ASEAN Roundup ประจำวันที่ 16-22 มกราคม 2565
“นูซันตารา”เมืองหลวงใหม่อินโดนีเซียหนุนวิสัยทัศน์ 2045
อินโดนีเซียได้ตั้งชื่อเมืองหลวงใหม่ว่า นูซันตาราหลังจากฝ่ายนิติบัญญัติอนุมัติการย้ายจากจาการ์ตาไปยังกาลิมันตัน ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าทางตะวันออกของเกาะบอร์เนียว ชื่อเมืองหลวงใหม่แปลว่า “หมู่เกาะ” ในภาษาชาวอินโดนีเซีย
ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของจาการ์ตา ศูนย์กลางทางการเมืองที่แออัดและกำลังทรุดตัว ทำให้ต้องสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ สภาผู้แทนราษฎรจึงได้ผ่านร่างกฎหมายการย้ายเมืองหลวงอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ซูฮาร์โซ โมโนอาร์ฟา รัฐมนตรีกระทรวงวางแผนการพัฒนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า การย้ายเมืองหลวงของประเทศไปยังกาลิมันตันตะวันออกเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะผลักดันวิสัยทัศน์ปี 2045 ของอินโดนีเซียให้เป็นจริง
วิสัยทัศน์ 2045 คือ ความมุ่งมั่นของอินโดนีเซียในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 5 อันดับแรกของโลก
ซูฮาร์โซ โมโนอาร์ฟา รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนพัฒนากล่าวว่า “การย้ายเมืองหลวงไปยังกาลิมันตันขึ้นอยู่กับการพิจารณาหลายประการ ความได้เปรียบของภูมิภาค และสวัสดิการต่างๆ ด้วยวิสัยทัศน์ การสร้างศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ให้เกิดขึ้นใจกลางหมู่เกาะ
“การย้ายเมืองหลวงเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ 2045 ของอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทั่วถึงและเท่าเทียมกันมากขึ้น ผ่านการเร่งพัฒนาในภูมิภาคตะวันออก”
โมนาอาฟากล่าวว่า การเลือกเมืองกาลิมันตันตะวันออกเป็นเมืองหลวงใหม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาหลายประการ เช่น ความโดดเด่นของภูมิภาค และยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ว่า ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่จะเกิดขึ้นใจกลางหมู่เกาะด้วย
เมืองหลวงแห่งใหม่นี้จะตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางประเทศ ขนาบข้างด้วยเส้นทางเดินทะเลของหมู่เกาะในช่องแคบมากัสซาร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นทางเดินเรือสำหรับอุทยานแห่งชาติและภูมิภาค
ที่ตั้งใหม่ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น สนามบิน ท่าเรือ และถนนที่ดีกว่าตลอดจนความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เช่น เครือข่ายที่เพียงพอ พลังงาน และน้ำดื่ม
เมืองหลวงแห่งใหม่นี้ยังอยู่ใกล้กับเมืองสนับสนุนสองแห่งที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ บาลิกปาปัน และสมารินดา ในขณะเดียวกัน ยังมีที่ดินพร้อมใช้จากการควบคุมโดยรัฐบาลในภูมิภาคก็เพียงพออย่างมากสำหรับการพัฒนาเมืองหลวงของประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงจากภัยพิบัติในภูมิภาคก็มีน้อยมากเช่นกัน
รัฐบาลจึงเชื่อว่า การก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่นี้จะมุ่งเป้าไปที่ 4 เสาหลักของวิสัยทัศน์ปี 2045 ของอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงการพัฒนามนุษย์และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิสัยทัศน์ต่อไปคือการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การพัฒนาอย่างเท่าเทียม และการเสริมสร้างความสามารถในการปรับของประเทศให้แข็งแกร่ง ตลอดจนธรรมาภิบาลที่ดี รวมทั้งคาดหวังว่า เมืองหลวงแห่งใหม่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของกาลิมันตัน และกระตุ้นความเข้มแข็งของห่วงโซ่คุณค่าภายในประเทศทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออก ซึ่งในที่สุดจะกระจายไปทั่วประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
การพัฒนาเมืองหลวงของประเทศจะทำให้อินโดนีเซียมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในแง่ของเส้นทางการค้าทั่วโลก กระแสการลงทุน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
เมืองหลวงแห่งใหม่นี้จะเป็นแบบจำลองสำหรับการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ซึ่งขับเคลื่อนโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ขณะเดียวกันก็รักษา รวมทั้งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“วิสัยทัศน์ของเรา คือ สร้างเมืองของโลกสำหรับทุกคน ไม่เพียงแต่หมายถึงผู้คนที่จะอาศัยอยู่ในเมืองหลวงในอนาคต แต่ยังรวมถึงสภาพแวดล้อมที่จะได้รับการฟื้นฟูและบำรุงรักษาด้วย”
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดได้ประกาศว่าจะมีการย้ายเมืองหลวงเป็นครั้งแรกในปี 2019 โดยให้เหตุผลถึงความวิตกต่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของจาการ์ตา
จาการ์ตาตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มใกล้ทะเล และมีแนวโน้มที่จะถูกน้ำท่วม และเป็นหนึ่งในเมืองที่ทรุดตัวเร็วที่สุดในโลก ตามรายงานของ World Economic Forum เมืองหลวงเก่าได้ทรุดตัวลงสู่ทะเลชวาในอัตราที่น่าตกใจ เนื่องจากมีการขุดเจาะน้ำบาดาลมากเกินไป
นอกจากนี้ยังเป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากเกินไปที่สุดแห่งหนึ่งของโลก องค์การสหประชาชาติระบุว่า มีคนอาศัยอยู่มากกว่า 10 ล้านคน โดยประมาณ 30 ล้านคนอยู่ในเขตรอบนอก
ข้อมูลจากสำนักงานวางแผนและพัฒนาแห่งชาติชี้ว่า เมืองหลวงใหม่จะมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 256,143 เฮกตาร์ (ประมาณ 2,561 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งเกือบทั้งหมดแปลงมาจากพื้นที่ป่า
อินโดนีเซียเป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนใหญ่ในเกาะบอร์เนียว ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก โดยมาเลเซียและบรูไนต่างถือครองพื้นที่ทางตอนเหนือ
ศรี มุลยานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินโดนีเซีย กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคารว่า การพัฒนาเมืองหลวงใหม่มี 5 ขั้นตอน ในระยะแรกน่าว่าจะเริ่มในปี 2565 จนถึงปี 2567 โดยคาดว่าพัฒนาต่อเนื่องจนถึงปี 2588
ก่อนหน้านี้มีการประเมินกันว่า โครงการเมืองหลวงใหม่น่าจะมีมูลค่าประมาณ 466 ล้านล้านรูเปียห์ (32 พันล้านดอลลาร์)
เวียดนามเริ่มวิจัยเทคโนโลยี 6G ปีนี้
เวียดนามจะเริ่ม วิจัยเครือข่ายไร้สาย 6Gในปี 2565 นี้ รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศและการสื่อสารเหงียน มันห์ ฮุง กล่าว
ในงานประชุมเพื่อประเมินผลการดำเนินงานโทรคมนาคมปี 2564 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายฮุงกล่าวว่า อุตสาหกรรมโทรคมนาคมของเวียดนามควร “อยู่ในกลุ่มอันดับต้น ๆ ของโลในแง่ของการติดตั้งและใช้งาน 5G และการพัฒนาเครือข่าย 6G ”
นายฮุงกล่าวว่า เวียดนามจะเริ่มทำการวิจัย 6G ในปีนี้ควบคู่ไปกับการติดตั้งเครือข่าย 5G ทั่วประเทศ รวมทั้งวางเป้าหมายออกใบอนุญาตคลื่นความถี่ 6G ภายในปี 2571 ก่อนที่จะดำเนินการเชิงพาณิชย์
โดยขณะนี้ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลการวิจัยการติดตั้ง 6G เรียบร้อยแล้ว และกลายเป็น 1 ใน 10 ประเทศแรกของโลกที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแล
“เครือข่ายโทรคมนาคมต้องเปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมบนคลาวด์และสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์บนคลาวด์อย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะและยืดหยุ่น และสามารถกำหนดค่าซอฟต์แวร์ให้เป็นเครือข่ายย่อยเฉพาะจำนวนมากได้ และ Open RAN จะถูกใช้เป็นเทคโนโลยีสำหรับการพัฒนา 5G และ 6G ,”
บริษัทเวียดนามควรตั้งเป้าหมายว่า จะวิจัยและผลิตอุปกรณ์ 5G และ 6G อุปกรณ์ส่งสัญญาณ และอุปกรณ์ปลายทางได้สำเร็จ
เจ้าหน้าที่ของกระทรวงกล่าวว่า เวียดนามจะใช้ 5G เชิงพาณิชย์ในปีนี้และตั้งเป้าว่า 25% ของประชากรประเทศใช้เทคโนโลยี 5G ภายในปี 2568 ขณะที่ปัจุบันบริการ 4G ครอบคลุม 99.8% ของประเทศ
ผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ VNPT, MobiFone และ Viettel ได้ทดลองใช้บริการ 5G ในเชิงพาณิชย์แล้วใน 16 จังหวัดและเมืองต่างๆ
เทคโนโลยี 6G เป็นก้าวต่อไปจาก 5G ที่มีการวิจัยในหลายประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกาและจีน ตามทฤษฎีแล้ว 6G จะมีความเร็วถึง 1 เทระบิตต่อวินาที
เครือข่าย 6G คาดว่าจะวางรากฐานสำหรับ “ยุคอัจฉริยะ” ที่ AI และหุ่นยนต์กลายเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการตกลงมาตรฐานทางเทคนิคหรือความถี่สำหรับ 6G
ลาวออกใบอนุญาตแพลตฟอร์มซื้อขายเงินคริปโท
ทางการสปป.ลาวได้อนุมัติอย่างเป็นทางการให้ แพลตฟอร์มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล 2 ราย เปิดให้บริการในประเทศธนาคารแห่งประเทศลาว (BOL) ได้อนุมัติในหลักการออกใบอนุญาตแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลให้กับ LDX (Lao Digital Assets Exchange Co.) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง AIF Group และ กลุ่มพงซับทวี กับ Bitqik ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ กลุ่มสีเมือง
ทั้งสองแพลตฟอร์มเป็นผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตและกำกับดูแลเพียงสองแห่งในประเทศที่ได้รับอนุญาตให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์และซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบ โดยเพื่อให้บริการทั้งลูกค้าลาวและภูมิภาค
ทั้งแพลตฟอร์ม LDX และ Bitqik คาดว่าจะให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนเมษายนปีนี้ และจะปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองการลงทุน เพื่อให้การใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในลาวราบรื่นและปลอดภัย
ชาวลาวจำนวนมากเริ่มขุดเงินสกุลดิจิทัลและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแล้ว อย่างไรก็ตาม การแลกเปลี่ยนและการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมีการทำรายการผ่านแพลตฟอร์มนอกประเทศว และต้องเผชิญกับข้อจำกัด ความเสี่ยง และไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบในประเทศลาว
การออกใบอนุญาตให้สองแพลตฟอร์มนี้ ช่วยให้นักลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและคริปโทที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ สามารถใช้บัญชีธนาคารในประเทศแทน การจะพึ่งพาธนาคารต่างประเทศหรือบัตรเครดิตเมื่อซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม
สปป.ลาวห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการ
รัฐบาลลาวได้สั่งห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรบางรายการ ทั้งสัตว์เศรษฐกิจที่เลี้ยงในฟาร์ม และปลา เพื่อผลักดันให้มีการผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อที่ระกระตุ้นเศรษฐกิและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
สำหรับพืชเกษตรที่ห้ามนำเข้าและควรเร่งการปลูกให้มากขึ้น ได้แก่ กะหล่ำปลี กระเทียม หอม พริกไทย ผักกาดหอม และผักกาดขาว รวมทั้งกระตุ้นให้เลี้ยงวัวควาย สุกร แพะ ไก่ เป็ด และห่าน ซึ่งได้ห้ามการนำเข้า
นอกจากนี้ยังห้ามนำเข้าปลานิลและปลาน้ำจืดทุกชนิด
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับกรเกษตรและยังคงนำเข้าได้ คือ น้ำเชื้อพันธ์ุเพื่อการเพาะพันธ์ุ เม็ดพันธ์ุข้าว วัคซีนสำหรับสัตว์ และเครื่องมืออุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในสัตว์ และอาหารสัตว์
ธุรกิจยังคงนำเข้าวัตถุดิบเพื่อเป็นอาหารสัตว์และนำเข้าวัคซีนที่ไม่สามารถผลิตในประเทศได้ รวมทั้งอุปกรณ์การเกษตรและเครื่องจักรที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์
นอกจากยังสามารถนำเข้าสินค้าบางรายได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ โดยต้องเพื่อใช้งานเฉพาะและไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในประเทศ และรวมถึงเนื้อวัว เนื้อแกะ และเนื้อนกกระจอกเทศ ระดับพรีเมียมที่เสิร์ฟในร้านอาหารและโรงแรมขนาดใหญ่ รวมทั้งยังอนุญาตให้นำเข้า น้ำมันหมู หนังหมู และเนื้อชิ้นใหญ่ที่ใช้ในการแปรรูปโดยบริษัทหรือโครงการเฉพาะ
สำหรับอาหารทะเลยังคงนำเข้าได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด โดยแต่ละจังหวัดอาจจะจัดสรรโควตาเฉพาะเป็นระยะๆ ตามตวามต้องการจริง
ดร.สอนไซ สีพันดอน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงวางแผนและการลงทุนกล่าวว่า เพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศ รัฐบาลได้ตัดสินใจที่กำหนดการนำเข้าสินค้าเป็นบางรายการ ทั้งข้าว พืช สัตว์ ไม้ ปลา กบ เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตเพื่อรักษาสมดุลของอุปสงค์ในประเทศ
