![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2018/06/DSC_7449-620x414.jpg)
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์จีนกับไทยทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม มีบันทึกไว้มากมาย
การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยและจีนในปี 1975 เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เจริญงอกงามในระยะต่อมาที่จีนเริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ระหว่างกันขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าสูง แม้สถานการณ์ทางการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ แต่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับจีนได้อย่างต่อเนื่อง
ดร.จื้อกัง หลี่ ประธานกรรมการ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) ตัวแทนจาก Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ของจีนที่เข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารสูงสุดของธนาคารไอซีบีซี (ไทย) มาร่วม 5 ปี ได้สะท้อนมุมมองและแนวคิดในฐานะนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในเมืองไทย โดยสัมภาษณ์กับสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า
ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือของ Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ของจีน ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดในโลกด้วยขนาดของสินทรัพย์ 3.45 ล้านล้านดอลลาร์ จากการจัดอันดับของ S&P Global Intelligence ในปี 2017 และได้สร้างความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจการเงินไทยด้วยการซื้อกิจการธนาคารสินเอเซียในปี 2010
“คนจีนส่วนหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานมาแล้ว แม้ผมจะไม่รู้จำนวนที่แน่นอน แต่ไทยกับจีนนั้นมีความสัมพันธ์กันมายาวนานตั้งแต่ประวัติศาสตร์ คนไทยส่วนหนึ่งมีสายเลือดจีน บรรพบุรุษมาจากกวางตุ้งบ้างแต้จิ๋วบ้าง”
ดร.หลี่กล่าวว่า เมื่อมองจากเศรษฐกิจในภาพใหญ่ ไม่คิดว่ามีประเด็นใดที่จะมีผลต่อความสัมพันธ์ไทยจีน เพราะเห็นแล้วว่าคนไทยกับคนจีนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก แม้ไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่คณะรัฐมนตรีทุกชุดได้รักษาความสัมพันธ์ต่อเนื่อง เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะจีนคือแหล่งส่งออกสินค้าขนาดใหญ่ของไทย และเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยมากที่สุด ดังนั้น ความสัมพันธ์ไทย-จีนจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ ในแง่ลักษณะที่ตั้ง ไทยกับจีนก็มีที่ตั้งไม่ห่างกันมาก
ดร.หลี่กล่าวว่า ไทยเองก็มีข้อได้เปรียบ ข้อดีคือ มีความเป็นมิตร ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนชาติใด ดังนั้น สำหรับคนต่างชาติที่เข้ามาพำนักในไทยแล้วก็มีความรู้สึกสบายใจ เพราะคนไทยไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ อีกทั้งคนไทยเป็นคนที่มารยาทดี ให้ความเคารพคนต่างชาติเท่าเทียมกับเคารพคนในชาติ ให้เกียรติคนอื่น
ดร.หลี่กล่าวว่า สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ วัฒนธรรมของไทย ที่ inclusive ไม่แบ่งแยก ยอมรับคนชาติอื่นในอยู่ร่วมในสังคมได้ ต่างจากประเทศอื่นที่จะเห็นว่า คนจีนถูกกีดกันและไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนั้น ขณะที่ไทยนั้นให้เกียรติคนต่างชาติ รวมทั้งคนจีน
“ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตและทำงานในไทยมา 5 ปี ไม่เคยถูกแบ่งแยกจากคนไทยเลย ไม่ว่าจะเป็นการพบกับลูกค้าคนไทยหรือกับคนอื่นๆ ซึ่งสำหรับคนจีนแล้วการให้เกียรติหรือเคารพกันและกันมีความสำคัญมาก ผมมีความรู้สึกที่ดีกับไทย ผมคิดว่าไทยเป็นประเทศที่ดีในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และผมก็แนะนำคนจีนที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ ว่าให้เที่ยวประเทศไทยเป็นที่แรก”
กระชับสัมพันธ์ผ่านลงทุนโครงการ
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่กระแสการค้าการลงทุนไหลเวียนไปทั่วโลก ทั่วทุกภูมิภาค จีนกับไทยได้กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก เมื่อจีนประกาศโครงการ One Belt, One Road หรือ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ เพราะไทยไม่เพียงมีทำเลที่ตั้งบนเส้นทาง One Belt, One Road เท่านั้น แต่ One Belt, One Road ยังทาบทับลงบนยุทธศาสตร์ EEC ของไทย และเสริมความร่วมมือกันได้อย่างลงตัว
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2018/06/onebeltoneroad.jpg)
ดร.หลี่กล่าวว่า One Belt, One Road ของจีนและ EEC ของไทย สามารถเชื่อมโยงกันได้ เพราะไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ตอบรับเข้าโครงการ One Belt, One Road อีกทั้งไทยมีที่ตั้งอยู่บนแผนที่ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
“One Belt, One Road ไม่เพียงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สร้างสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย ไทยกับจีนเองมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์มายาวนาน และทั้งสองประเทศเองก็ได้กระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นมาตลอด”
One Belt, One Road (OBOR) คือ เส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จีนฟื้นฟูขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 2013 โดยมีแผนลงทุน Belt and Road Initiatives (BRI) ที่มุ่งสร้างครือข่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางบก (Road) และทางทะเล (Belt) ที่ครอบคลุมตั้งแต่เส้นทางถนน ทางรถไฟ โทรคมนาคม ท่อส่งน้ำมัน และท่าเรือ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจทั้งภายในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาคครอบคลุมตั้งแต่ยูเรเชีย แอฟริกาตะวันออก และอีกกว่า 60 ประเทศทั่วโลก
“เส้นทางสายไหมในประวัติศาสตร์ทางบกเริ่มจากซีอานไปยุโรปและทางทะเลที่เริ่มจากฝูเจี้ยนเพื่อการส่งออกสินค้าจีนผ่านทะเลจีนใต้ ผ่านช่องแคบมะละกา ไปสู่อินเดีย ได้สร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ บนเส้นทางนี้ เส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 ก็เช่นเดียวกัน จีนต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเหล่านี้ไว้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม”ดร.หลี่กล่าว
ดร.หลี่กล่าวต่อว่าจีนมีการพัฒนาที่เร็วมาก จึงต้องการที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกับประเทศพันธมิตร ไม่เพียงการส่งออกสินค้าจากจีนเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการนำเข้าสินค้ามาจีนด้วย ธุรกิจจีนเองก็ต้องการที่จะขยายการลงทุนไปยังประเทศพันธมิตรที่อยู่บนเส้นทาง หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้
หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางมีทั้งเส้นทางบกและเส้นทางน้ำหรือทางทะเล มีทั้งรถไฟ เรือ ที่มีเป้าหมายเพื่อความเชื่อมโยงกับภูมิภาคไม่เฉพาะการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟ ซึ่งเป็นเส้นทางบกเท่านั้น แต่เชื่อมโยงทางน้ำหรือทางทะเลอีกด้วย จากแผนที่หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางจะเห็นว่ามีหลายท่าเรือที่อยู่บนเส้นทาง ในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงท่าเรือเหล่านี้ด้วย เพราะเป็นเส้นทางที่สำคัญไม่เฉพาะกับจีนเท่านั้น แต่สำหรับประเทศที่อยู่บนเส้นทางนี้ด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางไปจีนที่จะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลัก การเชื่อมโยงท่าเรือบนเส้นทางจะช่วยย่นระยะทางและเวลาได้มาก
หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางจะส่งผลดีต่อภูมิภาคอาเซียน เพราะข้อแรก ความต้องการสินค้าของประเทศอาเซียนจากจีนมีมาก และเป็นโอกาสที่ประเทศในอาเซียน จะได้ขยายการส่งออกสินค้าไปจีน ข้อสอง รัฐบาลจีนต้องการส่งเสริมให้ธุรกิจจีนขยายการลงทุนออกนอกประเทศให้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อาเซียนมีโอกาสได้รับการลงทุนจากจีนมากขึ้น ข้อสาม ชาวจีนต้องการที่จะเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น จะทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคบริการมีการขยายตัวมีการพัฒนามากขึ้น เห็นได้ชัดกรณีของประเทศไทยที่มีคนจีนมาเที่ยวเกือบปีละประมาณ 10 ล้านคน มีการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวและจะมีผลต่อธุรกิจกลุ่มอุปโภคบริโภคในไทยอย่างมาก
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2018/06/thaipublica_DSC_7456_จื้อกัง-หลี่-414x620.jpg)
ดร.หลี่กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญในอาเซียน และอยู่บนแผนที่หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่มีความเชื่อมโยงกับอาเซียน ซึ่งรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยได้หารือต่อเนื่องเกี่ยวกับโครงการรถไฟไทย-จีน และ ASEAN Railway ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อ One Belt, One Road
รัฐบาลไทยได้อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพฯ-หนองคาย (ระยะที่ 1 ช่วง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) หรือรถไฟไทย-จีน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 ด้วยความคาดหวังว่าจะเชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคและสอดรับกับโครงข่ายคมนาคมตามนโยบาย One Belt, One Road ของรัฐบาลจีนด้วย โดยการก่อสร้างช่วงแรกที่มีระยะทาง 3.5 กิโลเมตร (บ้านกลางดง-บ้านปางอโศก) ได้เริ่มขึ้นแล้วในช่วงปลายปี 2560
“โครงการรถไฟไทย-จีน และอาเซียนเรลเวย์ เป็นโครงการขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อ One Belt, One Road ซึ่งโครงการนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่เสร็จสิ้น มีบริษัทจีนให้ความสนใจจำนวนมาก รวมทั้งได้เดินทางเข้ามาไทยเพื่อหาข้อมูลต่อเนื่อง เพราะมีแผนที่จะลงทุนในโครงการ และพยายามหาโอกาสที่จะร่วมลงทุนในโครงการนี้”
ดร.หลี่กล่าวว่า โครงการรถไฟไทย-จีนเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องใช้เวลาพอสมควร อย่างไรก็ตาม การเปิดประมูลทั้ง 14 ตอนน่าจะเสร็จสิ้นภายในครึ่งแรกของปีนี้ และปีหน้าจะเห็นความชัดเจนของการก่อสร้างมากขึ้น
ดร.หลี่เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนได้สนับสนุนให้บริษัทจีนเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อศึกษาและหาข้อมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เพราะคาดว่าคงมีนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติให้ความสนใจที่จะยื่นซองประกวดราคาจำนวนมาก เนื่องจากเป็นโครงการก่อสร้างที่เพิ่มความสะดวกให้กับประชาชน จากการที่เชื่อม 3 สนาม คือ สนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินดอนเมืองและสนามบินอู่ตะเภา และจะมีเอื้อผลต่อการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)อีกด้วย
เมื่อวันที่18 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา รฟท. ได้เปิดขายซองเอกสารโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงทพ-ระยองเชื่อม 3 สนามบินเป็นวันแรก โดยจะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าซื้อซองเอกสาร (TOR) ไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2561
นอกจากโครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นหนึ่งของโครงการลงทุนในไทยที่นักลงทุนจีนให้ความสนใจแล้ว ดร.หลี่กล่าวว่า ยังมีโครงการอื่นที่นักลงทุนจีนสนใจด้วยเช่นกัน คือ หนึ่ง โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 2 ซึ่งมีบริษัทก่อสร้างจีนให้ความสนใจและเข้าซื้อซองประกวดราคา และสอง โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า วิสาหกิจของจีน 2 แห่งจากปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีประสบการณ์ในการก่อสร้างสนามบิน ได้แสดงความสนใจงานก่อสร้างที่เกี่ยวกับอาคารที่จะยื่นซองประกวดราคาภายใต้โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะ 2
“บริษัทจีนที่เข้ามาไม่ได้เป็นคู่แข่งบริษัทในประเทศของไทย แต่บางครั้งก็ร่วมเป็นพันธมิตร เพราะบริษัทก่อสร้างจีนมีจุดเด่นตรงที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลนีขั้นสูง จึงสามารถนำเทคโนโลยี เครื่องมืออุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ ขณะที่บริษัทในประเทศก็มีข้อได้เปรียบตรงที่มีความรู้ความเข้าใจที่ดีความคุ้นเคยต่อกฎระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตาม และไม่กระทำการใดที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย”
ถึงเวลานักลงทุนจีนมองไทย
ดร.หลี่กล่าวว่า นับตั้งแต่จีนมีการผลักดัน One Belt, One Road ธุรกิจของจีนได้ขยายการลงทุนตามแนวเส้นทางสายไหมใหม่มากขึ้น เห็นได้จากจำนวนบริษัทของจีนที่เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมระยอง (ไทย-จีน) ตั้งโรงงานผลิตเกือบ 100 บริษัท ซึ่งมีทั้งโรงงานยางรถยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่รถ ด้านการสื่อสารเทเลคอม พลังงานโซลาร์ เครื่องจักร อิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีขั้นสูง
ดร.หลี่กล่าวว่า โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) แผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลไทยจะเพิ่มโอกาสให้กับนักลงทุนจากจีนมากกว่าเดิม เพราะ EEC จัดตั้งโดยกฎหมายเฉพาะ ที่ให้สิทธิภาษี ให้สิทธิคนต่างชาติเข้ามาทำงานได้มากกว่ากฎหมายเดิม โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand หรือ EECd) ซึ่งจะดึงนักลงทุนจากจีนให้ขยายธุรกิจมามากขึ้น
โครงการ EEC ยังได้ส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่เอกชนจีนมีความถนัด ก็คาดว่าน่าจะดึงความสนใจจากนักลงทุนจีนได้มาก
สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย 5 อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนและมีการดำเนินการแล้วในปัจจุบัน (First S-curve) และ 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) โดยกลุ่มอุตสาหกรรม First S-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (next generation automotive) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (smart electronics) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กลุ่มที่สร้างรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (affluent, medical and wellness tourism) อุตสาหกรรมการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ (agriculture and biotechnology) และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (food for the future)
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2018/06/eecroadshow1-620x413.jpg)
https://www.eeco.or.th
ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรม New S-curve ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (robotics and automation) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (aviation and logistics) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (biofuels and biochemicals) อุตสาหกรรมดิจิทัล (digital) และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (medical hub)
ดร.หลี่กล่าวว่า จากการติดตามโครงการ EEC ของรัฐบาลก็เห็นได้ชัดว่า โครงการมีการดำเนินการที่คืบหน้า ตั้งแต่การให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออกหรือกฎหมายอีอีซี ที่มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย การขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ส่วนแผนขยายสนามบินแห่งอื่น ทั้งดอนเมือง อู่ตะเภา ก็อยู่ในกระบวนการและล่าสุดมีการเปิดให้ซื้อซอง TOR โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง
ดร.หลี่กล่าวว่า โครงการ EEC เปิดโอกาสให้กับทั้งนักลงทุนจีนและธนาคารไอซีบีซีไทยเอง เนื่องจาก ไอซีบีซีในฐานะที่เป็นธนาคาร พร้อมสนับสนุนบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในไทย มีการให้บริการทางการเงินผ่านผลิตภัณฑ์และบริการหลากลายทั้งเงินกู้ ตราสารหนี้ หรือเงินกู้ร่วม (syndicated loan) เพื่อให้ธุรกิจนำไปลงทุนพัฒนากิจการ
“ตั้งแต่ไทยประกาศโครงการ EEC มีนักลงทุนจีนแสดงความสนใจผ่านธนาคารที่จะเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก และธนาคารไอซีบีซีไทยให้การต้อนรับนักธุรกิจจีนมากขึ้น นักธุรกิจจีนเดินทางเข้ามาไทยมากขึ้น และในสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนนี้ไอซีบีซีไทยได้ต้อนรับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลและนักลงทุนจากจีน 2 กลุ่ม ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้เข้ามาหาข้อมูลเพื่อการลงทุน”
ดร.หลี่เปิดเผยต่อว่า ธนาคารไอซีบีซี ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของโครงการ EEC จึงได้ทำงานร่วมกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกมาต่อเนื่อง โดยได้จัดโรดโชว์นำตัวแทนสำนักงานเดินทางไปปักกิ่งเพื่อแนะนำโครงการ EEC กับนักธุรกิจจีนได้แล้ว 2 ครั้ง และได้จัดนักธุรกิจจีนเดินทางมาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ประเทศไทย รวมทั้งได้จัดการประชุมระหว่างนักธุรกิจจีนกับฝ่ายไทย ไปแล้ว 4-5 ครั้ง
ดร.หลี่กล่าวว่า ไม่สามารถประเมินมูลค่าการลงทุนของธุรกิจจีนที่จะเข้ามาลงทุนใน EEC ได้ แต่เชื่อว่าโครงการลงทุนที่สำคัญคือโครงการรถไฟความเร็วสูง และหากโครงการนี้พัฒนาได้สำเร็จก็จะดึงการลงทุนจากจีนได้มากขึ้น เฉพาะมูลค่าลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงก็มีมูลค่าสูงถึง 200 พันล้านบาท เป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูงมาก
บริษัทขนาดกลางและขนาดใหญ่ของจีนน่าจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสขยายการลงทุนมายังไทยมาก เพราะบริษัทใหญ่ของจีนนั้น ได้มีการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจ มีศักยภาพมีความสามารถมากพอที่จะขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศ จำนวนบริษัทจีนที่รู้จักประเทศไทยมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ ประเมินจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยที่มีจำนวน 10 ล้านคน ก็แสดงให้เห็นว่าคนจีนรู้จักไทยมากขึ้น
“สำหรับธุรกิจจีนผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเริ่มพิจารณาการลงทุนในไทย”
ดร.หลี่กล่าวต่อว่า แต่ละประเทศก็มีข้อได้เปรียบที่แตกต่างกัน สำหรับประเทศไทยนั้น มีข้อดีของตัวเอง เพราะตั้งอยู่ในใจกลางอาเซียน จึงเป็นทั้งศูนย์กลางส่งออก ศูนย์กลางการผลิต นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาตั้งโรงงานในไทย เพื่อการผลิตสินค้าและส่งออกจากไทยไปยังประเทศอื่น เช่น CLMV ได้โดยตรง หรือส่งไปประเทศใกล้เคียงได้อย่างสะดวก ประหยัดต้นทุนด้วย นอกจากนี้ไทยยังมีการปลูกยางพาราจำนวนมาก ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ นำไปเป็นวัตถุดิบ สามารถนำไปใช้การผลิตชิ้นส่วน ประหยัดต้นทุนได้เช่นกันและยังสามารถส่งออกไปยังยุโรป สหรัฐอเมริกา ได้โดยตรง
ดร.หลี่กล่าวย้ำว่า ทั้งโครงการ One Belt, One Road และ EEC เป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศ และจะมีผลดีต่อไอซีบีซีด้วย ซึ่งสิ่งที่ไอซีบีซีทำคือ แนะนำ EEC ให้กับนักธุรกิจจีน นำทีม EEC ไปให้ข้อมูลถึงเมืองจีน และขณะเดียวนำนักธุรกิจจีนเข้าทำความรู้จักกับ EEC และประเทศไทยมากขึ้น
“ไอซีบีซีทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างนักลงทุนกับประเทศเป้าหมายการลงทุน เป็นการทำหน้าที่แนะนำให้เจอกัน ทั้งนักธุรกิจและประเทศเป้าหมายก็จับคู่กันเอง และพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้น”
นับตั้งแต่ธนาคารไอซีบีซีได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ได้แนะนำนักธุรกิจจีนให้เข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจในไทยมากขึ้น รวมทั้งให้ความสนับสนุนทางการเงิน ยกตัวอย่างเช่น การร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มซีพีกับกลุ่มเซี่ยงไฮ้ ออโต้โมบิล เพื่อผลิตรถยนต์แบรนด์ MG ซึ่งการดำเนินงานเฟสแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว และขณะนี้กำลังเริ่มเข้าสู่เฟส 2 ซึ่งไอซีบีซีเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2018/06/MOU.jpg)
“ธุรกิจจีนที่ลงทุนหรือทำธุรกิจในไทยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของธนาคารไอซีบีซี รวมไปถึงธุรกิจจีนที่ได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมไทย-จีนด้วย เนื่องจากว่าไอซีบีซีเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานธุรกิจจากจีน และได้ขยายธุรกิจธนาคารมายังไทยระยะหนึ่งแล้ว มีข้อมูลเศรษฐกิจการเงิน ภาวะธุรกิจในไทย ทำให้นักธุรกิจจีนซึ่งต้องการข้อมูลเหล่านี้ต้องการให้ไอซีบีซีสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวไทยทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม นโยบายรัฐบาล ไอซีบีซีไทยจึงมีโอกาสสนับสนุนด้านข้อมูลและการเงินให้กับนักธุรกิจจีนมากขึ้น” ดร.หลี่กล่าว
นโยบายของธนาคารไอซีบีซีไทยปี 2561 มีเป้าหมายจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายไอซีบีซีเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ต้องการขยายตัวไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการการทำหน้าที่แนะนำนักลงทุนจีนที่มีความสนใจจะลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศไทยในอนาคต กลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่เชื่อว่าธนาคารเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้งและสามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความพร้อมของบุคลากรทั้งสัญชาติจีนและสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์ด้านสินเชื่อ และมีความรู้ความเข้าใจวัฒนธรรมไทยและจีนเป็นอย่างดี
สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จะเน้นกลุ่มธุรกิจที่มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับจีน เช่น การนำเข้าและส่งออกสินค้ากับประเทศจีน มีธุรกิจเกี่ยวกับจีน นอกจากนี้ธนาคารยังเน้นกลุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและเอกชนขนาดใหญ่