ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ อุบเลื่อนเลือกตั้ง ย้ำพ.ร.ฎ.ประกาศเมื่อไร เมื่อนั้น – มติ ครม. เห็นชอบงบฯปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้าน – ขาดดุล 4.5 แสนล้าน

นายกฯ อุบเลื่อนเลือกตั้ง ย้ำพ.ร.ฎ.ประกาศเมื่อไร เมื่อนั้น – มติ ครม. เห็นชอบงบฯปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้าน – ขาดดุล 4.5 แสนล้าน

8 มกราคม 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

อุบเลื่อนเลือกตั้ง ย้ำพ.ร.ฎ.ประกาศเมื่อไรเมื่อนั้น

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความชัดเจนเรื่องการประกาศพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไป พ.ศ. …. ว่า ยังไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะเป็นเมื่อไรก็เมื่อนั้น สำหรับการเลือกตั้งตนยังไม่ได้บอกว่าเลื่อนหรือไม่เลื่อน แต่ที่ผ่านมาตนคิดว่าต่างชาติเข้าใจไทยอยู่แล้ว เพราะไปทุกประเทศมาก็ได้รับคำถามเสมอว่า พิธีนี้เป็นพิธีสำคัญของไทย อยากทราบว่าจะจัดเมื่อไร อย่างไร หากมีความประสงค์จะมีส่วนร่วมในพระราชพิธีดังกล่าวได้หรือไม่

“เขาถามผมทุกประเทศนั่นแหละ แล้วเป็นอะไรกันนักหนาผมไม่เข้าใจ ในประเทศไม่พอ เอาต่างประเทศมากดดันกันอีก ผมถามว่านี่ประเทศอะไร ไทยใช่ไหม คนไทยใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราก็ควรสำนึกกันบ้างเรื่องเหล่านี้ ผมไม่ได้ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น อยากให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นตามขั้นตอน ตามกระบวนการทั้งหมดโดยเร็ว และมีเสถียรภาพ อย่าไปพูดถึงเรื่องขยายอำนาจต่อ ผมไม่เห็นว่าผมจะมีอำนาจตรงไหน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ ผมสามารถพูดได้เต็มปาก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ไม่เจรจา “แม้ว” – ชี้ไม่ผิดให้กลับมาสู้คดี

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงข้อเสนอของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อชาติ ที่เสนอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดโต๊ะเจรจากัน เพื่อสร้างความปรองดอง พร้อมประกาศจะนำนายทักษิณกลับบ้าน ว่า ตนไม่ได้สนใจ เพราะตนยึดมั่นในหลักการของรัฐบาล พร้อมถามกลับว่าทำไมต้องเจรจา เรามีการสู้รบกับเขาหรือ เขาไม่ได้สู้รบกับผม ไม่ใช่สงคราม หากคิดว่าไม่มีความผิดก็ขอให้กลับมาสู้ตามกระบวนการยุติธรรม

“รัฐบาลโดยหลักการเจรจากับผู้หลบหนีคดีไม่ได้ หากคิดว่าไม่มีความผิดก็กลับมาสู้คดี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แล้วกฎหมายที่เขามีความผิดก็เป็นกฎหมายปกติ ไม่ใช่ผิดตามมาตรา 44 ของผมเมื่อไร เป็นกฎหมายปกติทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่ง จนท. คุม พรรคการเมือง – แจง ส.ส.บุรีรัมย์ ไม่ผิดไม่จับ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่มีการจับกุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย ที่ จ.บุรีรัมย์ ว่า เขาทำผิดกฎหมายหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎกติกา กฎหมายที่มีอยู่ วันนี้ตนได้สั่งการเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบ ติดตามทุกพรรคการเมือง หากไม่มีเรื่องเขาก็ไม่จับ ไม่ดำเนินคดีเท่านั้นเอง

“ผมสั่งการกับฝ่ายความมั่นคงไปแล้ว ก็มีไปดู ถ้ามันผิดเขาก็ต้องจับกุม ดำเนินคดีเท่านั้นเอง ไปแบ่งข้างกันอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่มีทางที่จะหารือเพื่อทำงานร่วมกันได้ แถมจะให้ไปเจรจากับคนอื่นอีกก็ไปคนละเรื่องกันหมด อย่าสร้างสังคมให้คิดแบบนี้ได้ไหม ขอให้ว่ากันด้วยหลักฐาน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปัดเร่งคดีสกัด “ชัชชาติ” – เตรียมประชุมจัดงานพระราชพิธีฯ10 ม.ค.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามประเด็นที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมเร่งรัดคดีที่เกี่ยวข้องกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่กำลังมีกระแสความนิยมนั้น โดยถามกลับว่า กระแสนิยมอะไร นิยมความขัดแย้งหรือ ทำไมต้องสร้างกระแสนิยมเรื่องนี้ เขาเป็นอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กล่าวกันขึ้นมาในโซเชียลมีเดีย มีหลักฐานอะไรหรือเปล่าก็เป็นเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เขาไปตรวจสอบมาสิ

พร้อมตัดพ้อว่า แปลกดีเหมือนกัน ทำตรงนี้หน่อย ตรงนี้นิด ก็เอามาขยายกันไป เสร็จแล้วก็ถามว่าจะมีการต่อต้านไหม จะมีการเดินขบวนไหม ก็ถามวนอยู่แบบนี้

“วันที่ 10 มกราคม 2562 จะมีการประชุมของคณะกรรมการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย หลังการประชุมวันนั้นแล้วก็จะมีการชี้แจงให้ทราบต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยัน 4 รมต. ช่วยงาน พปชร. นอกเวลาราชการ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการปฏิบัติงานของ 4 รัฐมนตรี ที่สังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เรื่อง 4 รัฐมนตรี ก็พูดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตนมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการทำงานของทุกคนมาตลอดในบทบาทของนายกรัฐมนตรี และเขาก็อยู่ในบทบาทของรัฐมนตรี ครม. ก็ทำหน้าที่ของตรงนี้ให้ดีที่สุด ตรงอื่นก็เป็นเรื่องที่ไปทำนอกเวลาราชการ

“เขาก็ลาผมทุกครั้งที่ออกไป ก็ถือว่าเป็นการลาตามสิทธิของเขา จะไปทำอะไรก็ไป แต่อย่าทำให้งานในหน้าที่เสียหายแล้วกัน ถ้าเขาไปทำตรงโน้นแล้วเขาได้ประโยชน์อะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จะทำให้คะแนนนิยมขึ้นหรือไม่ผมก็ไม่รู้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

วันนี้ทุกคนสู้กันด้วยนโยบาย โดยตนขอเตือนประชาชนว่า นโยบายบางนโยบายที่พูดๆ กันมามันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก เพราะมีกติกา มีกฎหมายหลายอย่างด้วยกัน ที่บอกจะให้โน่นให้นี่ได้ที่ไหน ตั้งราคาโน้นราคานี้ได้ที่ไหน จะแบ่งสัดส่วนคนผลิต คนกลาง หรือปลายทาง ไม่มีกฎหมายในโลกที่ไหนเขาทำ ฉะนั้นอย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้วประชาชนหลงเชื่อ

“อยากให้ทุกคนจดบันทึกไว้ว่าพรรคไหนหาเสียงไว้ว่าอย่างไร แล้วดูว่าเมื่อเขาได้รับเลือกแล้วทำได้มากแต่ไหน หากไม่ได้ก็อย่าไปเลือกเขาอีก ก็แค่นั้นเอง เขาก็ทำอย่างนี้กันมาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปัดสร้างภาพลงพื้นที่ “นครศรีฯ” ช่วยผู้ประสบภัย

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยพายุโซนร้อนปาบึก ว่า จากการไปเยี่ยมเยียนประชาชนเมื่อวาน (วันที่ 7 ม.ค. 2562) ตนได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนแล้วก็สงสาร บ้านเรือนถึงจะซ่อมมาก็เหมือนเดิม สิ่งของเครื่องใช้ เครื่องมือประกอบอาชีพก็ยังไม่ดีพอ ทำให้เขาเข้าใจว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ดูแลอะไรเขา เข้าใจว่ากฎหมายที่รัฐบาลออกมาไปบังคับเขา ทำให้เขามีรายได้ลดลง ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าอะไรลดลงอะไรเพิ่มขึ้น หน่วยงานในพื้นที่ต้องหาหนทางที่จะปฏิบัติและพลิกแพลงออกมาให้ได้ตามกฎเกณฑ์ ไม่แสวงหาประโยชน์ เพราะเป็นสิ่งที่ตนเกลียดที่สุด

