ThaiPublica > สู่อาเซียน > เปิดผลสำรวจ State of Southeast Asia 2025 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ใจจีนน้อยลง-วางใจอเมริกามากขึ้น

เปิดผลสำรวจ State of Southeast Asia 2025 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้ใจจีนน้อยลง-วางใจอเมริกามากขึ้น

5 เมษายน 2025


ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงความไว้วางใจต่อสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น และหลายคนกล่าวว่าหากถูกบังคับให้เลือก พวกเขาก็จะเลือกสหรัฐฯ มากกว่าจีน ซึ่งตรงกันข้ามกับผลการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว ตามรายงาน State of Southeast Asia Survey ฉบับล่าสุดของ ISEAS-Yusof Ishak Institute ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจนี้มีขึ้นก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษีศุลกากรใหม่วันที่ 2 เมษายน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภูมิภาคนี้อย่างหนัก ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากสำรวจใหม่ก็อาจจะได้ผลที่ต่างออกไป

การสำรวจมีขึ้นระหว่างวันที่ 3 มกราคมถึง 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับช่วงพิธีเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์เมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 2,023 คนจาก 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และติมอร์-เลสเต ได้รับคำถามว่า “คุณมั่นใจเพียงใดว่า [สหรัฐฯ/จีน] จะ ‘ทำสิ่งที่ถูกต้อง’ เพื่อสันติภาพ ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง และการปกครองระดับโลก”

นอกจากนี้ ผลสำรวจ The State of Southeast Asia ประจำปี 2025 ยังพบว่า พฤติกรรมก้าวร้าวในทะเลจีนใต้ การหลอกลวงระดับโลก และผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ เป็น 3 ประเด็นกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้

ไม่ไว้ใจจีน-ไม่วางใจสหรัฐ

ในกลุ่มประเทศอาเซียน ระดับความไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 42.4% เมื่อปีที่แล้วเป็น 47.2% ในปีนี้ และระดับความไม่ไว้วางใจลดลงจาก 37.6% เป็น 33.0% แม้ว่าระดับความไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ จะลดลงในฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม แต่ความไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ ยังคงมากกว่าความไม่ไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ ใน 7 ประเทศจากทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ยกเว้นสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในทั้งสามประเทศ ความไม่ไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ นั้นมีมากกว่าความไว้วางใจ เมื่อปีที่แล้ว ความไว้วางใจที่มีต่อสหรัฐฯ มีมากกว่าความไม่ไว้วางใจในเพียง 5 ประเทศจากทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม

จากการที่การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามอาเซียนใน 10 ประเทศส่วนใหญ่ (53.2%) เชื่อว่าอาเซียนควรเพิ่มความยืดหยุ่นและความเป็นเอกภาพเพื่อต่อต้านแรงกดดันจากสองมหาอำนาจ ทางเลือกนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย (63.8%) ฟิลิปปินส์ (63.6%) อินโดนีเซีย (60.3%) และเวียดนาม (56.1%) ให้การสนับสนุนแนวทางนี้ ซึ่งเน้นย้ำถึงความต้องการในระดับภูมิภาคในการเสริมสร้างความสามัคคีภายในเพื่อรักษาเอกราชทางยุทธศาสตร์ของอาเซียน

ผู้ตอบแบบสอบถามอาเซียน 10 ประเทศ หนึ่งในสี่ (25.2%) เชื่อว่าอาเซียนควรยืนหยัดในจุดยืนที่ไม่เข้าข้างจีนหรือสหรัฐฯ เพื่อยืนยันถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มในการรักษาความเป็นกลาง ความรู้สึกนี้เด่นชัดที่สุดในมาเลเซีย (32.9%) สิงคโปร์ (31.4%) เมียนมา (29.9%) และอินโดนีเซีย (29.4%) ในขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสอบถามอาเซียน 10 ประเทศ 15.4% สนับสนุนให้อาเซียนแสวงหา “บุคคลที่สาม” เพื่อขยายพื้นที่และทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

