต่อสันติภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนาระหว่างประเทศ
ด้านนายคอร์มันน์ยอมรับว่าเวียดนามเป็นเศรษฐกิจที่มีพลวัตและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีบทบาทสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก และกล่าวว่า OECD พร้อมที่จะกระชับความร่วมมือกับเวียดนาม และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนผ่านการให้คำแนะนำและความช่วยเหลือด้านนโยบาย รวมถึงการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของเวียดนาม
นายคอร์มันน์ตกลงที่จะอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมของเวียดนามในปฏิญญา OECD ว่าด้วยการลงทุนระหว่างประเทศและกิจการของบรรษัทข้ามชาติ และตราสารที่เกี่ยวข้อง(OECD Declaration on International Investment and Multinational Enterprises) นอกจากนี้ยังให้คำมั่นที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการพิเศษของ OECD และกระทรวงและหน่วยงานของเวียดนาม เพื่อให้ความร่วมมือมีประสิทธิผลมากขึ้น
ในรายงานล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา OECDคาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงของเวียดนามจะยังคงแข็งแกร่งที่ 6.5% ทั้งในปี 2568 และ 2569 และมีมุมมองทางบวกว่าการบริโภคภาคเอกชนของเวียดนามจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในด้านค่าจ้างและการจ้างงานที่แท้จริง นอกจากนี้ การลงทุนคาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายภาครัฐที่วางไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น
ความร่วมมือของเวียดนามกับ OECD ได้ขยายออกไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความคิดริเริ่มที่สำคัญที่ให้ผลประโยชน์ต่างๆ แก่ทั้งสองฝ่าย OECD มีส่วนร่วมกับเวียดนามผ่านโครงการเฉพาะประเทศและโครงการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Regional Programme:SEARP) การมีส่วนร่วมนี้รวมถึงการมีส่วนร่วมในหน่วยงาน OECD ดำเนินการทบทวนนโยบายเฉพาะประเทศ บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องลงในฐานข้อมูล OECD ดำเนินการฝึกการเปรียบเทียบ และปฏิบัติตามเครื่องมือของ OECD
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามและ OECD ได้ร่วมมือกันจัดทำรายงานและสิ่งพิมพ์เฉพาะประเทศหลายฉบับ ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ Multi-Dimensional Review of Vietnam ที่ตีพิมพ์ในปี 2563 และรายงาน SME and Entrepreneurship Policy ที่เผยแพร่เมื่อต้นปี 2564 ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเวียดนามในปี 2564-2568
ในปี 2564 เวียดนามและ OECD ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อกระชับความร่วมมือในช่วงปี 2565-2569 ซึ่งเป็นบันทึกความเข้าใจฉบับแรกที่ลงนามระหว่างกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อวางกรอบความร่วมมือในอนาคต และปูทางไปสู่โครงการระดับประเทศของ OECD กับเวียดนาม
ภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว OECD ให้คำมั่นที่จะช่วยเหลือเวียดนามในการริเริ่มการปฏิรูปในด้านต่างๆ เช่น การแข่งขัน การลงทุน และนโยบายภาษี ซึ่งได้มีการจัดตั้งความร่วมมือขึ้นแล้ว นอกจากนี้ OECD จะสนับสนุนรายงานเฉพาะประเทศและช่วยเหลือในการติดตามผลการทบทวนนโยบายการเงินและการลงทุนพลังงานสะอาดของ OECD สำหรับเวียดนาม
ในเดือนกรกฎาคม 2566 อินโดนีเซียเป็นประเทศอาเซียนประเทศแรกที่สมัครเป็นสมาชิก OECD ต่อมาในเดือนเมษายน 2567 ประเทศไทยได้ยื่นคำขอเข้าเป็นสมาชิก OECD ความเคลื่อนไหวด้านการแข่งขันนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติ เนื่องจากเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศเหล่านี้ และส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพลวัตการกำกับดูแลระดับโลก ทำให้ประเทศเหล่านี้เข้าถึงและมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น
อินโดนีเซียเป็น ‘พันธมิตรสำคัญของ OECD’ ตั้งแต่ปี 2550 ร่วมกับบราซิล จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ โดยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานประจำวันของ OECD และการหารือเชิงนโยบาย ประเทศไทยก็รักษาความสัมพันธ์ความร่วมมือกับ OECD มานานกว่าสองทศวรรษ
เวียดนามเติบโตเร็วที่สุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2569

โดยธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของเวียดนามที่ 6.3% ในปี 2569 แม้ว่าจะต่ำกว่าการคาดการณ์ครั้งก่อน 0.2% แต่เวียดนามก็คาดว่าจะเป็นผู้นำของภูมิภาคในด้านการเติบโตของ GDP และอาจแซงหน้าเศรษฐกิจหลักๆ เช่น มองโกเลีย (6.1%) ฟิลิปปินส์ (6%) ไทย (5.1%) และจีน (4%)