นายกรัฐมนตรี ตรวจเยี่ยมการซ่อมสร้างบ้านเรือนที่เสียหายจากพายุโซนร้อน “ปาบึก” ณ ต.ปากนคร อ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

ทั้งนี้ตนได้สั่งการไปแล้วว่า จะเน้นในเรื่องการดูแลพี่น้องประมงทั้ง 22 จังหวัด โดยเฉพาะประมงชายฝั่ง ประมงพื้นบ้านให้ดีขึ้น โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติจากพายุปาบึกด้วย ซึ่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงได้รับเรื่องไปแล้ว จะเร่งดำเนินการให้ทั่วถึง โดยให้ยึดหลักหลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา พร้อมขอความร่วมมือภาคเอกชน หรือประชาชนช่วยบริจาคอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังมีสภาพดีอยู่ แต่ไม่ได้ใช้แล้ว เพื่อนำไปมอบให้กับประชาชนที่มีความต้องการใช้เป็นประโยชน์ต่อไป

“ทุกครั้งที่ผมไปต่างจังหวัดผมไม่ได้ไปหาเสียง ไม่ได้ไปสร้างคะแนนนิยม ผมไปเพื่อจะรับฟังจากเขา และเมื่อไปผมไม่ได้ไปเดินตามที่เขาให้เดิน จะเห็นว่าผมเดินเข้าไปในบ้าน เดินไปที่เรือ อยู่นอกกำหนดการผมทั้งสิ้น การที่ผมขึ้นหลังคาไม่ใช่ว่าผมเท่ หรือแอ็ค”

“ต้องมองว่าที่ผมทำนั้นเป็นการให้กำลังใจคนที่ทำงานอยู่ข้างบน ก็ต้องพูดและให้กำลังใจเขาบ้าง ให้เห็นว่านายกฯ ก็ขึ้นมาเหมือนกัน ทุกคนจะได้มีกำลังใจ ลูกน้องไม่ได้มุ่งหวังว่าผมจะทำเก่งกว่าเขา ผมก็พอทำได้เพราะเด็กๆ เคยฝึก เคยเรียนมา ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ฉะนั้นอย่ามองว่าทุกอย่างสร้างภาพ”

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่า วันนี้ พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปกรุงบรัสเซลส์เพื่อไปรับฟังการแถลงผลการปฏิบัติเรื่องการแก้ไขปัญหาประมงไอยูยู จากคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้อยู่ ก็ส่งกำลังใจไป หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ก็สุดแล้วแต่ว่าคณะกรรมการจะลงมติเรื่องนี้มาอย่างไร อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นความเป็นความตายของเรามากว่าเรื่องที่ทะเลาะอยู่ทุกวันนี้มากกว่า

ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติวงเงินเพิ่มเติมกับผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วประมาณ 20 ล้านบาท ขณะที่ยอดเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาบึก ตามที่รัฐบาลได้จัดงาน รวมน้ำใจไทย ช่วยวาตภัยใต้ โดยยอดเงินล่าสุดเมื่อวานนี้รวมทั้งสิ้น 132,3 41,341.06 บาท ซึ่งเป็นยอดเงินที่ยังไม่รวมกับการบริจาคผ่านทางบัญชีธนาคาร และไม่รวมกับกรณีหน่วยงานที่ได้ติดต่อผ่านทางรัฐบาลเข้ามา

เตือน ขรก. เบิกรถหลวงใช้ส่วนตัว จับได้ไล่ออก

พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. ยังได้รับทราบข้อสังเกตจาก ป.ป.ช. ที่พบข้าราชการนำรถส่วนกลางไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง รวมทั้งเบิกค่าน้ำมันเชื้อเพลิงจากราชการ โดย ป.ป.ช. ได้แจ้งให้สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ดำเนินการตรวจสอบ แต่เนื่องจากตามระเบียบของ สปน. ไม่ได้รวมถึงรัฐวิสาหกิจและท้องถิ่น จึงขอให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้รัฐวิสาหกิจและส่วนท้องถิ่นทราบ หากรัฐวิสาหกิจและส่วนท้องถิ่นกระทำเช่นนั้น จะถือว่าเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง และมีบทลงโทษคือการไล่ออก

“การนำรถราชการที่ตนไม่มีสิทธิ เอารถส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว ถือเป็นความผิดร้ายแรง จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก ไล่ออก/ปลดออก ตนได้กำชับไปแล้ว จึงขอเตือนทุกส่วนราชการด้วย นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานว่า สามารถเริ่มผลิตวัคซีนเองได้บางตัวแล้ว วันนี้ก็ยังต้องมีความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งเรื่องนี้ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ :www.thaigov.go.th

อนุมัติงบฯ 2,100 ล้าน สร้างประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำ

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลาวว่า ครม. มีมติอนุมัติให้กรมชลประทาน ดำเนินโครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง-น้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร มีกำหนดแผนงานโครงการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-2566) กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 2,100 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในเขตอำเภอเมืองสกลนครและอำเภอโคกศรีสุพรรณ โดยการก่อสร้างคลองผันน้ำเพื่อตัดยอดน้ำจากลำน้ำพุงก่อนไหลลงสู่หนองหาร โดยผันน้ำลงสู่ลำน้ำก่ำ เพื่อลดปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่หนองหารได้ประมาณ 55 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีและช่วยเหลือประชาชนเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรกรรม

จัดงบฯ 1,249 ล้าน สร้างประตูระบายน้ำบ้านก่อ

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม. อนุมัติให้กรมชลประทานดำเนินโครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อ พร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร มีกำหนดแผนงานโครงการ 5 ปี (งบประมาณ พ.ศ. 2562-2566) กรอบวงเงินงบประมาณโครงการ ทั้งสิ้น 1,249 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในลำน้ำยามบริเวณบ้านก่อไว้ช่วยเหลือการเพาะปลูกโดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ให้แก่พื้นที่บางส่วนของอำเภอ วานรนิวาส จังหวัดสกลนคร เนื่องจากในฤดูแล้งราษฎรในพื้นที่โครงการไม่มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์ปลาและทำการประมง รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

สำหรับรายละเอียดการดำเนินการโครงการไม่จัดอยู่ในประเภทหรือกิจการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และโครงการได้ดำเนินการ สำรวจ-ออกแบบ งานประตูระบายน้ำหัวงาน อาคารประกอบ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2560 และระบบส่งน้ำฝั่งขวาและระบบส่งน้ำฝั่งซ้ายอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562

นอกจากนี้ กรมฯ ได้จัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างโครงการประมาณ 730 แปลง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 1,640 ไร่ แบ่งเป็นที่ดินที่มีเอกสาร สิทธิ์ เนื้อที่ประมาณ 1,575 ไร่ และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ เนื้อที่ประมาณ 65 ไร่ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมด้านการสำรวจปักหลักเขต เพื่อให้สามารถดำเนินการด้านการจัดหาที่ดินได้ทันทีเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรีให้เริ่มดำเนินโครงการ

อนุมัติโครงการคลองระบายน้ำบางบาล-บางไทรวงเงิน 21,000 ล้าน

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกำหนดแผนงานโครงการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2566) กรอบวงเงินงบประมาณโครงการทั้งสิ้น 21,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในแผนการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา 9 แผนงาน โดยเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท้ายเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ โดยการขุดคลองระบายน้ำหลากสายใหม่เพื่อผันน้ำเลี่ยงเมืองพระนครศรีอยุธยาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่อำเภอบางบาล ถึงอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมความยาวประมาณ 22.50 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถระบายน้ำได้สูงสุด 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นอกจากนี้ ยังเป็นโครงการที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ให้เร่งรัดดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

อนึ่ง เดิม ครม. มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 เห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการฯ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว แบ่งเป็น 1) การ รับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยประชาชนประมาณ 75% เข้าใจในวัตถุประสงค์และ ประโยชน์ของโครงการ 2) การสำรวจปักหลักเขต โดยได้ดำเนินการปักหลักเขตชลประทานแล้วเสร็จเป็นระยะทาง 22 กิโลเมตร (จากระยะทางทั้งหมด 22.50 กิโลเมตร) และ 3) การจัดหาที่ดิน โดยประชาชนเจ้าของที่ดินได้ยื่นคำขอรังวัดแล้ว จำนวน 482 แปลง ดำเนินการรังวัดที่ดินแล้ว จำนวน 164 แปลง ตรวจสอบทรัพย์สินแล้ว จำนวน 78 แปลง และได้ดำเนินการจ่ายเงินค่าที่ดินและค่ารื้อย้ายแล้ว จำนวน 52 แปลง คิดเป็นเนื้อที่ 129 ไร่ 3 งาน 26.20 ตารางวา เป็นเงินจำนวน 87.32 ล้านบาท (จากทั้งหมด 440 แปลง เนื้อที่ประมาณ 2,710 ไร่) นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินเพื่อขอเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ด้วยแล้ว

ขณะที่การออกแบบได้ดำเนินการสำรวจออกแบบคลองระบายน้ำหลากและ อาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น เสร็จแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2561 และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 ได้มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการ คลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ เปิดโครงการและงบประมาณต่อไป

นอกจากนี้ โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไม่จัดอยู่ในประเภท หรือกิจการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา คุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม กรมชลประทานได้ตระหนักถึง ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่โครงการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จึงได้จัดทำแผนงานป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งแผนงบประมาณให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ตามแผนงานที่วางไว้ วงเงิน 100.97 ล้านบาท (รวมอยู่ในวงเงิน งบประมาณโครงการ)

เห็นชอบ งบฯปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้าน – ขาดดุล 4.5 แสนล้าน

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) สมมติฐานทางเศรษฐกิจ
คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.5-4.5 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ภาคการส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นตามการเร่งเบิกจ่ายของโครงการลงทุนสำคัญที่มีกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563-2564 ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนมีการขยายตัวในเกณฑ์ดี สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คาดว่าอัตราเงินเฟ้ออยู่ในช่วงร้อยละ 0.8-1.8 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลประมาณร้อยละ 5.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

2) ประมาณการรายได้รัฐบาล
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้รวมจำนวน 3,256,500 ล้านบาท เมื่อหักการคืนภาษีของกรมสรรพากร อากรถอนคืนกรมศุลกากร การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด การกันเงินเพื่อชดเชยภาษีการส่งออก และการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คงเหลือรายได้สุทธิ จำนวน 2,750,000 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการรายได้สุทธิปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามเอกสารงบประมาณที่กำหนดไว้ จำนวน 2,550,000 ล้านบาท เป็นจำนวน 200,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.8

3) นโยบายงบประมาณ วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
จากสมมติฐานทางเศรษฐกิจและประมาณการายได้รัฐบาล เพื่อให้การจัดการรายจ่ายภาครัฐสามารถขับเคลื่อนภารกิจตามยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2560-2564) แผนการปฏิรูปประเทศและนโยบายรัฐบาลได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินภารกิจของหน่วยงานตามกฎหมาย จึงได้กำหนดนโยบายงบประมาณขาดดุลสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 450,000 ล้านบาท เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 2.6 และทำให้มีวงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,200,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่กำหนดไว้ 3,000,000 ล้านบาท เป็นจำนวน 200,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.7 โดยมีสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวน 3,200,000 ล้านบาท

สำหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วยประมาณการ 1) รายจ่ายประจำ จำนวน 2,358,410.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 85,754.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.7 ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีสัดส่วน ร้อยละ 75.8 2) รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน 62,709.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งไม่มีการเสนอตั้งงบประมาณ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 100 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.0 ของวงเงินงบประมาณรวม 3) รายจ่ายลงทุน จำนวน 691,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 42,061.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.6 ของวงเงินงบประมาณรวม เท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 4) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 87,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 9,474.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.1 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.7 ของวงเงินงบประมารรวม เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 2.6

อนึ่ง วงเงินงบประมาณรายจ่าย จำนวน 3,200,000 ล้านบาท ดังกล่าวเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563-2565) ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2561 สำหรับงบประมาณรายจ่ายลงทุนและงบประมาณรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีจำนวนและสัดส่วนอยู่ภายในกรอบที่กำหนดตามราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

