ThaiPublica > สู่อาเซียน > เวียดนาม-สหรัฐตกลงเจรจาการค้าต่างตอบแทน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนออกแถลงการณ์ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์

เวียดนาม-สหรัฐตกลงเจรจาการค้าต่างตอบแทน รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนออกแถลงการณ์ไม่ตอบโต้ภาษีทรัมป์

10 เมษายน 2025


รองนายกรัฐมนตรีโฮ ดึ๊ก ฟุก ของเวียดนามพบผู้แทนการค้าสหรัฐ เจมีสัน เกรียร์ ในกรุงวอชิงตัน ที่มาภาพ:https://vietnamnews.vn/economy/1695538/viet-nam-us-to-start-negotiations-on-reciprocal-trade-agreement.html

หลังจากที่ภาษีศุลกากรตอบโต้(Reciprocol Traiffs)เรียกเก็บจากทั่วโลกที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ มีผลบังคับใช้ไปเพียง 13 ชั่วโมง ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ประกาศระงับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด และลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากพันธมิตรทางการค้าส่วนใหญ่ของสหรัฐฯลงเหลือ 10% เป็นเวลา 3 เดือน

อัตราภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากกว่า 180 ประเทศ และสินค้าที่นำเข้าจาก 90 ประเทศบางส่วนจะต้องเสียภาษีศุลกากรแบบตอบโต้( reciprocal tariffs)ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธ(9 เมษายน) โดยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นมีตั้งแต่ 11% ต่ำสุดไปจนถึง 50% สูงสุด

  • ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศระงับเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก 90 วัน ขึ้นภาษีจีนอีกเป็น 125%
  • ประเทศในเอเชียถูกเก็บภาษีทรัมป์ในอัตราสูงสุดของโลก และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยจีนถูกเก็บอัตรา 54% จากเดิม 20% บวกอัตราเพิ่ม 34% และล่าสุดถูกเก็บเพิ่มเป็น 125% จากการที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐเพื่อตอบโต ขณะที่ในอาเซียน กลุ่ม CLMV ได้รับผลกระทบหนักที่สุด กัมพูชาถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานและภาษีนำเข้าตอบโต้รวม 49% รองลงมาคือลาว (48%) เวียดนาม (46%) และเมียนมา (44%) ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 36% อินโดนีเซีย 32% บรูไนและมาเลเซีย 24% ฟิลิปปินส์ 17% และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10%

  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กว่า 180 ประเทศ ยกระดับสงครามการค้าครั้งใหญ่
  • สำหรับการตอบสนองของประเทศสมาชิกอาเซียนต่อมาตรการภาษีของสหรัฐ แต่ละประเทศ มีท่าทีที่ไม่แตกต่างกันคือ พร้อมที่จะเจรจา ซึ่งหลังการระงับการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เวียดนามกับสหรัฐได้ข้อตกลงที่จะมีการเจรจา

    เวียดนาม-สหรัฐตกลงเจรจาการค้าต่างตอบแทน

    ที่มาภาพ: https://vietnamnews.vn/economy/1695538/viet-nam-us-to-start-negotiations-on-reciprocal-trade-agreement.html
    เวียดนามและสหรัฐอเมริกาได้ตกลงกันที่จะเปิดการเจรจาข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน ซึ่งจะรวมถึงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร จากการรายงานของสำนักข่าว Vietnam News Agency

    ข้อตกลงดังกล่าวบรรลุในช่วงบ่ายวันพุธ (ตามเวลาในสหรัฐ) ระหว่างการประชุมระหว่างรองนายกรัฐมนตรีโฮ ดึ๊ก ฟุก ของเวียดนามและผู้แทนการค้าสหรัฐ เจมีสัน เกรียร์ การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รองนายกรัฐมนตรีฟุกเยือนสหรัฐในฐานะทูตพิเศษของนายโต เลิ่ม เลขาธิการพรรค เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคี

    รองนายกรัฐมนตรีฟุก กล่าวว่าเวียดนามได้ดำเนินการเชิงรุกในมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองฝ่ายและตอบสนองต่อข้อกังวลของสหรัฐ

    รองนายกรัฐมนตรีฟุกเสนอว่า แม้สหรัฐฯ จะตัดสินใจเลื่อนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรออกไป 90 วัน แต่ทั้งสองประเทศควรเริ่มเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีโดยเร็วที่สุด ข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างกรอบระยะยาวเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าที่มั่นคงและเป็นประโยชน์ร่วมกัน สอดคล้องกับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้าน(Comprehensive Strategic Partnership)ระหว่างทั้งสองประเทศ

    ส่วนผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เจมีสัน เกรียร์ แสดงความชื่นชมต่อมาตรการเชิงรุกและสร้างสรรค์ของเวียดนาม โดยกล่าวว่าสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของประเทศในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐฯ

    เกรียร์ย้ำว่า สหรัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับเวียดนาม และมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า โดยมุ่งหวังที่จะกระชับความสัมพันธ์ในหลายภาคส่วน

    นอกจากนี้ เกรียร์ยังอธิบายเหตุผลและความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ทำให้รัฐบาลทรัมป์ต้องใช้นโยบายภาษีศุลกากรตามที่ประกาศไป โดยระบุว่าภาษีศุลกากรสูงที่เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของเวียดนามเป็นการจัดการกับการขาดดุลการค้าจำนวนมากที่สหรัฐฯ มีกับเวียดนาม

    สหรัฐฯ ตกลงที่จะเริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าต่างตอบแทน รวมถึงการหารือเกี่ยวกับภาษีศุลกากร และเสนอให้ทีมงานด้านวิชาการจากทั้งสองฝ่ายเริ่มหารือกันในทันที

    ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาการประสานงานอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้ออำนวย รวมทั้งให้คำมั่นที่จะทบทวนและลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่อสินค้าของกันและกันอย่างจริงจัง อำนวยความสะดวกในการลงทุนและกิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐฯ ในเวียดนามให้มากขึ้น และเพิ่มความร่วมมือเพื่อป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงการค้า

    วันที่ 8–9 เมษายน รองนายกรัฐมนตรีฟุก ได้ประชุมกับวุฒิสมาชิกบิลล์ ฮาเกอร์ที และวุฒิสมาชิกสตีฟ เดนส์ ตลอดจนองค์กรและธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ

    รองนายกรัฐมนตรีฟุก ของเวียดนามแสดงความขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐสภาสหรัฐและวุฒิสมาชิกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐ และชื่นชมกับการพัฒนาในเชิงบวกในความสัมพันธ์ทวิภาคีนับตั้งแต่ที่ทั้งสองประเทศยกระดับความสัมพันธ์เป็นนส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้า และเน้นย้ำถึงความสำคัญของปี 2568 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 30 ปีของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต

    ในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้า รองนายกรัฐมนตรีฟุกย้ำว่าเวียดนามและสหรัฐมีเศรษฐกิจที่เสริมซึ่งกันและกัน โดยระบุว่าเวียดนามไม่ได้แข่งขันกับสินค้าส่งออกที่มีการแข่งขันของสหรัฐ และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของบริการและสินค้าไฮเทคของสหรัฐ

    นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีฟุกยังกล่าวอีกว่าเวียดนามได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านการค้าของสหรัฐฯ อย่างจริงจัง พร้อมเรียกร้องให้รัฐสภาสหรัฐฯ สนับสนุนการยกเลิกมาตรการภาษีศุลกากรต่อสินค้าของเวียดนามต่อไป และสนับสนุนความก้าวหน้าสู่ข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่ยั่งยืนและยืนยาวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและธุรกิจของทั้งสองประเทศ

    วุฒิสมาชิกทั้งสองคนได้รำลึกถึงความทรงจำอันน่าประทับใจเกี่ยวกับการเยือนเวียดนาม และแสดงความหวังว่าความสัมพันธ์ทวิภาคีจะยังคงเฟื่องฟูและมีส่วนสนับสนุนเชิงบวกต่อสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคและระดับโลก

    พวกเขาชื่นชมแนวทางเชิงรุกของเวียดนามในการแก้ไขปัญหาด้านภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ และยืนยันการสนับสนุนการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ โดยยึดตามผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน และแสดงความเชื่อมั่นว่าในไม่ช้านี้ ทั้งสองประเทศจะเริ่มการเจรจาและมีวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิผลเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นประโยชน์ร่วมกัน

    ในระหว่างการเดินทางไปสหรัฐอเมริกา รองนายกรัฐมนตรีฟุกยังได้พบปะกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และธุรกิจชั้นนำต่างๆ ทั้งจากเวียดนามและสหรัฐอเมริกา และได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง Vietjet ของเวียดนาม และ Air Finance ที่มีฐานอยู่ในสหรัฐอเมริกา

    ฟิลิปปินส์เล็งทำข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐ

    เฟรเดริก โก ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดีฝ่ายการลงทุนและกิจการเศรษฐกิจ แห่งฟิลิปปินส์ ที่มาภาพ: https://www.gmanetwork.com/news/topstories/nation/942278/marcos-economic-aide-to-meet-with-us-trade-representative-to-discuss-tariffs/story/#goog_rewarded
    ที่ฟิลิปปินส์ เฟรเดริก โก ผู้ช่วยพิเศษของประธานาธิบดีฝ่ายการลงทุนและกิจการเศรษฐกิจ แห่งประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี(10 เมษายน)ระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบประธานาธิบดีว่า เขาเตรียมบินไปสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้เพื่อพบกับเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรตอบโต้ที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดกับสินค้าฟิลิปปินส์