โดยรวมแล้ว ธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) จะค่อยๆ ลดลงในปีต่อๆ ไป จาก 4.6% ในปี 2568 เป็น 4.1% ในปี 2569 โดยสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
หากไม่รวมจีน เศรษฐกิจ EAP คาดว่าจะรักษาอัตราการเติบโตได้ที่ 4.7% ในปี 2569 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่ง
ในปี 2567 การเติบโตของเศรษฐกิจ EAP ไม่รวมจีนคาดว่าจะอยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงกว่า 4.3% ในปี 2566 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการค้า การท่องเที่ยวภายในประเทศ และอุปสงค์ภายใน
ธนาคารโลกย้ำว่าเวียดนามมีความโดดเด่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ด้วยความสามารถในการส่งออกที่แข็งแกร่ง
ในระยะสั้น ธนาคารโลกเตือนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นสำหรับภูมิภาค สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนของการค้าโลกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นและอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อแนวโน้มการเติบโตของภูมิภาค
ธนาคารโลกคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ 2.7% ทั้งปี 2568 และ 2569 ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตในปี 2567
เวียดนามวางแผนสร้างรถไฟความเร็วสูงเหนือ-ใต้ใน 10 ปี

รัฐบาลเวียดนามวางแผนที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ-ใต้ให้แล้วเสร็จภายใน 10 ปี ขณะที่ให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงห์จิ๋ง กล่าว
โครงสร้างพื้นฐานเป็นหนึ่งในเสาหลักของเวียดนามในการบรรลุการเติบโตของ GDP ขั้นต่ำที่ 8% ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็นเลขสองหลักในปีต่อๆ ไป นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงห์จิ๋ง กล่าวในการประชุม National Strategy Dialogue ที่ World Economic Forum ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568
ดังนั้น เวียดนามจึงวางแผนที่จะสร้างทางรถไฟให้แล้วเสร็จภายใน 10 ปี และเริ่มก่อสร้างเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อกับจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชียกลางและยุโรปในปีนี้
เมื่อเดือนพฤศจิกายน สมัชชาแห่งชาติอนุมัติแผนการเชื่อมโยงรถไฟความเร็วสูง โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1.7 พันล้านเวียดนามด่อง (67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
เส้นทางนี้มีระยะทาง 1,541 กิโลเมตร จะวิ่งระหว่างฮานอยและนครโฮจิมินห์ ผ่าน 20 พื้นที่ และจะมีรางขนาด 1,435 มิลลิเมตร ซึ่งออกแบบมาเพื่อความเร็ว 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมทั้งจะมีสถานีผู้โดยสาร 23 แห่ง และสถานีขนส่งสินค้า 5 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการทั้งพลเรือนและทหาร โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2570
นายกรัฐมนตรี จิ๋ง กล่าวถึงการทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ และทางด่วนให้เสร็จสมบูรณ์ เฉพาะปีนี้เพียงปีเดียวคาดว่าจะสร้างทางด่วนอย่างน้อย 3,000 กิโลเมตร
งานเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ 3 ด้านของเวียดนาม ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูปสถาบัน และทรัพยากรมนุษย์
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จุดแข็งในประเทศจะถูกนำมาใช้ประโยชน์ รวมถึงทุนมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็สำรวจโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาทางทะเลและอวกาศ
“เวียดนามมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นไปที่ผู้คนมากกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว โดยเป็นผู้บุกเบิกในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษขององค์การสหประชาชาติก่อนกำหนด”
ในการเจรจา ผู้นำธุรกิจระหว่างประเทศชื่นชมความมุ่งมั่นของเวียดนามในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุน และคาดหวังสิ่งจูงใจสำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการก๊าซธรรมชาติเหลว และผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้ากับตลาดสำคัญๆ
เวียดนามพร้อมที่จะเริ่มโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นิญถ่วนอีกครั้ง และมีเป้าหมายที่จะแล้วเสร็จภายใน 5 ปี นายกรัฐมนตรีจิ๋งกล่าวและว่า มีความมั่นใจว่าด้วยการผสมผสานพลังงานที่หลากหลายซึ่งผสมผสานนิวเคลียร์ พลังงานทดแทน (ลมและแสงอาทิตย์) และแหล่งและการนำเข้าอื่นๆ เวียดนามจะสามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าได้
“จะไม่มีการขาดแคลนพลังงานในเวียดนาม”