เมียนมาอนุญาตโอนเงินผ่านธนาคารส่งออกทองคำมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลล์
อู เมียว มินท์ประธานสมาคมผู้ประกอบการทองคำเขตย่างกุ้ง เปิดเผยว่า การโอนเงินระหว่างประเทศสำหรับธุรกรรมทองคำมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นได้รับอนุญาตให้ใช้ ระบบการโอนเงินผ่านธนาคาร หรือ Telegraph Transfer (TT) ซึ่งจะช่วยฟื้นตลาดส่งออกทองคำ
“ผู้ค้าไม่ต้องเผชิญอุปสรรคในการส่งออกทองคำอีกต่อไป และกำลังเตรียมส่งออก ธุรกิจช่างทองก็กลับมาเปิดดำเนินการเช่นกัน ตัวแทนด้านการขนส่งก็เริ่มดำเนินการตามขั้นตอนการส่งออก”
อย่างไรก็ตาม ธุรกรรมที่มีมูลค่ามากกว่า 50,000 ดอลลาร์ ยังต้องโอนเงินผ่าน เลตเตอร์ออฟเครดิต (LC) เท่านั้น ผู้ที่ต้องการส่งออกทองคำสามารถสอบถามขั้นตอนได้ที่ศูนย์บริการครบวงจร หรือสอบถามสมาคม ได้ในบางประเด็น
กระทรวงพาณิชย์ประกาศไว้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2563 ว่าธุรกรรมการส่งออกและนำเข้าทองคำสามารถทำได้ผ่านระบบ LC เท่านั้น
เมียนมาถูกจัดให้อยู่ในบัญชีสีเทาโดยคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ Financial Action Task Force (FATF) ซึ่งเป็นหน่วยงานระหว่างรัฐบาลที่กำหนดมาตรฐานการต่อต้านการฟอกเงิน ดังนั้นเมียนมาต้องติดตามการส่งออกและนำเข้าทองคำและเครื่องประดับเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรายได้ที่ผิดกฎหมาย กรมการค้าได้ออกประกาศเปลี่ยน วิธีการชำระเงินเป็น LC
การชำระเงินโดยใช้ LC อาจใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ผู้ใช้บริการทั้งสองฝ่ายจึงมีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการธนาคาร และค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยในการขนส่งสูงขึ้น ส่งผลให้ การซื้อขายทองคำในตลาดต่างประเทศหยุดชะงัก เนื่องจากราคาที่ผันผวน ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ได้มีการอนุญาตให้ใช้ระบบ TT สำหรับธุรกรรมที่มีมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ในการส่งออกทองคำ ธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงกว่านั้นอนุญาตให้ใช้ LC เท่านั้น
ทองและเครื่องประดับอื่นๆ ส่วนใหญ่ซื้อโดยญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี และมีนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆบ้าง
สิงคโปร์ติดอันดับ 3 จุดหมายปลายทางลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิก
สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็น จุดหมายปลายทางที่ต้องการมากที่สุดเป็นอันดับ 3สำหรับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ข้ามพรมแดนในเอเชียแปซิฟิกในปี 2565 จากการสำรวจนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกครั้งล่าสุดของ CBRE
โตเกียวครองตำแหน่งสูงสุดเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันโดยเซี่ยงไฮ้มาเป็นอันดับสอง
การสำรวจซึ่งครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท พบว่า 60% ของนักลงทุนตั้งใจที่จะเข้าซื้อกิจการในปีนี้มากกว่าในปี 2564 นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิก สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียแสดงออกถึงความต้องการซื้อมากที่สุด
“ด้วยความต้องการโดยรวมของนักลงทุนที่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่ง เราคาดการณ์ว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั่วทั้งภูมิภาค”เกร็ก ไฮแลนด์ ผู้บริหารฝ่ายตลาดทุนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ CBRE กล่าว
CBRE คาดการณ์ว่า มูลค่าการซื้อขายของการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้น 5 -10% เป็นประมาณ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565
ข้อมูลของ CBRE ยังชี้ว่า ค่าเช่าสำนักงานเติบโตแข็งแกร่ง เพราะสิงคโปร์ยังคงดึงดูดนักลงทุนจากญี่ปุ่น ไต้หวัน และนอกเอเชียแปซิฟิก
สิงคโปร์มีการเข้าซื้อกิจการหลายระลอก โดยผู้จัดการกองทุนระหว่างประเทศ เพราะคาดว่าจะมี “ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานใหม่จำกัด และความต้องการเช่าซื้อที่แข็งแกร่งจากบริษัทเทคโนโลยี” รายงานระบุ