“ชัชชาติ” แถลงผลงาน 2 ปี ใช้หนี้ BTS 2.3 หมื่นล้าน เอาผิดข้าราชการทุจริตไล่ออก 29 คน แก้น้ำท่วมลดไว 737 จุด เตรียมเพิ่ม 4 รพ.แห่งใหม่ ใช้ Traffy Fondue แก้ปัญหา 467,743 เรื่อง มั่นใจผลงานแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเปลี่ยนวิธีคิด เจ้าหน้าที่ “ยึดประชาชนคือเจ้านาย”

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงผลงานโอกาสการครบรอบ 2 ปี ภายใต้ชื่อ “2 ปี ทำงาน ‘เปลี่ยน ปรับ’ ยกระดับเมืองน่าอยู่” พร้อมทั้งแสดงวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน
นายชัชชาติกล่าวว่า “ทำงานครบ 2ปี ยังทำงานสนุก ซึ่งมารายงานให้เจ้านายคือประชาชน ถึงการทำงานที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงหรือไม่ ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าเที่ยว เที่ยวสนุก มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว 23-24 ล้านคน แต่หากมองในเรื่องความเป็นเรื่องน่าอยู่ ยังถือว่าเป็นเมืองที่มีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างมีคุณภาพ โดยมีต้นทุนและการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสม เช่น การเดินทางใช้เวลาเหมาะสม ต้นทุนไม่แพง หรือเรื่องของการเรียนหนังสือ เวลาในการเรียนเท่ากันได้คุณภาพและประสิทธิภาพเท่ากัน การเพิ่มบริการสาธารณสุข
“หัวใจสำคัญของการทำงานคือการเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของเมือง ให้ดีขึ้น มันจะนำมาซึ่งความน่าอยู่ต่างๆ เพราะสุดท้ายแล้วพอความน่าอยู่ขยับขึ้นเมืองก็จะดีขึ้นไปด้วย เศรษฐกิจจะดีขึ้น ซึ่งการทำงาน2 ปีที่ผ่านมา ผมเน้นในเรื่องประสิทธิภาพของเมือง เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น”

Traffy Fondue แก้ไขแล้ว 467,743 เรื่อง
นายชัชชาติ กล่าวว่า นโยบาย 200 กว่าโครงการ ส่วนใหญ่ได้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว เชื่อว่าสองปีที่ผ่านมา ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง และเปลี่ยนวิธีคิดของข้าราชการในการทำงาน โดยการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เจ้าหน้าที่ หันหลังให้ผู้ว่าฯ แต่หันหน้าให้กับประชาชน ซึ่งสิ่งที่สร้างความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาจากการใช้เทคโนโลยี ที่เรียกว่า Traffry Fondue เพื่อแจ้งเหตุ บอกพิกัด ให้เกิดการแก้ไข ซึ่งเป็นนโยบายที่ไม่ได้ใช้อำนาจในการแก้ไข ไม่เคยสั่ง แต่เป็นการแก้ปัญหาของเขตแต่ละเขต ที่ทำได้ด้วยตนเองตาม โดยยึดเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง
Traffy Fondue คือหนึ่งในตัวอย่างในการเปลี่ยนวิธีคิดเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยตัดขั้นตอนจากที่ต้องใช้เอกสารมากมายเปลี่ยนมาเป็นการออนไลน์ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่ง 2 ปีที่เปิดให้ประชาชนร้องเรียนความเดือดร้อนผ่าน Traffy Fondue ได้ลงมือแก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 467,743 เรื่อง จากที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 592,768 เรื่อง คิดเป็น78% อยู่ระหว่างแก้ไข 58,456 เรื่อง ส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 40,655 เรื่อง และติดตาม 11,545 เรื่อง
“2 ปีของการใช้ Traffy Fondue ผมไม่เคยออกคำสั่งเลย เพราะว่า เจ้าหน้าที่เห็นว่าประชาชนต้องการให้เข้าไปแก้ไข และ ไม่น่าเชื่อว่านับจากวันที่เราประกาศใช้เดือน 1 มิถุนายน 2565 วันแรกมีคนเข้ามาใชประมาณ 2 หมื่นเรื่อง ใช้เวลาในการแก้ปัญหา 2 เดือน แต่ปัจจุบัน ลดเวลาในการเข้าไปช่วยประชาชนได้ 97% คือ เหลือเพียง 2 วันก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างล่าสุดได้ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างที่ซอยประชาอุทิศ 17 เสร็จภายใน 1 วัน 12 ชั่วโมง หลังได้รับแจ้งจากประชาชนผ่านทาง Traffy Fondue ทางเท้าถนนบรรทัดทอง ซ่อมพื้นผิวเสร็จภายใน 4 วัน ซึ่งประชาชนพึงพอใจให้คะแนน 5 ดาวมา แต่ Traffy Fondue ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด จึงต้องพัฒนาการทำงานต่อ”
นายชัชชาติ กล่าวว่าเรื่องร้องเรียนที่มีจำนวนมากไม่ใช่จุดอ่อน เพราะสิ่งที่สะท้อนออกมาจากการร้องเรียนคือความไว้วางใจที่ประชาชนได้มอบให้ เพราะที่ผ่านมา Traffy Fondue ได้มีการใช้มานาน รัฐบาลเองก็เคยเอาไปใช้เมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะว่า คนไม่ใช้ เนื่องจากประชาชนอาจจะไม่ไว้ใจ เพราะฉะนั้นปัญหาการทำงานของพวกเราไม่ใช่เรื่องงบประมาณ แต่เป็นเรื่องความไว้วางใจ ระหว่าเรากับประชาชน ซึ่งเราเองก็ไม่ไว้วางใจประชาชน เพราะเวลาเขาร้องเรียนเข้ามา เราไม่ได้เข้าไปตรวจสอบแก้ไข
“Traffy Fondue คือเครื่องมือสร้างความไว้วางในการทำงานที่ผ่านมา กทม. เชื่อว่าสิ่งที่สะท้อนผ่านการร้องเรียนใน Traffy Fondue คือความเชื่อมั่นระหว่าง กทม.กับประชาชน ดังนั้น กทม. จึงมุ่งมั่นในการแก้ไขทุก ๆ ปัญหาที่ประชาชนแจ้งเข้ามาอย่างเต็มที่ และเชิญชวนชาว กทม. ทุกคนเพิ่ม Line OA “@TraffyFondue” ไว้เป็นเพื่อน”
ขณะนี้กิจกรรม “ผู้ว่าฯ สัญจร” อยู่ในช่วงของสัญจร วนซ้ำในรอบที่สองแล้ว หลังจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ พร้อมคณะผู้บริหาร ได้สัญจรเข้าไปประชุมร่วมกับหน่วยงานและลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหาของประชาชนในพื้นที่จนครบทั้ง 23 หน่วยงาน และ 50 เขตมาแล้ว ซึ่งในช่วง 2 ปีที่มี “ผู้ว่าฯ สัญจร” ได้มีข้อสั่งการให้แก้ไขปัญหาในพื้นที่ไป 1,779 รายการ มีการดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 1,251 รายการ ส่วนการลงพื้นที่ในรอบที่สองนี้จะเป็นการติดตามการแก้ไขปัญหาและรับฟังเสียงของประชาชนเพิ่มเติม เป็นการตอกย้ำแนวคิดของ กทม. ในยุคนี้ คือ “หันหลังให้ผู้ว่าฯ หันหน้าให้ประชาชน” ซึ่งมุ่งรับฟังความคิดเห็น รับรู้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาให้ได้มากที่สุด

ปรับมาตรฐานทางเท้า สร้างเมืองที่ดี เดินได้ดี
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่าเมืองที่ดี จะต้องเดินได้ดีด้วย มีประสิทธิภาพที่ดี กทม. มุ่งมั่นในการทำทางเท้าให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย โดยยึดมาตรฐานทางเท้าที่แข็งแรง คงทน และสวยงามด้วย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับปรุงทางเท้าไป 785 กม. และภายใน 4 ปีต้องปรับปรุงทางเท้าให้ดีขึ้น 1,600 กิโลเมตร
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดไฟส่องสวางบนถนน ทางเดิน เปลี่ยนหลอด LED จำนวน 85,000 ดวง และจัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด ทั้งยกเลิก ปรับเปลี่ยนหาที่ใหม่ให้
“แนวคิดเรื่องหาบเร่แผงลอย คือการหาจุดสมดุล หาที่ขายให้เขาให้เวลาเจรจาในการขยับขยายทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี เพราะถ้าเราไล่อย่างเดียวสุดท้ายก็จะเกิดปัญหาขัดแย้ง ปัญหาทางสังคมตามมา”
ส่วนจัดระเบียบสายสื่อสารที่รกรุงรังในถนนสายต่าง ๆ ซึ่งต้องทำงานร่วมกับหลายหน่วยงาน เราได้จัดระเบียบไปแล้วระยะทาง 627 กม. ซึ่งหมายความว่าเมืองเริ่มขยับได้ดีขึ้น
แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง 737 จุด น้ำลดไว สัญจรได้
ขณะที่การแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน นายชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาฝนตก น้ำไม่ระบาย เดินทางลำบาก ซึ่งอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มายาวนาน นับตั้งแต่มีการถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดสำคัญที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี 2567 อีก 190 จุด เน้นการระบายเร็วเพื่อให้สัญจรได้ ซึ่งเชื่อว่า การทำงานภายใน 4 ปี จะแก้ไขเรื่องนี้ได้ กว่า 80 %
“สิ่งที่เราทำคือการเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน โดยการล้างท่อระบายน้ำทำไปแล้ว 4,200 กม. ทำความสะอาดคลองเปิดทางน้ำไหล 1,960 กม. ขุดลอดคลอง 217 กม. พร้อมทั้งทำการบำรุงรักษาประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ ล้างอุโมงค์ระบายน้ำทุกแห่ง และตรวจสอบเครื่องสูบน้ำทุกเครื่องให้พร้อมใช้งาน”
ตัวอย่างบริเวณศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีการแก้ไขน้ำท่วมทุกมิติ 8 ขั้นตอน โดยส่วนที่ทำเสร็จแล้ว ได้แก่ การทำท่อเชื่อมเร่งระบายน้ำ ก่อสร้างบ่อสูบน้ำ และลอกท่อระบายน้ำถึงคลองน้ำแก้ว และกำลังทำการก่อสร้างท่อหน้า มหาวิทยาลัยจันทรเกษม ปรับปรุงบ่อสูบน้ำ ถ.รัชดาฯ พร้อมปรับปรุงเขื่อนเดิม ปรับปรุงบ่อสูบน้ำซอยอาภาภิรมย์ 2 บ่อ และก่อสร้างระบบระบายน้ำเพิ่มเติม ถ.รัชดา จุดหน้าธนาคารกรุงเทพ – ศาลอาญา

เพิ่มพื้นที่สาธารณะ ให้เมืองมีชีวิต
นายชัชชาติ บอกอีกว่า เมืองที่ดี คือเมืองที่มีพื้นที่สาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการใช้ชีวิตให้กับประชาชน ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อจะเข้าถึงบริการต่าง ๆ ด้วยแนวคิดนี้ทำให้ กทม. พัฒนาพื้นที่สาธารณะที่มีอยู่ ประกอบด้วย สวนสาธารณะ 58 แห่ง ศูนย์นันทนาการ 36 แห่ง ห้องสมุด 34 แห่ง พิพิธภัณฑ์เด็ก 2 แห่ง ศูนย์กีฬา 12 แห่ง ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับศูนย์กีฬาแบบใหม่ครบวงจร ได้ปรับปรุงแล้ว 11 แห่ง เช่น ศูนย์กีฬาเบญจกิติ ศูนย์กีฬาบางขุนเทียน ศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ เตรียมขยายผลอีก 13 แห่ง เช่น ศูนย์กีฬาตลาดพลู ศูนย์กีฬาวังทองหลาง ศูนย์กีฬาเสนานิเวศน์ ศูนย์กีฬาทวีวัฒนา ศูนย์นันทนาการทุ่งครุ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการทำศูนย์กีฬาแบบใหม่ ที่มีกิจกรรมหลากหลายและประเภทกีฬาใหม่ ๆ อาทิ พิกเคิลบอล เทกบอล ปิงปอง บาสเกตบอล โดยที่สวนเบญจกิติเป็นต้นแบบขยายศูนย์กีฬาไปยังสวนอื่น ๆ ทั่วกรุงเทพฯ เช่น บึงหนองบอน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่วนการเพิ่มพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ กำลังมีการปรับปรุงอาคารลุมพินีสถานสู่ Performance Art Hub ของคนกรุงเทพฯ ซึ่งกำหนดจะแล้วเสร็จในปี2568
สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยโครงการเชื่อมบึงหนองบอน-สวนหลวง ร.๙ รวมทั้งการเพิ่มสวนขนาดใหญ่ให้เป็นปอดฟอกอากาศ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุงเทพฯ เช่น ที่บ่อฝรั่ง (ริมบึงบางซื่อ) ซึ่งจะเป็นสวนกีฬาทางน้ำแห่งใหม่ และสวนป่าชุ่มน้ำบางกอก (เสรีไทย)
ส่วนสวน 15 นาที ซึ่งเป็นสวนขนาดเล็กที่ใกล้ชิดชุมชนเพียงระยะการเดินไม่เกิน 15 นาที ล่าสุดได้เกิดขึ้นแล้วกว่า 100 แห่ง คาดว่าจะครบ 500 แห่ง ภายใน 4 ปี
ปลูกต้นไม้ 935,000 ต้น-ตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน
นายชัชชาติ กล่าวว่า ในช่วงประกาศนโยบายเรื่องการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น แต่ขณะนี้ปลูกไปแล้ว 935,000 ต้น ซึ่งคิดว่าจะปรับเป้าหมายในการปลูกต้นไม้เพิ่ม 2 ล้านต้น เพราะคน กทม.มี 5 ล้านคน เพียงแค่ 5 คนปลูกต้นไม้ 1 ต้นก็จะได้ ล้านต้นแล้ว ถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูก เสาร์ อาทิตย์ในแต่ละเขตมีการปลูกต้นไม้ ให้เกิดความต่อเนื่องเพื่อให้ปลูกฝังแนวคิดเรื่องของการปลูกต้นไม้
ในเรื่องสุขภาพ เพื่อลดข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนกรุงเทพฯ ปัญหาหมออยู่ไกล เข้าถึงยาก ไม่สะดวก เสียเวลา ถูกคลี่คลายลงด้วยการพัฒนาบริการต่าง ๆ เช่น โครงการตรวจสุขภาพฟรี 1,000,000 คน ได้ทุกคน ไม่จำกัดสิทธิ์ ซึ่งจะเปิดยาวไปถึงเดือนกันยายน 2567 มีการตรวจคัดกรองมากกว่า 14 รายการพื้นฐาน เพื่อรู้สัญญาณของโรคก่อนที่จะเป็นอันตราย มีเพิ่มเจาะเลือดส่งตรวจแล็บ เอ็กซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และภาวะแทรกซ้อนทางตา ประชาชนสามารถตรวจสอบปฏิทินตรวจสุขภาพของแต่ละเดือนและเลือกวันเวลาและสถานที่ที่สะดวกไปรับบริการได้
นอกจากนี้ กทม.ยังได้ขยายการบริการของศูนย์บริการสาธารณะ รับตรวจรักษานอกเวลาจนถึง 2 ทุ่ม หรือเสาร์-อาทิตย์ ทุกพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน อีกทั้งยังขยายศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพ (กายภาพบำบัด) แก้ออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ บ่า ไหล หลัง ได้ที่ศูนย์ฯ ใกล้บ้าน 8 แห่ง เปิด Pride Clinic คัดกรอง-ปรึกษาฟรี สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากเดิมมี 6 แห่ง เพิ่มเป็น 31 แห่ง มีผู้ใช้บริการเกือบ 20,000 ราย มีตั้งแต่การตรวจระดับฮอร์โมนและการขอรับฮอร์โมน ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต เครียด ซึมเศร้า ปรึกษาด้านศัลยกรรมการผ่าตัด ตรวจหา HIV ซิฟิลิส และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และบริการยาป้องกันการติดเชื้อ HIV

ไล่ข้าราชการทุจริตออกแล้ว 29 ราย
นายชัชชาติ กล่าวถึงการสร้างเมืองให้มีความโปร่งใส เพราะเมืองที่มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ไม่สามารถสร้างเมืองให้มีประสิทธิภาพได้ เพราะฉะนั้นตลอดระยะเวลา 2 ปีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และมีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 781 เรื่อง ในจำนวนนี้มีมูลทุจริต 56 เรื่อง ได้ดำเนินการถึงขั้นสอบสวนทางวินัย 44 เรื่อง และมีการให้ออกจากราชการ 29 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณา 12 เรื่อง ส่งต่อให้ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. จำนวน 5 เรื่อง
“การทำงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผมเชื่อว่าเรื่องนี้ดีขึ้น แม้ว่ามันยังมีอยู่ แต่ผมว่ามันดีขึ้น เพราะเรามีเทคโนโลยีมาช่วยทำให้โปร่งใสมากขึ้น”
ส่วนการเปิดฐานข้อมูล (Open Data) ได้มีการเปิดเผยข้อมูลด้านนโยบาย งบประมาณ สัญญาจ้าง ภาษี ฯลฯ ไปแล้วมากกว่า 1,000 ชุดข้อมูล มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านครั้ง/ปี ด้านการเปิดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ได้มุ่งให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่การประกวดราคาจนถึงการบริหารสัญญา โดยเร็ว ๆ นี้ มีระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันประมูลงานของ กทม. ด้วยการ Subscribe ให้ผู้รับจ้างรับการแจ้งเตือนโครงการใหม่และติดตามความคืบหน้าได้
แก้หนี้ BTS 2 หมื่นล้าน เสนอยกเลิกคำสั่ง ม.44
นายชัชชาติ กล่าวว่าที่ผ่านมามีบริหารเงินและเอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS ที่มีมาต่อเนื่อง ได้ลุล่วงไปในก้าวแรก โดยสามารถชำระหนี้งานระบบของส่วนต่อขยาย 23,000 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของ กทม. เรียบร้อยแล้ว ทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้นเนื่องจากระบบรถไฟฟ้า และระบบรางเป็นของ กทม.
“เรื่องBTS ยังแก้ปัญหาไม่จบ มีเรื่องเป็นคดีในศาล และมีเรื่องหนี้โครงสร้างพื้นฐานกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือการลดการผูกขาด โดยเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกคำสั่ง ม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป ต้องมีความโปร่งใสเพราะเรามีประชาชนเดินทางด้วยระบบนี้มากถึง 7 แสนคนต่อวัน ต้องทำให้มีประโยชน์มากที่สุด”

2 ปี สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่าการทำงาน 2 ปี หลายคนอาจจะมองว่าเราทำเรื่องของเส้นเลือดฝอย งานรายละเอียดต่างๆ แต่ว่า ใน 4 ปีหากผมไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจนที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพของเมืองได้เพราะว่าเปลี่ยนแปลงแล้วกลับมายาก เช่นเรื่องของ “ประชาชนชนเป็นศูนย์กลาง” ซึ่งวิธีคิด ของข้าราชการ และ ลูกจ้า กทม.เปลี่ยนไป อำนาจประชาชน เสียงของประชาชนมีพลังมากขึ้น เช่น Traffy Fondue
นอกจากนี้ “สร้างการมีส่วนร่วม” โดยมีงบประมาณ 2 แสนบาทไปยังเขตเพื่อกระจายอำนาจให้กับประชาชนเพื่อให้เขตฟังเสียงประชาชน มากขึ้น รวมไปถึงการ “ทำงานอย่างโปร่งใส” ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ ได้แก่ Open Bangkok, Open Data, Open Contract และ BMA e-GP และ “ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล” ได้แก่ บริการ BMA OSS, GPS รถขยะ และระบบมอนิเตอร์ไฟฟ้าแสงสว่าง ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะยังอยู่และไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปที่เดิมได้อีก
นายชัชชาติกล่าวว่าต้องปรับปรุงการทำงานอีกจำนวนมาก โดยยอมรับว่าการทำงานที่ผ่านมายังมีพฤติกรรมแบบผักชีโรยหน้า พฤติกรรมที่ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างถาวร และการปรับปรุงบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการแก้ปัญหา ทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งต้องยอมรับว่ายังมีอยู่ แต่เราต้องแก้ไขปัญหาต่อไป รวมไปถึงการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องของการจัดระเบียบสายไฟฟ้า สายสื่อสาร
“ผมคิดว่ามี 3 เรื่องที่ต้องปรับปรุงการทำงาน ที่ยังมีจุดอ่อน คือ เรื่องของวัฒนธรรมการทำงาน สิ่งที่ปลูกฝั่งมานานที่ข้าราชการเป็นใหญ่ ไม่ดูแลประชาชน หรือ ทุจริตคอร์รัปชัน และการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น รวมไปถึงการแก้ไขกฎระเบียบที่ล้าหลัง ผังเมือง กฎหมายอาคาร และ พ.ร.บ.กทม.ที่ยังมีจุดที่ต้องผลักดันแก้ไข ตั้งหน้า ตั้งตาปรับปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเมืองให้ดีขึ้น”
6 ด้านที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างถาวร
“ผมเชื่อว่าสิ่งที่ได้ทำมานั้นหากผ่าน 4 ปีไปแล้ว ผมไม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยังอยู่คือโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว คือให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเสียงของประชาชนมีพลังมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เพราะมันจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีก” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวสรุปว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนคือ 1 .การเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เจ้าหน้าที่ กทม. หันหลังให้ผู้ว่าฯ หันหน้าให้ประชาชน โดยใช้ Traffy Fondue ในการแก้ไขปัญหา จนถึงปัจจุบันมีเรื่องที่ประชาชนแจ้งมาแล้วกว่า 590,000 เรื่อง และแก้ไปแล้วประมาณ 467,743 เรื่อง โดยที่ผู้ว่าฯ กทม. ไม่ต้องสั่งการ 2 .การกระจายอำนาจสู่ประชาชน โดยเอางบประมาณลงไปในชุมชน ลงไปในเขต ให้มากขึ้น 3 .เรื่องความโปร่งใส ยืนยันว่ารับเรื่องทุจริตคอร์รัปชันไม่ได้ หากเมืองไม่โปร่งใสไม่มีทางมีประสิทธิภาพได้ และจะเสียทรัพยากรไป เพราะจะทำให้คนมีเส้นมีสิทธิ์ ดังนั้น ที่ผ่านมามีการสั่งเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตออกไปแล้วประมาณ 29 คน 4.การใช้เทคโนโลยีเพื่อมาปรับปรุงการให้บริการ 5 .การมีส่วนร่วมกับประชาชนในการทำกิจกรรมต่างๆ ใน กทม. มีคนรุ่นใหม่มามีส่วนร่วม เพราะเชื่อว่าเมืองนี้จะเปลี่ยนได้ถ้าทุกคนร่วมกัน 6.กล้าทำปัญหาที่ท้าทาย โดยเฉพาะปัญหาสำคัญ คือเรื่องหนี้รถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) ที่ต่อเนื่องมานาน กทม. จึงได้มีการจ่ายหนี้ชุดแรกไปแล้ว ในงานระบบส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จำนวน 23,000 ล้านบาท รวมถึงโอนกรรมสิทธิ์โครงการส่วนต่อขยายมาเป็นของ กทม.
อย่างไรก็ตาม นายชัชชาติให้คะแนนการทำงานของตัวเองในช่วง 2 ปี 5 คะแนน เต็ม 10 คะแนน เท่ากับ 1 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกจำนวนมาก

เปลี่ยนรถเก็บขยะ เป็นรถEV
นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึง การทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด นอกเหนือจากดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จากนี้จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม. ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่ รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน หรือ รถไฟฟ้า ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้จากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน หากเปลี่ยนจากรถขยะที่ใช้ดีเซลมาเป็นรถขยะไฟฟ้า สามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาท/คัน/วัน จาก 2,800 บาท/คัน/วัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตัน/ปี จาก 2,256 ตัน/ปี ลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ และลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาท/เที่ยว จาก 1,300 บาท/เที่ยว โดยมีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปี 2567 จำนวน 615 คัน ปี 2568 จำนวน 392 คัน และปี 2569 อีก 657 คัน
นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 2569 ซึ่งจะประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาท/ปี

ทำป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย เรียลไทม์
นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ในช่วง 2 ปี จากนี้ คนกรุงเทพฯ จะเดินทางสะดวกขึ้น ด้วยบริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย แบบเรียลไทม์ การปรับปรุงศาลารถเมล์ 300 หลัง และการติดตั้งจอดิจิทัลในศาลาที่พักผู้โดยสารอีก 200 หลัง เพิ่มตัวเลือกการเดินทาง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ ด้วยการเดินทางที่หลากหลาย เช่น รถตุ๊ก ๆ ไฟฟ้า เรือไฟฟ้า จักรยาน Shuttle Bus และการเดินเท้าที่สะดวกปลอดภัย มีหลังคาคลุม เป็นต้น
ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัปเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกต และสั่งการผ่าน Command Center ทั้งในเรื่องการติดตั้ง CCTV ไฟส่องสว่าง เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำท่วมขังบนถนน โดยส่งข้อมูลมาที่ Open Digital Platform