เพื่อปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตและบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในปี 2573 และ 2588 เวียดนามกำลังฟื้นฟูปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแบบดั้งเดิม เช่น การลงทุน การส่งออก และการบริโภค แต่กลไกการเติบโตใหม่ๆ เช่น ดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียวและการแบ่งปัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ก็กำลังได้รับความสำคัญเช่นกัน
นายกรัฐมนตรีจิ๋งเชิญพันธมิตรและนักลงทุนให้ร่วมมือกับเวียดนามในการปรับปรุงสถาบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยี
โดยได้บอกกับรองนายกรัฐมนตรีจีน ติง เสวี่ยเซียง ว่าเวียดนามให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับจีนเป็นอันดับแรก และเสนอความร่วมมือในด้านการเงิน เทคโนโลยี และการฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างการเชื่อมโยงทางรถไฟมาตรฐานระหว่างจังหวัดหล่าวกายบริเวณชายแดนจีน ฮานอย และเมืองท่าไฮฟอง โดยเริ่มต้นในปีนี้ และยังมีการวางแผนสร้างทางรถไฟเชื่อมอีกแห่งเพื่อปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดกว๋างนิงห์ทางตอนเหนือและไฮฟอง
นายกรัฐมนตรียังแสวงหาความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านที่จีนมีความเป็นเลิศ เช่น big data การประมวลผลแบบคลาวด์ เทคโนโลยีควอนตัม และจุลชีววิทยา
ในการเจรจากับเลขาธิการกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ(Gulf Cooperation Council) จาเซม โมฮาเหม็ด อัลบูไดวี นายกรัฐมนตรีจิ๋งได้เรียกร้องให้ธุรกิจและกองทุนของ GCC เสริมสร้างความร่วมมือและแบ่งปันความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยเวียดนามพัฒนาศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ
ตามแผนของรัฐบาล ศูนย์กลางการเงิน ในนครโฮจิมินห์และดานัง มีกำหนดเปิดดำเนินการภายในปี 2568 โดยวางตำแหน่งเวียดนามให้เป็นผู้นำในภูมิภาคและเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก
ภาคเหมืองแร่ลาวดึงการลงทุนกว่า 2.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 บุนยง สีดาวง อธิบดีกรมจัดการเหมืองแร่ เปิดเผยข้อมูลระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นที่เวียงจันทน์ ระหว่างวันที่ 20 ถึง 21 มกราคม เพื่อประเมินวิสัยทัศน์ของประเทศในปี 2583 และยุทธศาสตร์การพัฒนาแร่ปี 2573
ปัจจุบัน ลาวได้อนุมัติบริษัท 244 แห่งให้ดำเนินกิจกรรมสำรวจและแปรรูปเหมืองแร่ทั่วประเทศ ครอบคลุม 378 โครงการ ในจำนวนนี้ มีบริษัท 85 แห่งที่มีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการสำรวจและการแปรรูปแร่ ขณะที่ 58 บริษัทอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างโรงเรือน โรงงาน
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท 76 แห่งที่มีส่วนร่วมในโครงการนำร่องการขุด โดยบางแห่งอยู่ในขั้นตอนเปลี่ยนผ่านไปดำเนินการตามปกติ
ในปี 2567 การลงทุนรวมในการผลิตแร่มีมูลค่ากว่า 2.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.77% จากปี 2566 โดยยอดขายแร่และผลิตภัณฑ์แร่ทั้งในและต่างประเทศเติบโตมากยิ่งขึ้น โดยมีมูลค่ารวมกว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตัวเลขเหล่านี้เกินเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ปี 2567 ที่รัฐบาลกำหนดไว้อย่างมาก
บุนยงเน้นย้ำว่าการขยายตัวของภาคส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจของลาว ขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจว่ากิจกรรมภาคเหมืองแร่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ระยะยาวของประเทศ
ธุรกิจของจีนยังคงมีบทบาทสำคัญในภาคเหมืองแร่ของลาว จากการรายงานในระหว่างการประชุมธุรกิจลาว-จีนในเดือนพฤศจิกายน 2567 จีนยังคงเป็นคู่ค้าและผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในลาว โดยมีส่วนร่วมในโครงการมากกว่า 900 โครงการ มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในภาคส่วนต่างๆ โดยภาคเหมืองแร่มี 18 โครงการ
ตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทจีน คือ บริษัทเอเชีย-โปแตชอินเตอร์เนชั่นแนล(Asia-Potash International Company) ซึ่งเป็นผู้ผลิตปุ๋ยโปแตชรายใหญ่ที่สุดในลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2567 บริษัทรายงานกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน และตั้งเป้าขยายเป็น 10 ล้านตันต่อปีในประเทศลาว ตอกย้ำบทบาทของบริษัทในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ระดับภูมิภาคในอุตสาหกรรมโปแตช
เพื่อขยายความร่วมมือ กรมธรณีวิทยาและแร่ของลาวและกรมธรณีวิทยาประจำมณฑลเหอหนานของจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 สำหรับโครงการจัดทำแผนที่ทางธรณีวิทยาและแร่ร่วมกัน ครอบคลุมพื้นที่ 1,454.73 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุม 3 จังหวัด เช่น หลวงพระบาง นครหลวงเวียงจันทน์ และไซยะบุรี
อินโดนีเซียสั่งปรับ Google 12.4 ล้านดอลลาร์ ฐานดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม

หน่วยงานดังกล่าวได้เริ่มการสอบสวน Google ซึ่งเป็นบริษัทลูก ของ Alphabet Inc ในปี 2565 โดยกังขาว่า Google ได้ใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิดโดยกำหนดให้นักพัฒนาแอปในอินโดนีเซียต้องใช้ Google Play Billing ในอัตราที่สูงกว่าระบบการชำระเงินอื่นๆ หรือลบใบหน้าออกจาก Google Play Store
คณะกรรมการพิจารณากล่าวในการพิจารณาคดีว่า ระบบลดรายได้ของนักพัฒนา เนื่องจากนำไปสู่การลดจำนวนผู้ใช้ และกล่าวว่า Google ถูกพบว่าฝ่าฝืนกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของอินโดนีเซีย
หน่วยงานพบว่า Google ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสูงถึง 30% ผ่าน Google Play Billing คณะกรรมการพิจารณากล่าว
Google ครองส่วนแบ่งการตลาด 93% ในอินโดนีเซียที่มีประชากร 280 ล้านคนซึ่งมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หน่วยงานกล่าว ด้านโฆษกของ Google กล่าวเมื่อวันพุธ(23 มกราคม) ว่าบริษัทจะอุทธรณ์คำตัดสิน
“แนวทางปฏิบัติในปัจจุบันของเราส่งเสริมระบบนิเวศของแอปอินโดนีเซียที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้” โฆษกกล่าว พร้อมเสริมว่ามีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามกฎหมายของอินโดนีเซีย
ก่อนหน้านี้ Google เคยกล่าวไว้ว่าได้ใช้ระบบที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเสนอทางเลือกการเรียกเก็บเงินอื่นแก่ผู้ใช้ได้
Google ถูกสหภาพยุโรปปรับมากกว่า 8 พันล้านยูโร (8.3 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฐานปฏิบัติต่อต้านการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับบริการเปรียบเทียบราคา ระบบปฏิบัติการมือถือ Android และบริการโฆษณา
กัมพูชาจับมือ Alibaba Cloud สิงคโปร์ พัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ

เจีน วันเดธ รัฐมนตรีกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ จอม นิมล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ อัลเลน จาง รองประธานบริษัท Alibaba Cloud (Singapore) Private Limited เป็นประธานในการลงนามใน “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ การส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและทักษะการตลาด” ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568
บันทึกความเข้าใจมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือ 4 ด้าน ได้แก่ (1) การสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ; (2) จัดให้มีการฝึกอบรมและเสริมสร้างศักยภาพในด้านการค้า ธุรกิจ และการตลาดดิจิทัล และ (3) การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตลาดการค้าภายในประเทศและเชื่อมโยงการค้าของกัมพูชากับตลาดการค้าระหว่างประเทศ
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นก้าวหนึ่งในการส่งเสริมภาคอีคอมเมิร์ซของกัมพูชา เพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการและช่างเทคนิคในการค้าภายในประเทศและธุรกิจดิจิทัล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของกัมพูชาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมจะสนับสนุนภาคการค้า โดยจัดหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับผู้ประกอบการท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จผ่านบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
โดยจะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์ ในด้านโลจิสติกส์และการจัดการการขนส่งผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลร่วม SuperApp เพื่อให้การขนส่งภายในประเทศและระหว่างประเทศราบรื่นและโปร่งใส
บันทึกความเข้าใจกับ Alibaba Cloud (Singapore) Private Limited จะช่วยเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ของกัมพูชาเข้ากับตลาดดิจิทัล สร้างโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่สำหรับผู้ประกอบการชาวกัมพูชา เข้าถึงลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ของกัมพูชาหลายล้านรายโดยตรง และช่วยให้สามารถขยายการดำเนินธุรกิจและรับมือกับความท้าทาย ของการเข้าถึงตลาดใหม่ จอม นิมล กล่าว
นอกจากนี้ ยังจะสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดิจิทัลรูปแบบใหม่ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง มอบโอกาสและเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจในท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ผู้ประกอบการในเศรษฐกิจนอกระบบ หรือธุรกิจอื่นๆ ที่จะมีโอกาสเท่าเทียมกันในการนำเสนอและขายผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแสดงความสามารถให้กับลูกค้าในประเทศและพัฒนาธุรกิจไปทั่วโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเสริม