
(ซ้าย) นายประสิทธิ์ ไวยาวัจมัย กรรมการบริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด / (ขวา) ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดเสวนาออนไลน์หัวข้อ “Understanding Climate Change as Business Drivers” เพื่อทำความเข้าใจธุรกิจกับ Climate Change ให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของนโยบาย-ตลาดโลก และรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยมีศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในเวทีการบรรยายแรกเป็นของ นายประสิทธิ์ ไวยาวัจมัย กรรมการบริษัท อีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด กับหัวข้อ “Business and Climate Change” โดยนายประสิทธิ์เริ่มจากฉายภาพให้เห็นว่า ในอดีตโลกให้ความสนใจกับประเด็นโลกร้อน หรือ Global Warming ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อมในเชิงกายภาพ (physical risk) ดังที่เห็นเหตุการณ์อุบัติภัยทางธรรมชาติในพื้นที่ทั่วโลก
ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยมากที่สุด จากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
เหตุการณ์ถัดมาที่ทำให้โลกหันมาตระหนักประเด็นเหล่านี้มากขึ้นคือการลงนาม Paris Agreement ในปี 2015 จึงเกิดคำใหม่ขึ้นคือ ‘อุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียล และ 2 องศาเซลเซียล’ กล่าวคือตัวเลขอุณหภูมิข้างต้นมาจากงานศึกษาของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ซึ่งระบุว่า โลกจะเข้าสู่จุดที่ย้อนกลับไปเป็นสภาวะปกติได้หากสามารถรักษาอุณหภูมิให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซียล โดยเทียบกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเมื่อประมาณ 20-30 ปีก่อน แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้จะทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
- คำเตือนสุดท้าย: วิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทุกคนต้องรู้จากรายงาน IPCC ฉบับที่6
- คำเตือนครั้งสุดท้ายจากIPCC – โลกร้อนลงทะเลถึงความเสี่ยงทางการเงิน
- รายงาน IPCC คาดอีก 20 ปีโลกร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศา UN ชี้ “สัญญานอันตราย”
“ทุกวันนี้ธุรกิจในโลกก็ต้องเติบโต และกิจกรรมต่างๆ ล้วนปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ถ้าจะควบคุมให้ได้จริงๆ ต้องเปลี่ยนแปลงกิจกรรมบางอย่างเช่น ใช้เทคโนโลยีที่ดีขึ้น ใช้เชื้อเพลิงน้อยลง ใช้พลังงานสะอาด หรือการชดเชยคาร์บอน และถ้าจะทำให้อุณหภูมิต่ำกว่า 1.5 องศา ต้องทำให้ได้ตั้งแต่กลางศตวรรษนี้หรือปี 2050”
นายประสิทธิ์ ให้ข้อมูลว่า ในรายงาน The Sixth Assessment Report หรือ AR6 โดยIPCCซึ่งเป็นรายงานสถานการณ์ฉบับปัจจุบันได้อธิบายถึง 5 สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น หรือ scenario ของ ‘ภาวะโลกรวน’ ในบริบทที่ครอบคลุมไปถึงภาคเศรษฐกิจและสังคม-ประชากร ขณะที่รายงานฉบับก่อนหน้านี้บรรยายเพียง 4 สถานการณ์ และอธิบายถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
รายงานฉบับที่ 6 (AR6) จะมุ่งไปที่การทำรายงานบ่งบอกสภาพความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่จะสร้างผลกระทบอุณหภูมิของโลก ดังนี้
- Scenario ที่ 1 และ 2 มีเป้าหมายเดียวกันคือกรณีที่โลกสามารถลดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียล และควบบคุมไม่อุณหภูมิไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียล
- Scenario ที่ 3 ถึง 5 นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เลวร้าย เพราะอุณหภูมิโลกจะพุ่งสูงถึง 2.7 – 4.4 องศาเซลเซียล ทำให้สิ่งมีชีวิตบางประเภทหายไปจากโลกนี้ และบางอาชีพไม่สามารถทำงานได้ เช่น ประมง เพราะมีการย้ายถิ่นฐานและทรัพยากรชายฝั่งทะเลมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ
นายประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โลกในปัจจุบันอยู่ใน scenario 3 และ 4 เพราะอุณหภูมิโลกอยู่ระหว่าง 2.7 กับ 3.6 องศาเซลเซียล ดังนั้นผลกระทบที่ใหญ่หลวงอาจไม่ได้เกิดกับคนรุ่นปัจจุบัน แต่จะเกิดกับคนรุ่นลูกหลานในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นายประสิทธิ์ย้ำว่า ต่อให้โลกนับจากวันนี้เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุด มนุษย์ก็ยังเจอกับสถานการณ์ทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง
“โลกของเรามีสถานการณ์ที่สุดขั้ว 2 ฝั่ง ฝั่งแรกคือทุกคนทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ให้ความสนใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ High Carbon Scenario ทำให้เกิดผลกระทบทางกายภาพ เช่น น้ำท่วม น้ำแล้ง ฝนตกหนัก แผ่นดินไหว เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นและกระจายไปทั่วโลกอย่างที่เราเห็นตัวอย่างในรอบหลายปี อีกฝั่งคือทุกคน-สังคมทำอะไรบางอย่าง โดยมีกฎระเบียบข้อบังคับ แรงจูงใจ มีการตั้งภาษีที่สูงกว่าปกติ และเทคโนโลยี”
นายประสิทธิ์กล่าวต่อว่า ความท้าทายในการลดก๊าซเรือนกระจกคือการเปิดเผยข้อมูลเพื่อแสดงธุรกิจหรือประเทศใดที่สร้างผลกระทบต่อ Climate Changes ทำให้เข้าใจความเสี่ยงและโอกาสที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่ธุรกิจต้องทำในภาพใหญ่มี 4 มิติ คือ (1) การเปลี่ยนแปลงตลาดด้วยเทคโนโลยี (2) กฎระเบียบข้อบังคับ (3) แรงกดดันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นักลงทุนหรือ Stakeholder และ (4) ประเมินผลกระทบเชิงกายภายต่อธุรกิจ (physical impact)
ที่สำคัญคือ แรงกดดันเรื่องต้นทุนที่ต้องลงทุนในเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีคาร์บอน หรือต้นทุนการผลิต วัตถุดิบ และพลังงานที่สูงขึ้นจากประเทศที่สามารถสร้างพลังงานที่ยั่งยืน รวมถึงแรงกดดันจากความคาดหวังของนักลงทุนและกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ต้องการเห็นธุรกิจให้ความสำคัญต่อภาวะโลกรวน ไม่ว่าจะเป็น รายละเอียดข้อบังคับ มาตรการการกีดกันทางการค้า หรือกรณีซื้อขายกับประเทศกลุ่มยุโรปก็ต้องผ่านมาตรการที่ EU บังคับใช้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องแหล่งเงินทุน เนื่องจากสถาบันการเงินจะให้ความสำคัญกับการปล่อยเงินกู้และดอกเบี้ยที่ต่ำลง กรณีที่สามารถแสดงได้ว่าบริษัทตอบโจทย์ในมิติความยั่งยืน
“โอกาสคือคนที่ปรับตัวได้เร็ว ใครปรับตัวได้ก่อน ต้นทุนการปรับตัวจะถูกกว่า จะมีราคาของเทคโนโลยีประหยัดพลังงานราคาถูกลง รวมถึงกฎระเบียบข้อบังคับ เป้าหมายแต่ละประเภทก็จะวางกลไกเอื้อประโยชน์ให้ลดคาร์บอนมากยิ่งขึ้น และผู้ออกแบบนโยบายก็จะมีส่วนร่วมและทำให้คนปฏิบัติตามได้มากขึ้น”
ท้ายที่สุด นายประสิทธิ์แนะนำว่าภาคธุรกิจควรทำ 6 เรื่องเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
- ประเมินตัวเองว่าธุรกิจปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์เท่าไรต่อปี โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องคำถามเรื่องการใช้พลังงาน (energy consumption)
- ตั้งเป้าว่าจะทำอย่างไรให้เป็นส่วนหนึ่งในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเป้าที่ดีที่สุดคือเป้าที่ช่วยลดอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียล
- ทางเลือกหนึ่งในการประหยัดพลังงานคือ ลดการใช้พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน เพราะทุกองค์กรจำเป็นต้องใช้พลังงานอยู่แล้ว
- หันไปใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานเชื้อเพลิง พลังงานชีวมวล (Biomass)
- ส่งเสริมและลงทุนในกิจกรรมที่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ เช่น ปลูกต้นไม้ เพราะเป็นส่วนของการลดการตัดไม้ทำลายป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
- เป้าหมายขององค์กรต้องไม่ใช่แค่ปีต่อปี แต่ต้องมองถึงการจัดการความเสี่ยงในระยะยาว (physical risk)