ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup ท่าเรือของเวียดนามพร้อมรับเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ASEAN Roundup ท่าเรือของเวียดนามพร้อมรับเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

28 กรกฎาคม 2024


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 21-27 กรกฎาคม 2567

  • ท่าเรือของเวียดนามพร้อมรับเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
  • โฮจิมินห์วางแผนสร้างท่าเรือโดยสารระหว่างประเทศ 3 แห่งส่งเสริมการท่องเที่ยว
  • เวียดนามอนุมัติขายตรงพลังงานหมุนเวียน
  • เวียดนามจ่อทำรายได้ 5 พันล้านดอล์จากการส่งออกข้าวปี 2567
  • กัมพูชาเล็งพัฒนาจังหวัดชายฝั่งทะเลสู่ระเบียงเศรษฐกิจ
  • นายกฯกัมพูชาสั่งห้ามตั้งคาสิโนแห่งใหม่ในเมืองแกบ-กัมปอต
  • ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สั่งปิดคาสิโนออนไลน์

    ท่าเรือของเวียดนามพร้อมรับเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

    ท่าเรือโฮ จิมินห์ ซิตี้ ที่มาภาพ: https://vir.com.vn/ministry-of-finance-asks-ho-chi-minh-city-to-reconsider-seaport-fee-collection-policy-93416.html

    ระบบท่าเรือของเวียดนามพร้อมแล้วที่จะรองรับเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก และดึงดูดการดำเนินงานจากสายการเดินเรือระหว่างประเทศหลัก 40 สาย

    สำนักงานบริหารการเดินเรือเวียดนาม (Vietnam Maritime Administration:VINAMARINE) ระบุว่า จากท่าเรือทั้งหมด 34 แห่งของประเทศ มี 30 แห่งที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ ปัจจุบันเวียดนามมีท่าเรือ 3 แห่ง ได้แก่ โฮจิมินห์ซิตี้ ไฮฟอง และก๋ายแม๊บ-ถิหว่าย ที่ติดอันดับในท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ 50 อันดับแรกของโลก เมื่อวัดจากปริมาณสินค้าผ่านท่า

    นายเล โด๋เหมื่อย ผู้อำนวยการ VINAMARINE ชี้า การรองรับเรือขนาดใหญ่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทเดินเรืออย่างมีนัยสำคัญ ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของท่าเรือเวียดนาม จึงมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับท้องถิ่นและระดับภูมิภาค

    ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนเรือขนาดใหญ่ที่จอดเทียบท่าที่ท่าเรือที่ได้รับอนุมัติเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จาก 4,538 ลำในปี 2562 เป็น 5,474 ลำในปี 2566 นอกจากนี้ ในช่วงเดียวกัน ค่าธรรมเนียมการประกันการเดินเรือและค่าธรรมเนียมระวางน้ำหนักที่ท่าเรือที่จัดการเรือขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นจากเกือบ 2.78 ล้านล้านด่อง (111.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็น 3.45 ล้านล้านด่อง

    ในแง่ของปริมาณสินค้า ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการจัดการมากกว่า 427.64 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบเป็นรายปี สินค้าตู้คอนเทนเนอร์เพียงอย่างเดียวคาดว่าจะมีมากกว่า 14.39 ล้าน TEU(TWENTY FOOT EQUIVALENT UNIT:คอนเทนเนอร์ขนาดยี่สิบฟุต) เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบเป็นรายปี

    นายเหมื่อย ชี้ถึงแผนอุตสาหกรรมในปัจจุบันรวมถึงการพัฒนาท่าเรือหลักเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ ภาคการเดินเรือจะทบทวนความเป็นไปได้ของท่าเรือเก่าที่รองรับเรือขนาดใหญ่ ประเมินความปลอดภัย และดำเนินการตามกฎระเบียบที่จำเป็น

    VINAMARINE ได้เสนอผลการศึกษาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการรองรับเรือขนาดใหญ่ที่ท่าเรือของเวียดนาม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับขั้นตอนและวิธีการที่เป็นมาตรฐานเพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เหงียน ซวน ซาง กล่าวว่ การขยายการขนส่งทางทะเลและทางน้ำไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาสีเขียวของรัฐบาล ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของเวียดนามในการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP26) ครั้งที่ 26

    โฮจิมินห์วางแผนสร้างท่าเรือโดยสารระหว่างประเทศ 3 แห่งส่งเสริมการท่องเที่ยว

    เรือท่องเที่ยวที่ท่าเรือหญ่าหล่องคั้นโห่ย ที่มาภาพ:https://en.vietnamplus.vn/hcm-city-plans-to-build-three-intl-passenger-terminals-to-boost-tourism-post290635.vnp
    นครโฮจิมินห์วางแผนที่จะสร้างท่าเรือโดยสารระหว่างประเทศ 3 แห่งในเขตเมืองชายฝั่ง เกิ่น เส่อ, มุย เดน โด่ และท่าเรือเบ๊น เง้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันการพัฒนาการขนส่งทางน้ำและดึงดูดนักท่องเที่ยว

    นายบุย ฮวา อัน รองผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งเทศบาลกล่าวว่า ท่าเรือโดยสารระหว่างประเทศ 3 แห่ง ได้รวมไว้ในโครงการปรับปรุงการวางแผนทั่วไปของเมืองจนถึงปี 2040 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2060 ซึ่งเตรียมเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเร็วๆ นี้

    โดยชี้ว่า ท่าเทียบเรือที่จะสร้างขึ้นในเขตเมืองชายฝั่ง เกิ่น เส่อ จะสามารถรองรับเรือที่มีระวางน้ำหนักรวมได้มากถึง 100,000 ตัน (GT:GROSS TONNAGE โดยท่าเรือใน มุย เดน โด่ สามารถรองรับเรือได้มากถึง 60,000 GT และใน ท่าเรือเบ๊น เง้ จะรองรับเรือขนาดไม่เกิน 30,000 GT ท่าเทียบเรือโดยสารเหล่านี้จะติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่ทันสมัย ​​รวมถึงมีบริเวณท่าเรือเป็นสัดส่วน โซนต้อนรับที่หรูหรา ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง และบริการความบันเทิงเพื่อยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว

    นครโฮจิมินห์ซึ่งมีแนวชายฝั่งยาว 23 กิโลเมตร และเครือข่ายแม่น้ำและลำคลองที่หนาแน่น ถือเป็นศักยภาพที่สำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการท่องเที่ยวทางน้ำในเมือง

    แม่น้ำไซ่ง่อนยาว 80 กิฌลเมตร เป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมือง สามารถรองรับเรือเดินทะเลและเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ได้ และเชื่อมต่อเมืองกับพื้นที่อื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้และบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง และกัมพูชา

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เรือโดยสารระหว่างประเทศที่เดินทางมายังนครโฮจิมินห์ต้องเทียบท่าที่ท่าเรือขนส่งสินค้า เช่น ท่าเรือหญ่าหล่องคั้นโห่ย และท่าเรือ เฮียปฟุก ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวกในการเทียบท่าโดยเฉพาะ เป็นอุปสรรคต่อเส้นทางเดินเรือหลายสายในการนำนักท่องเที่ยวมายังโฮจิมินห์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และร้านค้าปลีก

    สำนักงานการท่องเที่ยวประเมินว่านักท่องเที่ยวล่องเรือใช้จ่ายเฉลี่ย 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่

    เวียดนามอนุมัติขายตรงพลังงานหมุนเวียน

    โซลาร์ ฟาร์มในจังหวัด บินห์ ฟุก ทางตอนใต้ของเวียดนาม ที่มาภาพ:https://theinvestor.vn/vietnam-allows-direct-renewable-power-purchases-starting-july-3-d11033.html
    รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติกลไกข้อตกลงซื้อไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreement:DPPA) ที่ช่วยให้ผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนขายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้รายใหญ่่โดยตรง ในประกาศคำสั่งที่ลงนามโดยรองนายกรัฐมนตรี เจิ่น ฮอง ฮา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ซึ่งมีผลในวันเดียวกัน และเอกสารรายละเอียดที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม

    โดยให้คำจำกัดความของผู้ใช้รายใหญ่ว่าคือ ผู้ที่ใช้พลังงานโดยเฉลี่ยอย่างน้อย 200,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อเดือนในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทที่ใช้พลังงานไม่ถึง 12 เดือนจะถือเป็นผู้บริโภครายใหญ่หากพวกเขาใช้ไฟฟ้าอย่างน้อย 200,000 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อเดือน

    ภายใต้ประกาศคำสั่งนี้ พลังงานหมุนเวียนประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำขนาดเล็ก พลังงานชีวมวล พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานคลื่นทะเล พลังงานน้ำขึ้นน้ำลง พลังงานกระแสน้ำในทะเล และพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา

    ประกาศคำสั่งเน้นการซื้อไฟฟ้า 2 ประเภท คือ การซื้อไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าเอกชน หรือผ่านโครงข่ายแห่งชาติ แนวทางแรกผู้ขายและผู้บริโภคสามารถต่อรองราคาได้ด้วยตนเอง

    เงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติ เน้นที่ผู้พัฒนาพลังงานทดแทนที่มีกำลังผลิตไม่ต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการเชื่อมต่อไฟฟ้าอย่างน้อย 22 กิโลโวลต์ และผู้ค้าปลีกไฟฟ้า (ภายในสวนอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจ เขตแปรรูปส่งออก คลัสเตอร์อุตสาหกรรม สวนเกษตรไฮเทค สวนเกษตรกรรมไฮเทค) ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บริโภครายใหญ่ให้ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN)

    เงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติ เน้นที่ผู้พัฒนาพลังงานทดแทนที่มีกำลังผลิตไม่ต่ำกว่า 10 เมกะวัตต์ ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการเชื่อมต่อไฟฟ้าอย่างน้อย 22 กิโลโวลต์ และผู้ค้าปลีกไฟฟ้า (ภายในนิคมอุตสาหกรรม เขตเศรษฐกิจ เขตแปรรูปส่งออก คลัสเตอร์อุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมเกษตรกรรมไฮเทค) ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใช้รายใหญ่ให้ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity:EVN)

    ผู้พัฒนาพลังงานทดแทนจะต้องจัดทำรายงานรายวันเกี่ยวกับการผลิต เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลการไฟฟ้าสามารถจัดการโรงไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม

    ในกรณีที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่ำกว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าของผู้พัฒนาไฟฟ้าในช่วงเวลาหนึ่ง ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องชำระค่าธรรมเนียมให้ EVN และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งไฟฟ้า การจัดการ การสูญเสียพลังงานไฟฟ้าบนโครงข่าย และปัจจัยอื่นๆ

    ในกรณีที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าผลผลิตของผู้พัฒนาไฟฟ้าในช่วงเวลาหนึ่ง การจ่ายเงินจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้นในส่วนของพลังงานหมุนเวียน สำหรับส่วนที่เหลือ จะใช้ราคาขายปลีกที่กำหนดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสำหรับพลังงานที่จัดหาโดย EVN

    คำสั่งของกระทรวงที่ 2941 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 ราคาไฟฟ้าขายปลีกสำหรับธุรกิจการผลิตอยู่ในช่วงระหว่าง 1,044 ด่องเวียดนามถึง 3,314 ด่องเวียดนาม (4.1-13 เซ็นต์สหรัฐ) ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับการที่ตั้งที่แตกต่างกัน

    เวียดนามจ่อทำรายได้ 5 พันล้านดอล์จากการส่งออกข้าวปี 2567

    ที่มาภาพ: https://vietnamnet.vn/en/ministry-building-long-term-strategy-on-rice-exports-market-stabilisation-2178636.html
    นาย วู ถ่วน แองห์ ซีอีโอของบริษัท GLE ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวกล่าวว่า การส่งออกข้าวอาจสร้างสหรัฐรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 5 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ หากอัตราการขนส่งยังคงเหมือนเดิม เนื่องจากยังมีโอกาสอีกมากสำหรับการส่งออกข้าวของเวียดนาม จากความต้องการข้าวที่สูงของผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน และแอฟริกา

    กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ระบุว่า อินโดนีเซียนำเข้าข้าว 2.2 ล้านตันในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 และวางแผนที่จะนำเข้าเพิ่มเติมอีก 2.1 ล้านตันในช่วงเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม

    นายแองห์ กล่าวว่า อินโดนีเซียอาจจะนำเข้าข้าวได้มากถึง 4.3 ล้านตันในปี 2567 หากผลผลิตพืชของประเทศต่ำกว่าที่คาดการณ์เนื่องจากภัยแล้ง น้ำท่วม หรือศัตรูพืช ซึ่งจะเป็นโอกาสสำหรับผู้ส่งออกข้าวของเวียดนาม เนื่องจากคุณภาพของข้าวเวียดนามอยู่ในระดับสูงสุดโลกรายหนึ่ง

    นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่ดีที่จะส่งออกข้าวไปยังฟิลิปปินส์ ซึ่งนำเข้าข้าวจากเวียดนามมากกว่า 1.7 ล้านตันในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ และคาดว่าความต้องการจะยังคงทรงตัวในช่วงเดือนที่เหลือของปี