ผู้ตอบแบบสอบถามอาเซียน 10 ประเทศ ได้เปลี่ยนไปในประเด็นเกี่ยวกับการเลือกทางยุทธศาสตร์อีกครั้ง โดย 52.3% สนับสนุนสหรัฐฯ มากกว่าจีน (47.7%) หากภูมิภาคนี้ถูกบังคับให้เลือก ช่องว่างที่แคบนี้เน้นย้ำถึงความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างสองมหาอำนาจของอาเซียน เนื่องจากการพึ่งพาทางเศรษฐกิจกับจีนแข่งกับการคำนึงถึงความมั่นคง และความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่สบายใจกว่ากับสหรัฐฯ

การสนับสนุนให้เลือกไปทางจีนมีมากที่สุดในอินโดนีเซีย (72.2%) มาเลเซีย (70.8%) ไทย (55.6%) บรูไน(55.0%) และลาว (51.0%) ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งชี้ว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง การพึ่งพาการค้า และโครงการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค เช่น โครงการ BRI ของจีน ตลอดจนความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นกับนโยบายของสหรัฐฯ (โดยเฉพาะจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกาซา) อาจส่งผลต่อความโอนเอียงไปทางจีนได้อย่างมาก ในทางกลับกัน การสนับสนุนให้เลือกมาทางสหรัฐฯ สูงที่สุดในฟิลิปปินส์ (86.4%) เวียดนาม (73.5%) เมียนมา(57.7%) กัมพูชา (57.0%) และสิงคโปร์ (52.9%)

การที่ฟิลิปปินส์และเวียดนามให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ อย่างท่วมท้นนั้นน่าจะเกิดจากข้อพิพาทเรื่องดินแดนที่ยังคงดำเนินอยู่กับจีนในทะเลจีนใต้ รวมถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นกับสหรัฐฯ จากมุมมองของอาเซียน 10 ประเทศผู้ตอบแบบสอบถามจากติมอร์-เลสเตได้แสดงความชอบต่อสหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่
59.1% เลือกสหรัฐฯ

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองเมื่อวันที่ 20 มกราคม ชื่อผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ก็กลับมาอยู่ในรายการที่เป็นประเด็นกังวลทางภูมิรัฐศาสตร์

จากผลการสำรวจซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม 46.9% การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2567 ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 8 จากทั้งหมด 10 ตัวเลือก โดยมีเพียง 18.8% เท่านั้นที่คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นประเด็นที่รัฐบาลของประเทศกังวลเป็นอันดับต้นๆ

การสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์มีผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งหนึ่งที่ตอบก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง และที่เหลือตอบหลังจากนั้น ISEAS กล่าวว่า “ไม่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัด” ในผลการสำรวจทั้งสองช่วงเวลา

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์ให้ความสำคัญกับประเทศต่างๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมาก โดยข้อมูลปี 2024 ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่าเวียดนาม ไทย และมาเลเซีย อยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ด้วย

ภาษีศุลกากรที่เก็บในวงกว้างมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดี (3 เมษายน) โดยภาษีศุลกากรพื้นฐานอยู่ที่ 10% สำหรับสินค้าที่นำเข้าทั้งหมดไปยังสหรัฐฯ และภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นสำหรับประเทศอื่นๆ อีกหลายสิบประเทศ

ทรัมป์ยังเสนอให้ประเทศในเอเชียจ่ายเงินสนับสนุนภาระผูกพันด้านความปลอดภัยของสหรัฐฯ

ISEAS พบว่าข้อกังวลเกี่ยวกับผู้นำสหรัฐฯ เด่นชัดเป็นพิเศษในกลุ่มชาวสิงคโปร์ โดยกว่า 70% ระบุว่าเป็นความกังวล

นักวิจัยตั้งชี้ว่าสิงคโปร์จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเมือง เศรษฐกิจ และการป้องกันประเทศของสหรัฐฯ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาค

“หนึ่งในประเด็นที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับความสนใจนับตั้งแต่ Trump 2.0 เริ่มขึ้น คือ ข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดการควบคุมการส่งออกชิป Nvidia ในสิงคโปร์ ซึ่งทำให้สามารถมีการพัฒนา DeepSeek โมเดล AI ของจีน” ผู้เขียนรายงานการสำรวจระบุ

การสำรวจ State of Southeast Asia 2025ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 2,023 คน รวมถึงนักวิจัย ตัวแทนภาคเอกชน องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ (NGO) และเจ้าหน้าที่รัฐในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน เมียนมา และฟิลิปปินส์

การสำรวจครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ครั้งที่จัดทำขึ้น ที่สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาค โดยได้รวมมุมมองของติมอร์-เลสเต ซึ่งขณะนี้มีสถานะเป็นผู้สังเกตการณ์ที่รอการเข้าร่วมสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)อย่างเป็นทางการ แต่คำตอบของติมอร์-เลสเตไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการคำนวณค่าเฉลี่ยของอาเซียนในการสำรวจครั้งนี้

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์จะมากหรือน้อย?

เมื่อถามถึงระดับการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้ทรัมป์ 2.0 ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 4 ใน 10 คน (40.7%) รู้สึกว่าการมีส่วนร่วมจะเพิ่มขึ้นหรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้

ในบรรดาผู้ที่รู้สึกแบบนี้ มากกว่า 1 ใน 3 (38.7%) กล่าวว่าจุดยืนที่แข็งกร้าวของทรัมป์ต่อจีนจะช่วยรักษาสมดุลของอำนาจในภูมิภาคได้ ความรู้สึกนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในลาว (45.8%) สิงคโปร์ (43.9%) และเมียนมา (43%)

ในทางกลับกัน ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบ 1 ใน 3 (31.8%) รู้สึกว่าการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ จะลดลงหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงวาระที่สองของทรัมป์ โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่มองในแง่ร้ายที่สุด (50.4%) รองลงมาคือมาเลเซีย (48.3%) และไทย (40.9%)

กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่คาดการณ์ว่าการมีส่วนร่วมจะลดลง ระบุว่าเป็นเพราะลักษณะนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ของทรัมป์ในการดำเนินการด้านนโยบายต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนให้กับการมีส่วนร่วมของวอชิงตันในภูมิภาคมีมากขึ้น

เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลไบเดน ผู้ตอบแบบสำรวจของ ISEAS ประมาณ 3 ใน 4 รายรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ไม่เปลี่ยนแปลงหรือลดลง

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

ทะเลจีนใต้เป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับหนึ่ง

ในปีนี้ ปัญหาทะเลจีนใต้แซงหน้าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาส ขึ้นเป็นประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสำหรับอาเซียน โดยผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 51.6% ระบุว่าเป็น 1 ใน 3 ประเด็นสำคัญของรัฐบาลประเทศของตนเอง

รองลงมาคือปฏิบัติการหลอกลวงระดับโลก ( 48.1%) ทั้งสองประเด็นนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน

ในเรื่องทะเลจีนใต้ ISEAS ระบุว่าการปะทะกันในทะเลระหว่างจีนและฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้วทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งโดยไม่ได้ตั้งใจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยการปะทะกันที่แนวปะการังโธมัสที่เป็นข้อพิพาทถือเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดจนถึงปัจจุบัน

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับน่านน้ำที่เป็นข้อพิพาทมีมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่อ้างสิทธิ์ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 90.3% จัดให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่ากังวลสูงสุด

ผู้ตอบแบบสอบถามจากประเทศที่อ้างสิทธิ์อื่นๆ เช่น เวียดนาม (49%) และบรูไน (45.6%) ก็ระบุว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่น่ากังวลสูงสุดเช่นกัน

เมื่อถามว่าพวกเขากังวลเรื่องอะไรมากที่สุดเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ ผู้ตอบแบบสอบถามชี้ไปที่การรุกล้ำของจีนในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) และไหล่ทวีปของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแนวชายฝั่ง (48.2%) รวมถึงการเผชิญหน้าโดยบังเอิญระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีน (44.3%) ซึ่งส่งผลให้เกิดวิกฤติทางการเมือง

ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการรุกรานในทะเลจีนใต้เป็นเรื่อง “ไม่น่าแปลกใจ” เมื่อพิจารณาจากข้อพิพาทระหว่างจีนและประเทศผู้อ้างสิทธิ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญกล่าวในการเสวนาออนไลน์ในการเผยแพร่ผลการสำรวจที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 3 เมษายน

