เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์
นักเรียนไทยตัดสินใจอะไรได้บ้าง อย่างที่ทราบกันดีว่า ในฐานะกลุ่มประชากรที่ใหญ่ที่สุดในภาคการศึกษาทั้งหมด นักเรียนไทยมีบทบาทเพียงน้อยนิด (หรือไม่มีเลย) ในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองและการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับตัวเองโดยตรง งบประมาณเพื่อพัฒนาผู้เรียน เช่น การจัดซื้อแบบเรียน การออกแบบกิจกรรมทัศนศึกษา หรือแม้แต่การกำหนดเครื่องแบบนักเรียน ล้วนแล้วแต่เป็นการตัดสินใจที่มาจากโรงเรียนและผู้บริหารการศึกษาทั้งสิ้น ในขณะที่นักเรียนซึ่งเป็นผู้รับผลโดยตรง กลับไม่มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นหรือเลือกทางเลือกที่เหมาะสมกับตนเอง
เป็นโครงสร้างการศึกษาที่เป็นแบบ “top-down” ซึ่งผู้มีอำนาจอยู่ในระดับบนสุดของระบบเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง ตั้งแต่แนวทางการศึกษาไปจนถึงรายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตประจำวันของนักเรียน งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2023 พบว่า กว่า 85% ของนักเรียนในประเทศไทยรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ์หรือโอกาสในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายการศึกษา นอกจากนี้ จากการสำรวจของ UNICEF ในปีเดียวกัน พบว่า 72% ของนักเรียนไทยอยากมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมในโรงเรียน แต่มีเพียง 18% เท่านั้นที่รู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขาได้รับการรับฟัง
เวลาบรรดานักพัฒนาเยาวชนใช้คำว่า “empower” มักแปลอย่างผิดๆ ว่า “การเสริมพลัง” ทั้งที่คำว่า power ในบริบทนี้ควรหมายถึง อำนาจ มากกว่า empower ในการพัฒนาเยาวชนจึงควรแปลให้เหมาะสมว่า “การเพิ่มอำนาจ”
ตัวอย่างจากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่า เมื่อเสียงของนักเรียนถูกนำมาใช้ในเชิงนโยบาย ระบบการศึกษามักมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น จากข้อมูลของ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ในปี 2023 พบว่า ประเทศที่มีระบบ student governance ที่เข้มแข็ง เช่น ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และเยอรมนี มีอัตราความพึงพอใจของนักเรียนต่อระบบการศึกษาสูงกว่าประเทศที่ไม่มีโครงสร้างดังกล่าวถึง 30% นอกจากนี้ งานวิจัยจาก University of Cambridge ยังแสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของนักเรียนในกระบวนการตัดสินใจช่วยลดความเครียดในโรงเรียนได้ถึง 20% และเพิ่มความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนการศึกษาขึ้นอีก 40%
ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำ Student Governance มาใช้ในระบบการศึกษา โรงเรียนในฟินแลนด์จัดตั้งคณะกรรมการนักเรียน (student council) ที่นักเรียนมีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตร กิจกรรมเสริม และสิ่งอำนวยความสะดวกในโรงเรียน ตัวแทนนักเรียนยังมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารเพื่อเสนอแนะและพิจารณาแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษา สถิติจากกระทรวงศึกษาธิการฟินแลนด์เผยว่ากว่า 85% ของโรงเรียนมี student council ที่นักเรียนสามารถเสนอความคิดเห็นเชิงนโยบายได้จริง และมีผลต่อการตัดสินใจ เช่น การเพิ่มเวลาพักระหว่างชั่วโมงเรียน หรือการปรับปรุงพื้นที่สีเขียวในโรงเรียน
นอกจากนี้ เยอรมนียังเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับ student governance ผ่านระบบ “schülervertretung” หรือ student representation ซึ่งนักเรียนมีสิทธิ์เลือกตัวแทนเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างนักเรียนกับผู้บริหาร ตัวแทนเหล่านี้สามารถเสนอความคิดเห็นในที่ประชุมเกี่ยวกับหลักสูตรและกิจกรรมภายในโรงเรียน งานวิจัยจาก Humboldt University Berlin ระบุว่า การมีส่วนร่วมของนักเรียนในเยอรมนีช่วยเพิ่มระดับความไว้วางใจระหว่างนักเรียนและครูถึง 25% และลดปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนลงถึง 15%