    ข้อมูลของกรมศุลกากรเวียดนามแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงกลางเดือนกรกฎาคม เวียดนามขนส่งข้าวมากกว่า 4.8 ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อยู่ที่ 612.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

    นายเหงียน หง็อก นัม ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม ยืนยันว่าความต้องการข้าวในโลกยังคงมีมหาศาล โดยตลาดดั้งเดิม เช่น จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นผู้นำเข้าข้าวเวียดนามรายใหญ่ สมาคมได้แนะนำข้าวเวียดนามสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น แอฟริกาและตะวันออกกลาง

    กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทกล่าวว่า ผลผลิตข้าวเปลือกของเวียดนามคาดว่าจะสูงถึงกว่า 43 ล้านตันในปี 2567 ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและความต้องการส่งออกข้าวเปลือกที่มากกว่า 8 ล้านตัน

    กัมพูชาเล็งพัฒนาจังหวัดชายฝั่งทะเลสู่ระเบียงเศรษฐกิจ

    เมืองกัมปอต กัมพูชา ที่มาภาพ: https://eacnews.asia/home/details/29749

    รัฐบาลกัมพูชาได้จัดเตรียมแผนแม่บทที่ครอบคลุมโดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนจังหวัดชายฝั่งทะเลของประเทศให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจอเนกประสงค์ ที่คึกคักและเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชายหาดระดับโลก

    แผนใหม่นี้มีชื่อว่า แผนแม่บทเพื่อการพัฒนาจังหวัดชายฝั่งของกัมพูชาในฐานะระเบียงเศรษฐกิจอเนกประสงค์และหน่วยเชื่อมต่อ(Master Plan for the Development of Cambodia’s Coastal Provinces as a Multi-Purpose Economic Corridor and Cell Interface) เป็นวาระสำคัญในระหว่างการประชุมครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการประสานงานระหว่างกระทรวงเพื่อการวางแผนพัฒนาจังหวัดชายฝั่งของกัมพูชา ซึ่งมี ดร.อูน พรโมนิโรธ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังเป็นประธาน และมีเจ้าหน้าที่อาวุโสจากกระทรวงและสถาบันต่างๆ ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัดสีหนุวิลล์ กัมปอต เกาะกง และแกบ เข้าร่วม

    ซือหม่า เซียว ผู้อำนวยการสถาบันการวางผังเมืองและการออกแบบแห่งเซินเจิ้น (UPDIS) เป็นผู้นำทีมในการวางแผน

    แผนแม่บทวางการพัฒนาจังหวัดชายฝั่งทะเลของกัมพูชา ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชายหาดระดับโลก ที่สามารถแข่งขันกับจุดหมายปลายทางชายหาดระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้ แผนดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การให้บริการการท่องเที่ยวอย่างมืออาชีพและเสริมสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อน

    แผนยังเน้นการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวในภูมิภาค ส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียว แนวทางปฏิบัติทางการเกษตรที่ยั่งยืน และการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    ในระหว่างการประชุม ร่างแผนแม่บทได้รับการทบทวนอย่างรอบคอบ โดยมีผู้เข้าร่วมเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขเพื่อให้แผนมีความครอบคลุมและสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล

    ดร.อูน เน้นย้ำถึงความสำคัญของแผนใหม่ในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความน่าดึงดูดของจังหวัดชายฝั่งทะเลของกัมพูชา โดยชี้ให้เห็นถึงบทบาทของสีหนุวิลล์ในฐานะต้นแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาคในวงกว้าง

    แผนแม่บทนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและศักยภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัดชายฝั่งทะเล เพื่อสร้างระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงถึงกันและเสริมกัน รวมถึงการประเมินโดยละเอียดเกี่ยวกับการบริหารงาน โครงสร้างพื้นฐานด้านการจราจร ภูมิประเทศ การพัฒนาที่ดิน ประชากร และความพร้อมของทรัพยากรในแต่ละจังหวัด

    แผนดังกล่าวยังวางแนวทางเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมทั่วทั้งภูมิภาค

    นายกฯกัมพูชาสั่งห้ามตั้งคาสิโนแห่งใหม่ในเมืองแกบ-กัมปอต

    ที่มาภาพ: https://eacnews.asia/home/details/29749

    นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต ได้สั่งห้ามการจัดตั้งคาสิโนใหม่ในจังหวัดแกบและกัมปอต ยกเว้นบริเวณภูเขา(Bokor Mountain)ซึ่งเปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันกัมพูชามีสถานประกอบการพนันที่ได้รับใบอนุญาตทั้งหมด 184 แห่งทั่วประเทศ

    นายฮุน มาเน็ต ระบุว่าการห้ามรีสอร์ทพนันใหม่ในพื้นที่เหล่านี้เพื่อ กระจายการลงทุนในโรงแรมและการต้อนรับ การท่องเที่ยว การผลิต อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การค้า และเขตเศรษฐกิจพิเศษ

    ในหนังสือดังกล่าวระบุว่า คำสั่งห้ามยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างและส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและศาสนา การดูแลความปลอดภัย และยกระดับความสงบเรียบร้อยในสถานที่ท่องเที่ยว

    ปัจจุบันคาสิโนส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเล (100 แห่ง รวมถึงคาสิโนบนภูเขาโบกอร์ในกัมปอต) มี 48 แห่งในจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย และ 35 แห่งตามแนวชายแดนติดกับเวียดนาม ขณะที่พนมเปญมี 1 แห่ง ตามตัวเลขที่เผยแพร่โดยคณะกรรมการบริหารจัดการการพนันเชิงพาณิชย์ของกัมพูชา (Commercial Gambling Management Commission of Cambodia:CGMC)

    มาตรา 19 ของกฎหมายว่าด้วยการจัดการการเล่นเกมเชิงพาณิชย์(Law on Management of Commercial Gaming) ซึ่งประกาศใช้ในปี 2020 ห้ามมิให้มีสถานประกอบการพนันในสถานที่ทางภูมิศาสตร์บางแห่ง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและศาสนาหรือความจำเป็นอื่น ๆ

    อย่างไรก็ตาม คาสิโนที่สร้างขึ้นในบางพื้นที่ก่อนที่จะมีการบังคับใช้กฎหมายถือเป็นข้อยกเว้น ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 20

    กฎหมายเดียวกันนี้ห้ามชาวกัมพูชาทุกคนเล่นการพนันในคาสิโน แม้ว่าการพนันทุกรูปแบบจะผิดกฎหมายหากเล่นนอกคาสิโนก็ตาม

    ในปี 2023 รายได้ของรัฐจากเกมเสี่ยงโชคเชิงพาณิชย์เกิน 20 ล้านดอลลาร์

    ยง กิมเอ็ง ประธานศูนย์ประชาชนเพื่อการพัฒนาและสันติภาพ กล่าวว่า คาสิโนไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศมากนัก ในทางตรงกันข้าม นี้อาจทำให้บางคนมีหนี้สิน แม้ว่ากฎหมายจะห้ามไม่ให้คนในพื้นที่เข้าร่วมก็ตาม

    ในความเห็นของเขา รัฐบาลควรคงไว้แต่สถานประกอบการที่มีอยู่ เช่น ในเมืองสีหนุวิลล์ เมืองบาเวต ในจังหวัดสวายเรียง และเมืองปอยเปต ในบันเตียเมียนเจย

    ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สั่งปิดคาสิโนออนไลน์

    ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ที่มาภาพ:เพจ Office of the President
    ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ของฟิลิปปินส์ ได้สั่งให้ปิดเครือข่ายคาสิโนออนไลน์ที่แผ่ขยายออกไป ซึ่งเชื่อมโยงกับกิจกรรมทางอาญาจำนวนมาก

    เครือข่ายคาสิโนออนไลน์ รู้จักกันในประเทศ POGOs ย่อมาจาก Philippine Offshore Gaming Operators คาสิโนออนไลน์เหล่านี้ส่วนใหญ่ให้บริการผู้เล่นในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งการพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ยังพบว่ามีการใช้ POgos มากขึ้นเพื่อปกปิดกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ตั้งแต่การหลอกลวงทางโทรศัพท์ไปจนถึงการค้ามนุษย์

    POGOs ขยายตัวภายใต้ประธานาธิบดีคนก่อนคือนาย โรดริโก ดูเตอร์เต ซึ่งผลักดันความสัมพันธ์ฉันมิตรกับจีนระหว่างดำรงตำแหน่ง

    ในการแถลงประจำปีต่อรัฐสภาเมื่อวันจันทร์(22 ก.ค.) นายมาร์กอสประกาศว่า “การละเมิดอย่างร้ายแรงและการดูหมิ่นระบบกฎหมายของเราจะต้องยุติลง”

    “การแฝงตัวเป็นนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย การดำเนินงานของพวกเขาได้รุกเข้าไปในพื้นที่ผิดกฎหมาย ไปไกลกว่าการพนัน เช่น การหลอกลวงทางการเงิน การฟอกเงิน การค้าประเวณี การค้ามนุษย์ การลักพาตัว การทรมานอย่างโหดร้าย แม้กระทั่งการฆาตกรรม” ประธานาธิบดีมาร์คอสกล่าว

    เมื่อวันอังคาร(23 ก.ค.) หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจพนันของฟิลิปปินส์กล่าวว่าจะยกเลิกใบอนุญาตของ Pogos และปิดกิจการภายในสิ้นปีนี้

    อุตสาหกรรม POGO มีทั้งที่มีใบอนุญาตกว่า 400 ใบและไม่มีใบอนุญาต จ้างพนักงานกว่า 40,000 คนทั้งทางตรงและทางอ้อม ตามการประมาณการของรัฐบาล

    อุตสาหกรรมนี้นำรายได้ประมาณ 166.5 พันล้านเปโซ (2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.2 พันล้านปอนด์) ต่อปี โดยเป็นรายได้จากภาษีและการพนัน ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจโดยประมาณที่ 266 พันล้านเปโซต่อปี

    ความเชื่อมโยงระหว่าง Pogos และกลุ่มอาชญากรที่ถูกกล่าวหานั้น ได้รับความสนใจไปทั่วประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากที่พบว่า Pogo ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นแนวหน้าของศูนย์กลางการหลอกลวง

    อลิซ กัว นายกเทศมนตรีเมืองถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของจีน และเชื่อว่ากำลังซ่อนตัวอยู่

    Pogos ยังเชื่อมโยงกับโรงพยาบาลลับ โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่าโรงพยาบาลดังกล่าวให้บริการแก่ผู้ที่ทำงานในคาสิโนออนไลน์ โดยให้บริการศัลยกรรมพลาสติกแก่ผู้หลบหนีและผู้ที่ทำงานในศูนย์คอลล์ เซ็นเตอร์ เพื่อช่วยให้พวกเขาหลบเลี่ยงการจับกุม

    การแถลงต่อรัฐสภาของประธานาธิบดีมาร์คอส ส่งผลให้สมาชิกรัฐสภาลุกขึ้นยืนและปรบมือยกย่องทั่วทั้งสภา

    วุฒิสมาชิก ริซา ฮอนติเวรอส ซึ่งเป็น ผู้นำการตรวจสอบในสภาสูงเกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยง POGO กับองค์กรอาชญากรรม กล่าวว่าการสั่งการของประธานาธิบดีมาร์กอสว่าเป็น “ชัยชนะของคนทั้งชาติ”

    “POGO ได้นำความเจ็บป่วยทางสังคมนับไม่ถ้วนเข้ามาในประเทศ” เธอกล่าวในแถลงการณ์

    “ไม่มีปัญหาในการปิด POGO เพราะว่าสามารถใช้เรื่องความมั่นคงของชาติและคำสั่งของประธานาธิบดีได้” อเลฮานโดร เท็งโก ประธาน Philippine Amusement and Gaming Corp (PAGCOR) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัดสำนักงานของประธานาธิบดีกล่าว

    อุตสาหกรรมเกมออนไลน์เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ในปี 2559 และเติบโตอย่างทวีคูณเนื่องจากผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีตามกฎหมาย โดยมุ่งเป้าหมายลูกค้าในประเทศจีนที่การพนันจัดเป็นส่งที่ผิดกฎหมาย

    ในช่วงพีคมี POGO ถึง 300 แห่ง แต่การแพร่ระบาดและกฎเกณฑ์ด้านภาษีที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้หลายรายต้องย้ายที่ตั้งหรือลงไปให้บริการใต้ดิน ขณะนี้มีเพียง 42 บริษัทเท่านั้นที่ดำเนินกิจการโดยมีใบอนุญาต มีการจ้างแรงงานชาวฟิลิปปินส์และชาวต่างชาติทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 63,000 คน

    ความท้าทายสำหรับผู้บังคับใช้กฎหมายคือการป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านี้ดำเนินการใต้ดิน เท็งโก กล่าวและว่า รัฐบาลสูญเสียเงินประมาณ 23 พันล้านเปโซ (400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปีจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและภาษีจาก POGO

    อย่างไรก็ตามอาร์เซนิโอ บาลิซากัน รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนเศรษฐกิจกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า POGO มีส่วนใน GDP ไม่ถึงกว่า 0.5% และว่า “ประโยชน์ของการห้าม POGO มีมากกว่าต้นทุน”