    เฟรเดริกกล่าวว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ติดต่อสำนักงานของเกรียรเพื่อกำหนดการประชุม และสำนักงานการค้าสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก

    “นี่คือการเจรจา และแน่นอนว่าในความคิดของผม ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือข้อตกลงการค้าเสรี” เฟรเดริก กล่าวโดยชี้ไปที่การค้าที่ไม่มีภาษีศุลกากรจากทั้งสองฝ่าย “แต่ก็อีกนั่นแหละ มันเป็นการสื่อสาร การสนทนา ความร่วมมือที่เปิดกว้าง และมาดูกันว่าเราจะเจรจากันอย่างไร”

    ตามข้อมูลของกรมการค้าและอุตสาหกรรม สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของฟิลิปปินส์ รองจากจีน โดยมีมูลค่าการส่งออก 12,120 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ฟิลิปปินส์นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์นำเข้ารายใหญ่อันดับ 5 มูลค่า 8,165 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

    การประกาศของเฟรเดริกมีขึ้นในขณะที่รัฐมนตรีการค้าอาเซียนประชุมกันที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับการตอบสนองของกลุ่มภูมิภาคต่อภาษีศุลกากรของทรัมป์ โดยประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นด้วยว่าการเจรจากับสหรัฐฯ เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการก้าวไปข้างหน้า

    เฟรเดริกกล่าวว่า “น่าจะมีประเด็นสำคัญสองประเด็น ประเด็นแรกคือ ทุกประเทศจะเดินหน้าเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐฯ ต่อไป และดำเนินการหารือในระดับภูมิภาคกับสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน และ คีย์เวิร์ดคือความร่วมมือ ไม่ใช่การตอบโต้”

    รัฐมนตรีการค้าของอาเซียนจะหารือถึงแนวทางการกระตุ้นการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคด้วย

    รัฐบาลฟิลิปปินส์มองว่าการที่ทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์ 17% จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของประเทศเพียง 0.1% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    “เรารู้ดีว่าภาษีนำเข้าหรือภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบางส่วนในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นเหตุว่าให้คิดว่าอาจส่งผลกระทบบ้าง” เฟรเดริกกล่าว

    ขณะเดียวกัน ทำเนียบประธานาธิบดียังไม่ได้ตอบสนองใดๆ ต่อการตัดสินใจของทรัมป์ที่ระงับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่างตอบแทนกับฟิลิปปินส์และประเทศอื่นๆ เกือบทั้งหมด ยกเว้นจีน

    มาเลเซียชี้ไม่มีอะไรแน่นอนเกี่ยวกับทรัมป์ยกเว้นความไม่แน่นอน

    เต็งกู ดาโต๊ะ สรี ซาฟรูล เต็งกู อับดุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมมาเลเซีย ที่มาภาพ:เพจ FB Tengku Zafrul
    ด้านเต็งกู ดาโต๊ะ สรี ซาฟรูล เต็งกู อับดุล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมมาเลเซีย กล่าววันนี้ว่า มาเลเซียยินดีกับการปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากรล่าสุดของสหรัฐฯ แต่ยังคงระมัดระวังท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบต่อการค้าโลกและอาเซียน”

    “ไม่มีอะไรแน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของทรัมป์ นอกจากความไม่แน่นอน! เต็งกู ซาฟรูล โพสต์บนโซเชียลมีเดีย หลังการประกาศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ว่าจะระงับการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศส่วนใหญ่
    .
    เต็งกู ซาฟรูล กล่าวว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายได้สร้าง “ความท้าทายที่สำคัญ” ให้กับเศรษฐกิจอาเซียน “มาเลเซียกำลังประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างจริงจัง และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรอาเซียนของเราเพื่อบรรเทาผลกระทบ เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลและคาดเดาได้

    เต็งกู ซาฟรูลกล่าวว่า ขณะนี้ มาเลเซียกำลังประเมินผลกระทบในขณะที่ทำงานร่วมกับอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบ เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการค้าที่ “สมดุลและคาดเดาได้” เขากล่าวเสริม

    “พัฒนาการล่าสุดเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในหัวข้อการหารือในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งผมจะทำหน้าที่เป็นประธานในเช้านี้” เต็งกู ซาฟรูลกล่าวในโพสต์บนบัญชี LinkedIn อย่างเป็นทางการของเขา

    มาเลเซียจะยังคงเป็นหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนที่เปิดกว้างและเชื่อถือได้สำหรับทุกประเทศ รวมทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา เต็งกู ซาฟรูลกล่าว “เรายังคงมุ่งมั่นที่จะสื่อสารอย่างเปิดเผยและหาแนวทางแก้ปัญหาด้านการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน” เขากล่าวเสริม

    เต็งกู ซาฟรูลกล่าวย้ำว่าความสามัคคีของอาเซียนและการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ลึกยิ่งขึ้นมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และเรียกร้องให้มีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากพันธมิตรที่มีแนวคิดเหมือนกันซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่จะประสบความสำเร็จร่วมกัน

  • มาเลเซีย ประธานอาเซียน เรียกร้องประเทศสมาชิกร่วมมือต่อสู้ความท้าทายจากภาษีสหรัฐ
  • รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยืนหยัดร่วมกัน “เจรจา ไม่ตอบโต้”

    การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดพิเศษ ในวันที่ 10 เมษายน 2568 ที่มาภาพ: https://asean.org/secretary-general-of-asean-participates-in-the-virtual-special-asean-economic-ministers-meeting/
    การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนนัดพิเศษ Special ASEAN Economic Ministers Meeting(AEM)มีขึ้นในวันที่ 10 เมษายน 2025 เพื่อหารือถึงผลกระทบของการประกาศภาษีศุลกากรร่วมกันล่าสุดโดยสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยมีรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหมดและติมอร์-เลสเต และเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วม

    ในแถลงการณ์ระบุว่า ประเทศสมาชิกอาเซียนและติมอร์-เลสเตไม่ยอมรับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณของสหรัฐฯ อย่างเป็นเอกฉันท์และเห็นพ้องกันว่าภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่าง 10% ถึง 49% จะส่งผลกระทบในเชิงลึกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและวิถีการพัฒนาของอาเซียน ภาษีศุลกากรเหล่านี้จะมีผลให้การบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียนที่พัฒนาขึ้นบนระบบตามกฎเกณฑ์ตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียนในปี 2510 นั้นถดถอย

    นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องกันว่าการประกาศของทรัมป์เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568 ว่าจะระงับการใช้ภาษีศุลกากรแลกเปลี่ยนเป็นเวลา 90 วัน โดยยังคงใช้ภาษีศุลกากรพื้นฐานที่ 10% จะเป็นการเปิดโอกาสในการหาทางออกที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ร่วมกันสำหรับอาเซียนในลักษณะเชิงกลยุทธ์และไหวพริบ

    ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าการตอบโต้ไม่ใช่ทางที่ควรเลือก โดยการประชุมนัดพิเศษยังย้ำถึงความสำคัญของการรักษาการมีส่วนร่วมที่สร้างสรรค์ ไม่ตอบโต้ และมองไปข้างหน้ากับสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขความท้าทายที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ ต่อไปโดยยึดตามผลประโยชน์ร่วมกันและลำดับความสำคัญที่เหมือนกัน

    ในการตอกย้ำความมุ่งมั่นของอาเซียนต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและครอบคลุม รัฐมนตรีอาเซียนย้ำถึงการสนับสนุนของภูมิภาคต่อระบบการค้าพหุภาคีที่คาดเดาได้ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ เสรี เป็นธรรม ครอบคลุม ยั่งยืน และระบบพหุภาคีที่มีกติกา โดยมีองค์การการค้าโลกเป็นแกนหลัก ภาษีศุลกากรที่ประกาศโดยสหรัฐฯ เมื่อไม่นานนี้ขัดต่อหลักการเหล่านี้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและทำลายความเชื่อมั่นในระบบการค้าโลก การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะกัดกร่อนรากฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรมและผลประโยชน์ร่วมกันที่ลัทธิพหุภาคีสร้างขึ้น อาเซียนเชื่อว่าการยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพ การส่งเสริมความไว้วางใจ และการปกป้องความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในระยะยาวสำหรับอาเซียนและหุ้นส่วน

    โดยหลักการแล้ว ที่ประชุมได้ตกลงกันที่จะจัดตั้งคณะทำงาน ด้านภูมิเศรษฐศาสตร์อาเซียน (ASEAN Geoeconomics Task Force) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเวทีที่มีผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม เพื่อให้อาเซียนหารือและกำหนดนโยบายตอบสนองระดับภูมิภาคที่มองไปข้างหน้าอย่างสอดคล้องกันต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ โดยระบุความเสี่ยงและโอกาสสำคัญเพื่อเสริมสร้างตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ ความยืดหยุ่น และความเกี่ยวข้องของภูมิภาคในภูมิทัศน์ระดับโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น

    จุดยืนที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ร่วมของ AEM จะถูกนำเสนอต่อการประชุมผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ(Special ASEAN Leaders’ Meeting ) ที่จะจัดขึ้นเพื่อหารือถึงแนวทางการดำเนินการของประเทศสมาชิกอาเซียน และเพื่อแก้ไขและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการค้าในภูมิภาค เครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน และการลงทุนข้ามพรมแดน ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าอาเซียนยังคงเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนระดับโลกที่มั่นคง มีการแข่งขัน และน่าสนใจ