บริจาคเงินช่วยผู้ประสบภัย “ปาบึก” หักภาษีเงินได้ไม่เกิน 10%

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุปาบึกในช่วยต้นปีที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือการซ่อมแซมและทำความสะอาดพื้นที่ต่างๆ ขณะที่กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานอื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างสำรวจทะเบียนผู้ประสบภัยให้แล้วเสร็จอยู่ ขณะที่สำหรับมาตรการทางภาษี ครม. เห็นชอบ 2 มาตรการ

1) มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัย และมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาค โดยบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินที่บริจาคไปหักลดหย่อนในการคำนวณ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าจำนวนที่บริจาคแต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ เช่นเดียวกับ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ เท่า จำนวนที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ โดยจะต้องเป็นการบริจาคผ่านหน่วยงาน ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล องค์การหรือสถานสาธารณกุศล หรือผ่านเอกชนที่เป็นตัวแทนรับบริจาคที่ ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมสรรพากร

ขณะที่ในส่วนของผู้ประสบอุทกภัยที่ได้รับบริจาคเงินชดเชยจากรัฐบาล หรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับบริจาคนอกเหนือจากเงินชดเชยจากรัฐบาล จะไม่นำมาคำนวณ เป็นเงินได้ แต่จะต้องไม่เกินกว่ามูลค่าความเสียหายที่ได้รับ นอกจากนี้ บุคคลธรรมดายังได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้เท่าที่จ่าย เป็นค่าซ่อมแซมอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมอาคาร หรือห้องชุด ไม่เกิน 100,000 บาท และค่าซ่อมแซมรถ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในรถ ไม่เกิน 30,000 บาท โดยจะต้องมีการใช้จ่ายระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2562 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2562

2) มาตรการทางด้านการเงินของสถาบันการเงินเฉเพาะ (SFIs) จำนวน 7 แห่ง รวม 19 มาตรการ ประกอบด้วย การพักชำระหนี้ตั้งแต่ 3-6 เดือน และการให้สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินหรือการซ่อมแซม สรุปดังนี้

ธนาคารออมสิน พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) ขยายระยะเวลาชำระหนี้ตาม ความหนักเบาของผู้ประสบภัย และให้สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและฟื้นฟูการประกอบอาชีพ

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 4 เดือน สำหรับลูกหนี้ที่หลักประกันเสียหาย และให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมหรือทดแทนอาคารเดิม วงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี ประนอมหนี้ลูกหนี้ที่หลักประกันได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบด้านรายได้ ในกรณีลูกหนี้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจากอุทกภัย คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา

ในกรณีที่อยู่อาศัยของลูกหนี้ได้รับความ เสียหายทั้งหลัง ให้ปลอดหนี้ในส่วนของอาคารและให้ผ่อนชำระต่อในส่วนของที่ดินที่คงเหลือเท่านั้น

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) พักชำระหนี้เงินต้นและ ดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวล 1 (Term Loan) และสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประสาทตัว สัญญาใช้เงิน (P/N) เป็นระยะเวลา 6 เดือน ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) พักชำระหนี้ เงินต้นและกำไรเป็นระยะเวลา 3 เดือน และพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 36 เดือน ให้วงเงินสิ้นเชื่อ เพิ่มเติมตามความจำเป็น อัตรากำไรร้อยละ SPRR-3.5 ต่อปี หรือ SPRL- 2.27 ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี ให้สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อพี่น้องมุสลิม วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ SRPP -3.5 ต่อปี ไม่มีค่าธรรมเนียมและไม่ต้องมีหลักประกัน

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการเป็นระยะเวลา 6 เดือน ลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการ ร้อยละ 1 เป็นระยะเวลา 6-12 เดือน ให้สินเชื่อเพื่อซื้อ/ซ่อมแซมเครื่องจักร/อาคารโรงงานที่ได้รับความเสียหาย ระยะเวลา 5 ปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีในปีแรก

บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันเป็นระยะเวลา 6 เดือน และโครงการคำประกันสินเชื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบภัยพิบัติภาคใต้ วงเงินค้ำประกันสูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการค้ำประกันร้อยละ 0 เป็นระยะเวลาสูงสุด 2 ปี

เปิดช่องกู้เงินต่างประเทศ สร้างรถไฟไทย-จีน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 เกี่ยวกับการกู้เงินสำหรับโครงการพัฒนา

ระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา) ซึ่งอนุมัติกรอบวงเงินละแหล่งเงินแบ่งเป็น 1) ค่ารื้อย้ายและเวนคืนที่ดิน วงเงิน 13,064.6 ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณให้กับ รฟท. 2) กระทรวงการคลังจะจัดหาเงินกู้ที่เหมาะสมและนำมาให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้ต่อ สำหรับค่าก่อสร้าง ค่าจ้างออกแบบรายละเอียดของฝ่ายจีน ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน (CSC) ฝ่ายจีน ค่าจ้างที่ปรึกษา บริหารโครงการและที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (PMC และ ICE) งานจ้างออกแบบจัดหา ติดตั้งระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล ระบบรถไฟความเร็วสูง การจัดหาตู้รถไฟและการฝึกอบรมบุคลากร วงเงิน 166,342.61 ล้านบาท โดยกำหนดให้กู้เงินภายในประเทศเท่านั้น

ในวันนี้กระทรวงการคลังจึงเสนอขอทบทวนให้สามารถกู้เงินจากทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม เนื่องจากเห็นว่ามีแหล่งเงินต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการกู้เงินภายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้จะต้องติดตามภาวะตลาดการเงินโลกในระยะต่อไป เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมและได้ประโยชน์สูงสุด โดยเงินงวดแรก 15% ของวงเงินโครงการจะต้องจ่ายในเดือนกรกฎาคม 2562 นอกจากนี้ ภายใต้วงเงินลงทุนของโครงการฯ มีรายการที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเป็นเงิน ต่างประเทศด้วย

ดังนั้น เพื่อให้การจัดหาแหล่งเงินกู้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายของโครงการฯ กระทรวงการคลัง จึงเห็นควรพิจารณาจัดหาเงินกู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจากแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสมและนำมาให้ รฟท. กู้ต่อ สำหรับดำเนินโครงการฯ โดยขณะนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการกู้เงินต่างประเทศจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของจีน หรือ CEXIM ภายใต้กรอบความร่วมมือทางด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน และจะได้นำเสนอผลการเจรจาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ขยายเวลายกเว้นค่าวีซ่านักท่องเที่ยวอีก 4 เดือน

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติขยายระยะเวลามาตรการเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (VISA ON ARRIVAL) 2,000 บาทต่อคนสำหรับ 20 ประเทศ 1 เขตเศรษฐกิจ จากเดิมที่จะหมดระยะเวลาลงในวันที่ 13 มกราคม 2561 โดยจะขยายออกไปอีกประมาณ 4 เดือนถึงวันที่ 31 เมษายน 2561 เพื่อให้ครอบคลุมช่วงเวลาเทศกาลตรุษจีนและเทศกาลสงกรานต์

“จากผลของมาตรการเดิมที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 พศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาจากข้อมูลพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รวมไปถึงเพิ่มจากช่วงก่อนใช้มาตรการจากสนามบินต่างๆ ด้วย เช่น สนามบินสุววรณภูมิมีนักท่องเที่ยวเพิ่ม 173% ดอนเมืองเพิ่มขึ้น 143% เชียงใหม่เพิ่มขึ้น 246% ภูเก็ตเพิ่มขึ้น 128% ครม. จึงมีมติให้ขยายระยะเวลาออกไปครอบคลุมไปถึงช่วงสงกรานต์ โดยคาดว่าจะเสียรายได้จากมาตรการดังกล่าวทั้งหมด 2,140 ล้านบาท แต่ได้รับรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่ม 6,420 ล้านบาท” นายณัฐพรกล่าว

แก้ กม.ส่งเสริม SMEs – เพิ่มอำนาจ สสว.เรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ 0.001% ของยอดเงินฝาก

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมประเภทเงินนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ได้แก่ เงินสถาบันการเงินนำส่งเงินและเงินเพิ่ม โดยกำหนดให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มีอำนาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเป็นอัตราร้อยละไม่เกิน 0.001 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองตามอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามกฎหมายว่าด้วยปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง

และ ยังกำหนดให้สถาบันการเงินใดไม่นำส่งเงินเข้ากองทุน หรือ นำส่งไม่ครบภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราไม่เกินร้อยละสองต่อเดือนของจำนวนเงินที่ไม่นำส่ง หรือนำส่งไม่ครบ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด และให้สำนักงานมีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้สถาบันการเงินนั้นชำระเงินดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด และสุดท้ายยังเพิ่มประเภทการใช้จ่ายของเงินกองทุนส่งเสริม SME ในส่วนของเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนส่งเสริม SME ให้ชัดเจน โดยกำหนดให้เงินที่สถาบันการเงินนำส่งดังกล่าวใช้จ่ายเพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นลูกหนี้และมีปัญหากับสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอัตราเงินนำส่งกองทุนคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. …. โดยปรับลดอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จากปัจจุบันที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ให้นำส่งเหลือร้อยละ 0.009 ต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งส่วนต่างจะถูกเรียกเก็บจากสสว.ไปเข้ากองทุนส่งเสริมเอสเอ็มอีแทน อนึ่งปัจจุบันมีการนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากประมาณ 1,280 ล้านบาทต่อปี โดยมียอดคงค้างของกองทุนที่ประมาณ 123,000 ล้านบาท และมีฐานเงินฝากทั้งประเทศรวมกันประมาณ 12 ล้านล้านบาท

จัดงบกลาง 520 ล้าน ให้ ศปมผ. แก้ประมงผิด กม.

มีรายงานเพิ่มเติมจากทำเนียบรัฐบาล ว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 31 มีนาคม 2562 ภายในกรอบวงเงิน 520,455,636 บาท โดยใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติราชการระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2561 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561

โดยเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ดำเนินการตรวจเรือประมงและโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำตามเป้าหมายที่กำหนด การนำแผนการบริหารจัดการประมงทะเลของประเทศไทย พ.ศ. 2558-2562 แผนปฏิบัติการระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม พ.ศ. 2558-2562 แผนการควบคุมและตรวจตราการประมงระดับชาติ ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ แผนงานเร่งด่วนตามข้อเสนอแนะของผู้แทนสหภาพยุโรปไปสู่การปฏิบัติ และการเตรียมความพร้อมในการส่งผ่านการดำเนินงานให้แก่หน่วยงานหลักต่อไป โดยคำนึงถึงการบูรณาการขีดความสามารถ ฐานข้อมูล และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดความต้องการงบประมาณในการบำรุงรักษาระบบ ให้การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด

เคาะกำหนดการ สัญจร เชียงใหม่-ลำปาง 14-15 ม.ค. นี้

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการและประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) จ.เชียงใหม่ และจ.ลำปาง ระหว่างวันที่ 14-15 มกราคม 2562 สำหรับกำหนดการ ในวันจันทร์ที่ 14 มกราคม 2562 ช่วงเช้านายกรัฐมนตรี ไปพบประชาชนบริเวณโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อำเภอแม่แจ่ม และชมวีดีทัศน์แม่แจ่มโมเดล เกี่ยวกับบูรณาการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืนครบวงจรด้วยการใช้กลไกประชารัฐ จากนั้นนายกฯ จะเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการธรรมชาติปลอดภัยที่บ้านแม่ปางศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตรของอำเภอแม่แจ่มที่ใช้ระบบเกษตรผสมผสานตามศาสตร์พระราชา

ในช่วงบ่าย นายกฯและคณะ จะเดินทางไป จ.ลำปาง พบประชาชนที่อำเภอแม่ทะ โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานสักขีพยานในโอกาสที่ รมว. กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ได้มอบหนังสืออนุญาตให้ทำเป็นที่อยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางและพบปะประชาชนและเปิดศูนย์แสดงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก

สำหรับวันอังคารที่ 15 มกราคม 2562 เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรนอกสถานที่ ที่จังหวัดลำปางเสร็จจากการประชุมแล้ว ในช่วงบ่าย นายกฯจะเดินทางเยี่ยมชมวัดพระธาตุลำปางและสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชตอนจะเดินทางกลับ กทม.

อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 8 มกราคม 2562 เพิ่มเติม