ส่วนการขอใบอนุญาตการก่อสร้างออนไลน์จะมีความครอบคลุมอาคารทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็ก ต่ำกว่า 2000 ตร.ม. ขนาดใหญ่ +2,000 ตรม. อาคารขนาดใหญ่พิเศษ +10,000 ตรม. ไปจนถึงอาคารสูง +23 ม. และสามารถติดตามสถานะโครงการผ่านออนไลน์ได้

เปิด 4 รพ.ใหม่ ขยายบริการอีกกว่าพันเตียง
รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การยกระดับการบริการด้านสาธารณสุขของคนกรุงเทพฯ ในช่วง 2 ปีหลังนี้ จะการผลักดันโรงพยาบาลเดิม 3 แห่ง และเพิ่มโรงพยาบาลใหม่ในสังกัด กทม. อีก 4 แห่ง เพื่อขยายเตียงดูแลคนกรุงเทพฯ ให้ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อีก 1,272 เตียง โดยจะเพิ่มที่โรงพยาบาลกลาง อีก 150 เตียง โรงพยาบาลบางนาเพิ่ม 324 เตียง โรงพยาบาลคลองสามวา เพิ่ม 268 เตียง ส่วนโรงพยาบาลแห่งที่จะเปิดใหม่ ได้แก่ โรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี ขนาด 150 เตียง โรงพยาบาลดอนเมือง ขนาด 200 เตียง โรงพยาบาลสายไหม ขนาด 120 เตียง และโรงพยาบาลทุ่งครุ ขนาด 60 เตียง
ขณะเดียวกันยังพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุขให้เข้าถึงง่าย กระจายทั่วกรุงเทพฯ โดยก่อสร้างอาคารใหม่ 21 แห่ง และปรับปรุงใหม่อีก 31 แห่ง ในช่วง 2 ปีต่อจากนี้
นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงสถานีดับเพลิง 13 แห่ง และสร้างใหม่อีก 3 แห่ง พร้อมทั้งยกะดับ Command Center เพิ่มประสิทธิภาพการติดตั้ง GPS ให้รถพยาบาล 80 คัน และรถดับเพลิง 250 คัน ติดตามสถานการณ์ผ่าน IOT กล้อง DVR และ Body Cam เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจและสั่งการแบบเรียลไทม์ผ่านระบบข้อมูลทรัพยากรและวอร์รูม (War Room)

สร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าการพัฒนาคน คือการพัฒนาเมือง สิ่งที่ กทม. มุ่งมั่นในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ คือ การยกระดับจากการศึกษา สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) ซึ่งหมายถึง การดูแลตั้งแต่ระดับเด็กปฐมวัย การศึกษาภาคบังคับ และการพัฒนาทักษะอาชีพ โดยการศึกษาปฐมวัยเป็นการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน จาก 83,264 คน เพิ่มเป็น 100,000 คน ปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเริ่มรับเด็กเร็วขึ้นที่อายุ 1 ขวบครึ่ง เพิ่มชั้นอนุบาลสำหรับเด็ก 3 ขวบ โดยมีแผนขยายให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในปี 69 ปรับปรุงหลักสูตรสร้างพัฒนาสมวัยผ่านการเล่น (play-base-learning) พร้อมทั้งปรับปรุงกายภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้งห้องน้ำ สนามเด็กเล่น และห้องเรียนปลอดฝุ่น
ส่วนการศึกษาภาคบังคับ จะเปลี่ยนหลักสูตรที่เน้นการคิดวิเคราะห์ นำความรู้ไปใช้บนหลักสูตรฐานสมรรถนะ (skill-base-learning) และพัฒนาห้องเรียนดิจิทัล สร้าง Active Learning สำหรับเด็ก ป.4 – ม.3 ทุกโรงเรียน โดยทุกห้องเรียนมีคอมพิวเตอร์ เป็นการต่อยอดจากที่ได้มีการนำร่องห้องเรียน Chromebook ในปีการศึกษาที่ผ่านมาพบว่ามีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าห้องเรียนปกติ 28%
ด้านการพัฒนาทักษะอาชีพ จะเน้นที่การพัฒนาทักษะวิชาชีพที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน โดยดำเนินการร่วมกับสถานประกอบการ เช่น หลักสูตรขับรถสามล้อไฟฟ้า (Muvmi) หลักสูตรแม่บ้านการโรงแรม ซึ่งทำร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย และหลักสูตรตัดขนสุนัข ที่ทำร่วมกับโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เป็นต้น