ข้อพิพาททางทะเลเป็น “ประสบการณ์จริง” สำหรับชาวประมงอินโดนีเซีย จากความเห็นของเยนนี วาฮิด ผู้อำนวยการมูลนิธิวาฮิดในอินโดนีเซีย ซึ่งส่งเสริมความอดทนอดกลั้นและความเข้าใจในวัฒนธรรมหลายเชื้อชาติ กล่าว

อินโดนีเซียไม่ใช่ประเทศผู้อ้างสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ แต่เส้นประ 9 เส้นรูปตัว U ของจีน( China’s U-shaped nine-dash line)ขยายออกไปจนถึงน่านน้ำนอกหมู่เกาะนาตูนาของอินโดนีเซีย และเรือยามชายฝั่งจีนในทะเลนาตูนาเหนือเป็นแหล่งที่มาของความตึงเครียดในลักษณะทวิภาคี

“เป็นเรื่องของอำนาจอธิปไตย ศักดิ์ศรี และความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประชาชน” เยนนีกล่าว

เมื่อถามว่าอาเซียนควรตอบสนองต่อความตึงเครียดในทะเลจีนใต้อย่างไร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (69.5%) กล่าวว่าจุดยืนที่มีหลักการเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยยึดมั่นตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 (1982 United Nations Convention on the Law of the Sea :UNCLOS) และเคารพคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการถาวรในปี 2559

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

องค์กรระหว่างรัฐบาลตัดสินว่าการอ้างสิทธิ์ของจีนเหนือทะเลจีนใต้เกือบทั้งหมดนั้นไร้เหตุผล แต่จีนไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าว

ผู้ตอบแบบสอบถามจากอินโดนีเซียแสดงการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งที่สุดสำหรับคำตอบนี้ที่ 85.3% ซึ่งสูงกว่าฟิลิปปินส์ (80.3%) ซึ่งเป็นผู้ยื่นฟ้องจีนในปี 2559

คำตอบที่ชอบน้อยที่สุดต่อความตึงเครียด ได้แก่ การห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้อ้างสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง (22.4%) มุมมองในแง่ร้ายที่ว่าอาเซียน “ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะขาดความเป็นเอกภาพ” (13.3%) และการเปิดรับมหาอำนาจทางทหารอื่นๆ ในทะเลจีนใต้ (12.7%)

เมื่อถามถึงการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct on the South China Sea) ซึ่งอาเซียนและจีนเริ่มการเจรจาเมื่อกว่าทศวรรษก่อน แนวทางที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 4 ใน 10 คนชื่นชอบมากที่สุดคือ การปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ

เยนนีกล่าวว่าอาเซียนต้องผลักดัน Code of Conduct ที่มีกลไกบังคับใช้ที่ชัดเจนและลงทุนในการสร้างขีดความสามารถทางทะเล

ความเป็นเอกภาพของอาเซียน “ต้องมีพัฒนาการขึ้น” เยนนีกล่าว “ความเป็นเอกภาพไม่ได้หมายถึงการรอความเป็นเอกฉันท์ การรวมกลุ่มกันเพื่อความมุ่งมั่น กลุ่มประเทศอาเซียนที่เต็มใจดำเนินการภายในขอบเขตของกฎหมายและผลประโยชน์ร่วมกันอาจจำเป็นต่อการก้าวไปข้างหน้า”

มุมมองอันดับสองเกี่ยวกับ Code of Conduct คือ ควรป้องกันไม่ให้อำนาจอื่นดำเนินกิจกรรมทางทหารและสำรวจพลังงานกับประเทศสมาชิก

“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอาเซียนต้องการให้ข้อพิพาทได้รับการแก้ไขระหว่างเราเองและมีการแทรกแซงจากภายนอกน้อยลง” หลิว หลิน ศาสตราจารย์จากโรงเรียนของพรรคของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน(Party School of the Central Committee of the Communist Party of China) กล่าว

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

หลิว หลิน ยังกล่าวอีกว่าความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ไม่ได้ “ขึ้นอยู่กับทัศนคติหรือการกระทำของจีนเท่านั้น” แต่ยังขึ้นอยู่กับประเทศที่อ้างสิทธิ์อื่นๆ ด้วย

หลิว หลินกล่าวว่าแนวทางของฟิลิปปินส์ “เปลี่ยนไปมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” โดยเพิ่มความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ เพิ่มการลาดตระเวนทางทะเลและกองกำลังรักษาชายฝั่ง รวมถึงการดำเนินการอื่นๆ และเสริมว่าแนวทางดังกล่าวยัง “สร้างกระแส” ประเด็นนี้ในสื่ออีกด้วย

แม้ว่าจีนจะกังวลเกี่ยวกับการถมทะเลของเวียดนามในทะเลจีนใต้ แต่ทั้งสองประเทศกำลังเจรจาและหารือกันเกี่ยวกับประเด็นนี้ หลิว หลินกล่าว

ปีเตอร์ วาร์เกซี อธิการบดีมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ร่วมอภิปราย กล่าวว่า ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้เป็นโอกาสให้อาเซียนแสดงจุดยืนร่วมกันมากขึ้น

“หากความไม่สมดุลของอำนาจที่แฝงอยู่เป็นส่วนสำคัญของเรื่องนี้ การดำเนินการร่วมกันก็สามารถช่วยได้” วาร์เกซีกล่าว

การหลอกลวงทั่วโลกถือเป็นปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์อันดับต้นๆ ของประเทศไทยและลาว ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่กลุ่มอาชญากรใช้เป็นพื้นที่ในการดำเนินการหลอกลวง

หลังจากที่นักแสดงชาวจีน หวาง ซิง ถูกจับตัวไปในเชียงใหม่และถูกบังคับให้ทำงานในศูนย์คอล เซ็นเตอร์ในเมียนมา ล่าสุด ประเทศไทยได้ร่วมมือกับจีนเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวโดยตัดกระแสไฟฟ้าในที่พักของแก๊งส์คอล เซ็นเตอร์หลายพันคนที่อยู่บริเวณชายแดนติดกับเมียนมา

ที่มาภาพ: https://www.iseas.edu.sg/wp-content/uploads/2025/03/The-State-of-SEA-2025-1.pdf

Climate Change เป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกเหนือจากประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว นับตั้งแต่มีการสำรวจในปี 2562 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเป็นครั้งแรก แซงหน้าปัญหาการว่างงานและภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นปัญหาที่ครองรายการความท้าทายในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากกว่าครึ่งหนึ่งหรือ 55.3% กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดของภูมิภาค โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ (70.9%) และเวียดนาม (70.3%) ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่ประสบกับพายุไต้ฝุ่นรุนแรง

ชาวมาเลเซียและไทยมากกว่า 50% กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อพวกเขาเช่นกัน

เนื่องจากจำนวนประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าร่วมกลุ่มความร่วมมืออื่นๆมีมากขึ้น เช่น BRICS ซึ่งประกอบด้วยประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ได้แก่ อินเดีย รัสเซีย และจีน ISEAS จึงได้สอบถามความเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าว

พบว่ามากกว่า 1 ใน 4 (26.2%) เห็นด้วยว่าอาเซียนควรเสริมอำนาจและอิทธิพลเพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกยังคงมุ่งมั่นและไม่ส่งเสริมให้เข้าร่วมกลุ่มอื่น

เกือบ 1 ใน 4 (23.8%) กล่าวว่าประเทศสมาชิกควรคำนึงถึงการเข้าร่วมกลุ่มที่เสี่ยงต่อการทำลายความเป็นแกนกลางของอาเซียน ขณะที่ความเห็นที่เท่ากัน ( 23.5%) กล่าวว่าอาเซียนควรเข้าร่วมกลุ่มอื่นๆ เหล่านี้ในฐานะกลุ่มเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาค

1 ใน 5 รู้สึกว่า (20.2%) กล่าวว่าประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศมีอิสระที่จะเข้าร่วมกลุ่มใดก็ได้ที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศตน

ผู้ตอบแบบสอบถามที่เหลือ 6.2% กล่าวว่า อาเซียนไม่ควรเข้าร่วมกลุ่มใด ๆ และควรเน้นที่การแสวงหาความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียนรายงาน แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้ของประเทศสมาชิกในการ “เปิดทางเลือกทั้งหมด” แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่าสนับสนุนให้อาเซียนเป็นศูนย์กลางก็ตาม