ในสหรัฐอเมริกา โรงเรียนและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีระบบ student government ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น งบประมาณกิจกรรม การจัดสรรพื้นที่ในโรงเรียน และการรณรงค์เรื่องสุขภาพจิต ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลอสแอนเจลิส (UCLA) มีองค์กรนักศึกษาที่เรียกว่า Undergraduate Students Association Council (USAC) ซึ่งดูแลงบประมาณกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ โดยองค์กรนี้ยังมีอำนาจในการทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อกำหนดนโยบายในระดับสถาบัน สถิติจาก American Student Government Association (ASGA) ในปี 2022 ระบุว่ามหาวิทยาลัยที่มีระบบ student government ที่แข็งแกร่งมีอัตราการสำเร็จการศึกษาสูงขึ้นเฉลี่ย 10% เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยที่ไม่มีระบบดังกล่าว
งานวิจัยจาก UNESCO ในปี 2022 รายงานว่า การมี student governance ในโรงเรียนช่วยเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นำและการแก้ไขปัญหาในหมู่นักเรียนได้อย่างชัดเจน โดยพบว่านักเรียนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม student governance มีโอกาสพัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ (critical thinking) มากกว่านักเรียนทั่วไปถึง 35% อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการจัดการข้อขัดแย้งที่สูงขึ้นถึง 40% ข้อมูลนี้ยืนยันถึงความสำคัญของการสร้างโครงสร้างที่ให้นักเรียนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการศึกษา
แม้ตัวอย่างจากต่างประเทศจะชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ student governance แต่สำหรับประเทศไทย การให้สิทธินักเรียนในกระบวนการตัดสินใจยังคงมีข้อจำกัด ส่วนใหญ่เป็นเพราะโครงสร้างทางการศึกษาที่ยังคงเน้นการบริหารจากบนลงล่าง และการขาดพื้นที่ให้นักเรียนแสดงออกถึงความคิดเห็นเชิงนโยบาย การส่งเสริม student governance ในประเทศไทยควรเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การกำหนดกฎระเบียบที่สนับสนุนให้นักเรียนมีสิทธิมีเสียงในกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น การพิจารณาหลักสูตร การจัดกิจกรรม หรือการจัดการงบประมาณกิจกรรมในโรงเรียน อีกทั้งควรมีการอบรมครูและผู้บริหารเพื่อปรับทัศนคติในการเปิดรับฟังเสียงของนักเรียน มากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ คือ บทบาทขอสภานักเรียนที่มักเลือกตั้งขึ้นมาโดยนักเรียน แต่กลับทำหน้าที่เสมือนฝ่ายเลขาฯ ของครูคณะบริหารมากกว่าจะรักษาผลประโยชน์ของผู้เรียน
นอกจากนี้ การศึกษาเชิงเปรียบเทียบจากประเทศที่ประสบความสำเร็จสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการนักเรียนในทุกโรงเรียนโดยให้มีตัวแทนจากแต่ละระดับชั้น การกำหนดบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจนให้กับตัวแทนนักเรียน และการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมผ่านกิจกรรมหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้นักเรียนทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียม
สรุปแล้ว แนวคิด student governance ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มอำนาจและบทบาทของนักเรียนในระบบการศึกษา แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะชีวิต เช่น การต่อรอง ประชาธิปไตย การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหา ประเทศไทยควรมองว่าเสียงของนักเรียนไม่ใช่ความคิดเห็นที่อาจสร้างความยุ่งยากให้กับผู้บริหาร แต่เป็นโอกาสสำคัญในการปรับปรุงระบบการศึกษาให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน