
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
นายกฯเดินหน้า ‘MOU44’ ชี้เป็นเรื่อง “เซนซิทีฟ” ยังไม่ Final ปลดหนี้เกษตรกร 1.6 หมื่นราย 1.5 หมื่นล้าน เริ่มแจกไร่ละพัน 16 ธ.ค.นี้ เจรจาเมียนมาแล้ว คาดปล่อย 4 ลูกเรือไทย หลังปีใหม่ ยันไม่แทรกแซงกองทัพ ปมแก้ กม.โยกอำนาจกลาโหมให้ ครม.ตั้งนายพล ไม่ทราบจะเป็นนายกฯตระกูลชินวัตรคนแรกที่ไม่ถูกรัฐประหารหรือไม่ เผยข่าวดีปีหน้าค่าแรง 400 บาท ได้แน่นอน มอบรองนายกฯ ตอบกระทู้สภาฯแทน เหตุชนกับงานแถลงผลงาน มติ ครม.เคาะแก้หนี้รายย่อย – SMEs กว่า 2 ล้านบัญชี 8.9 แสนล้านบาท เพิ่มค่าลดหย่อนภาษีฝึกอบรม พนง.หักภาษีสูงสุด 2 เท่า กระตุ้นท่องเที่ยว เชื่อมระบบ ‘Single Window” ศุลกากรไทย – จีน จัดหาวัคซีนป้องกัน ‘โรคฝีดาษวานร’ จัดงบฯ 472 ล้าน ใช้หนี้ กฟน.-กฟภ.ลดค่าไฟเดือน ก.ย. ตั้งบิ๊กลอต 16 นักการเมือง นั่งสำนักเลขานายกฯ
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นางสาวแพทองธาร มอบหมายให้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ
เคาะมาตรการแก้หนี้
นางสาวแพทองธาร รายงานว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่องของมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี โดยเป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ กลุ่มเปราะบาง ในกลุ่มสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) เพื่อให้แก้ไขปัญหาหนี้สินได้ โดยเฉพาะหนี้สินครัวเรือนให้เกิดเป็นรูปธรรมและยั่งยืนขึ้น
นางสาวแพทองธาร เสริมว่า ในวันนี้จะมีการแถลงข่าวประเด็นข้างต้น ทั้งนี้ เบื้องต้นจะใช้มาตรการลดภาระการชำระหนี้และดอกเบี้ยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเน้นการตัดเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ รวมถึงสถานประกอบการตนเองไว้ได้
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า การให้โอกาสลูกหนี้เอ็นพีแอล (NPL) มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท สามารถปิดหนี้ได้ ซึ่งได้มีการสำรวจไว้แล้วสำหรับลูกหนี้ที่มียอดไม่เกิน 5,000 ให้รับการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้สามารถปิดบัญชีนี้ได้และเคลียร์เครดิตปรับปรุงประวัติการชำระหนี้ด้วย และเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไปในอนาคตได้
นอกจากนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้มีการช่วยเหลือมาตรการลูกหนี้กลุ่มเปราะบางทั้งลูกหนี้ที่มี ประวัติชำระหนี้ดี เพื่อที่จะให้กำลังใจรักษาวินัยการเงินการครั้งต่อไป และลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เรื้อรัง ยังมีมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ของ กลุ่ม non-bank โดยการลดภาระผ่อนชำระค่างวดเหลือร้อยละ 70 และลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปีเหลือเพียงร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งรายละเอียดจะให้ทางกระทรวงการคลังเสนอในรายละเอียดทุกอย่าง
ผ่านร่าง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ลดขั้นตอนการขออนุญาต
นางสาวแพทองธาร รายงานว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและให้บริการแก่ประชาชน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มีการขอใบอนุญาตต่างๆ และการบริการจากหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น ลดขั้นตอนต่างๆ ที่ไม่จำเป็น ปรับปรุงระบบ และขั้นตอนการขออนุญาต ตลอดจนการใช้ระบบใบอนุญาตหลัก (Super License) และจะมีการจัดตั้งศูนย์รับคำขอการขึ้นทะเบียนหน่วยงานของรัฐ ทั้งการรับคำขอเอกสารต่างๆ โดยอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
ปลดหนี้เกษตรกร 1.6 หมื่นราย 1.5 หมื่นล้าน เริ่มแจกไร่ละพัน 16 ธ.ค.นี้
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังแนวทางดำเนินงานตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกร สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคาร 4 แห่ง โดยให้สมาชิกเกษตรกรแสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมเบื้องต้นจำนวน 16,794 ราย และที่แจ้งเพิ่มเติมภายหลังให้ได้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกรอบเงินของงบประมาณที่เคยผ่าน ครม. ไปแล้ว 15,481.66 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับรายงานจากกระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรฯ ว่าการที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เรื่องของโครงการสนับสนุนบริหารจัดการและเพิ่มคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวการผลิตปีการผลิต 2567/2568 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรสามารถดำรงชีพอยู่ได้และลดต้นทุนการผลิตการเกษตรให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น หรือ ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท กระทรวงการคลัง จะเริ่มจ่ายเงินให้กับเกษตรกรจำนวน 4.3 ล้านรายใช้งบประมาณทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท จะเริ่มแจกจ่ายเงินในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคมนี้ โดยเริ่มจ่ายในแต่ละภาคใช้ระยะเวลาภาคละ 5 วัน
เจรจาเมียนมาแล้ว คาดปล่อย 4 ลูกเรือไทย หลังปีใหม่
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัฐบาลเมียน เพื่อให้ปล่อยตัว 4 ลูกเรือคนไทย โดยนางสาวแพทองธร ตอบว่า “ได้คุยกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา เรื่องการส่งตัวออกมา แต่จริงๆ ไม่มีปัญหาอะไร ที่ดิฉันคุยล่าสุดก็ได้ส่ง Message ฝากไปยังท่านทูตที่นั่นว่า มีความห่วงใยและอยากให้ปล่อยตัวให้ได้เร็วที่สุด”
นางสาวแพทองธาร เสริมว่า “รัฐมนตรี (ทั้ง 2 ประเทศ) จะมีการพบกันในวันที่ 19 ธันวาคมนี้…จริงๆ แล้วกระบวนการปล่อยตัวยังติดที่ฝั่งเมียนมา แต่ความปลอดภัย หรือ อะไรไม่ได้มีปัญหาอะไรแล้ว และคาดว่าเท่าที่คุยกันภายในหรือ “อินไซต์” คิดว่าหลังปีใหม่นิดหน่อยก็จะเรียบร้อยหมดทุกอย่าง เรื่องเอกสาร และขั้นตอนการปล่อยตัวด้วย”
ถามต่อว่า นอกจากเรื่องการปล่อยตัว ได้พูดคุยถึงเรื่องคดีความหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ได้มีการพูดคุยตรงนี้ อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดก็คงต้องคุยกันต่อ แต่เรื่องความปลอดภัยของคนที่ถูกจับไปทั้ง 4 ท่านก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”
เดินหน้า ‘MOU44’ แต่ยังไม่ Final ชี้เป็นเรื่อง “เซนซิทีฟ”
เมื่อถามถึงกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยื่นหนังสือคัดค้าน MOU 44 เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 นายกฯ ได้เห็นหนังสือหรือยัง โดยนางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เห็นแล้วค่ะ อันนี้เราก็ได้ดูเรียบร้อยแล้ว แต่ต้องให้มั่นใจนิดนึงว่าเราก็ต้องดูแลผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งก็อยากให้ทุกฝ่ายใจเย็น ๆ กันนิดนึง มันไม่มีการบิดเบือนอะไรนอกจากนี้เลย หนังสือที่ได้ก็ได้รับแล้ว และทุกหน่วยงานก็ช่วยกันดู”
ถามต่อว่า นายกฯ จะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างไร นางสาวแพทองธาร นิ่งคิดและตอบว่า “อืม…จริงๆ แล้วเรามีส่วนของการรับฟังความคิดเห็นอยู่แล้ว ทางคุณสนธิได้มายื่นจดหมายก็เป็นการรับฟังความคิดเห็นอย่างหนึ่งเช่นกัน แต่ทุกอย่างที่เราได้ เรารับพิจารณา และทราบดีว่าในทุกเรื่องมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้จะเปิดเวทีสาธารณะหรืออะไร”
ถามต่อว่า จะเดินหน้า MOU44 ใช่หรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เรากำลังดูเรื่องรายละเอียดว่าผลกระทบอะไร อย่างไร ก็นำสิ่งที่เสนอมาพิจารณาให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น”
ถามต่อว่าการตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิค (JTC) มีความคืบหน้าอย่างไร นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ก็มีความคืบหน้า แต่ยังไม่ final”
เมื่อถามว่า หลังจากเดินทางกลับจากประชุมเอเปค นายกฯ เคยบอกว่าการตั้งคณะกรรมการจะเรียบร้อย แต่ปัจจุบันยังติดขัดอะไร โดยนางสาวแพทองธร ตอบว่า “มีการตามเรื่องคณะกรรมการ แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่ค่อนข้างเซนซิทีฟพอสมควร ฉะนั้น ถ้าตั้งกรรมการฯ ก็อยากให้ตั้งขึ้นมาแล้ว ไม่ติดขัดเรื่องอะไรเพิ่มเติม”
“แต่ก็เร่งอยู่ ไม่ได้ปล่อยอะไรเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในเรื่องที่อยู่ในลิสท์ที่นึกถึงอยู่ทุกวัน” นางสาวแพทองธาร ย้ำ
มอบรองนายกฯ ตอบกระทู้สภาฯแทน เหตุชนกับงานแถลงผลงาน
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายค้าน ที่อยากให้นายกฯ เข้าสภาเพื่อตอบกระทู้ ในวันเปิดประชุมที่ 12 ธันวาคม 2567 โดยนางสาวแพทองธาร ตอบว่า “มีแพลนไปตอบอยู่แล้ว จริงๆ อยากไป แต่การทำงานของตัวดิฉันเองที่เป็นนายกฯ ก็กระจายหน้าที่ให้รองนายกฯ ช่วยกันทำ เพราะฉะนั้นการตอบกระทู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรองนายกฯ หรือ รัฐมนตรี ในส่วนที่รับผิดชอบโดยตรง ก็คิดว่าไปตอบกระทู้ก็จะตรงกว่า และให้รายละเอียดในเชิงลึกได้มากกว่า”
เมื่อถามย้ำเรื่องกาารตอบกระทู้ในสภา นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “แน่นอน ต้องมีการเข้าไปอยู่แล้ว ไม่ได้มีการละเลยงานของสภาอยู่แล้ว”
ถามต่อว่า กระทู้ลักษณะใดที่นายกฯ จะเข้าไปตอบด้วยตนเอง นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “จริงๆ ก็ลองดูอนาคตดูค่ะว่ามีเรื่องไหนที่ได้ หรือ เวลาที่เหมาะสม เพราะอย่างวันที่ 12 ธันวาคมนี้ ที่ได้ยินกันมาก็ไม่เหมาะสมเรื่องเวลาจริงๆ เพราะเราก็ทราบอยู่แล้วว่าวันที่ 12 วางแพลนมานานมากแล้ว”
ลงพื้นที่ภาคใต้ฟื้นฟูน้ำท่วมหลังปีใหม่
ผู้สื่อข่าวถามถึงกำหนดการลงพื้นที่ภาคใต้ โดยนางสาวแพทองธาร ตอบว่า “คิดว่าน่าจะเป็นในช่วงหลังปีใหม่ เพราะตั้งใจจะลงไปเรื่องฟื้นฟู ไม่อยากให้ลงไปพื้นที่แล้วจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น”
ยันไม่แทรกแซงกองทัพ ปมแก้ กม.โยกอำนาจกลาโหมให้ ครม.ตั้งนายพล
เมื่อถามถึงการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม โดยให้อำนาจ ครม.แต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล เพื่อสกัดการรัฐประหาร นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “ในเรื่องนี้มีความคิดเห็นต่างกันอยู่แล้ว ในทุกเรื่องต้องรับฟังทุกอย่าง ในรัฐธรรมนูญจริงๆ ก็มีเรื่องนี้อยู่แล้ว”
“เราต้องแสดงจุดยืนว่า ในวันนี้-พุทธศักราชนี้ เราต้องคุยกันว่า รัฐบาลไม่มีเจตนาที่จะไปแทรกแซงงานของกองทัพ แต่อะไรที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับประเทศชาติก็ต้องร่วมมือกันคิด ร่วมมือกันทำ นั่นคือสิ่งที่ในวันนี้-ปีนี้ รัฐบาลนี้ก็ต้องให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน” นางสาวแพทองธาร ตอบ
นางสาวแพทองธาร ตอบเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะเป็นการสุมไฟให้เกิดขึ้นหรือไม่ ว่า “ไม่มีความตั้งใจในนั้นเลย เพราะจริงๆ เราที่คุยกับกองทัพทั้งหมด ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย”
“รมว.กลาโหม และรองนายกฯ (ภูมิธรรม เวชยชัย) ในการทำงาน หรือ ทำอะไร ก็รวบรวมความคิดเห็นอยู่แล้ว ไม่มีการทำอะไร โดยไม่ปรึกษากัน ไม่มี เพราะฉะนั้น เราเน้นว่าทำอย่างไรให้ประเทศเราสงบสุข ประชาชนอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่ว่าหาทุกมุมมองเพื่อความขัดแย้ง อันนั้นก็จะไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย” นางสาวแพทองธาร กล่าว
ไม่ทราบจะเป็นนายกฯตระกูลชินวัตรคนแรกที่ไม่ถูกรัฐประหารหรือไม่
ถามต่อว่า นายกฯ จะเป็นคนแรกของตระกูลชินวัตรที่จะไม่ถูกรัฐประหารหรือไม่ หลังจบคำถาม นางสาวแพทองธาร พูดเสียงดังว่า “เมื่อกี้นักข่าวถามว่า นายกฯ อุ๊งอิ๊งจะเป็นคนแรกในชินวัตรหรือเปล่าที่ไม่ถูกปฏิวัติ ทวนคำถามให้เผื่อไม่ได้ยินนะคะ”
“ก็ไม่ทราบ สื่อมวลชนช่วยตอบด้วยแล้วกัน แต่คิดว่าในตอนนี้ ทางออกของประเทศคือช่วยกันทำเศรษฐกิจให้ดี เพื่อให้ประชาชนมีกินมีใช้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลก็เน้นย้ำในการทำทุกอย่างเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์”
“มันไม่มีเวลาของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับประชาชนคุยกัน ข้าราชการ รัฐมนตรี มันไม่ควรเกิดความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งก็จะ hold ประเทศไว้ ไปต่อไม่ได้ ตอนนี้ที่ดิฉันอยู่ตรงนี้ ก็พยายามทำเรื่องนี้ให้ดีที่สุด” นางสาวแพทองธาร กล่าว
“เรามีรัฐมนตรี มีทีมงานเก่งๆ อีกมากมายที่จะช่วยผลักดันประเทศไปข้างหน้า ก็ขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย รักษาความสงบเอาไว้ เพื่อจะให้ประเทศไปต่อ ประเทศชาติทุกคนอยากมาลงทุน เรายัง recover จากโควิด-19 ไม่หมดเลย เรื่องขัดแย้งบางเรื่องก็ต้องมองข้ามไปเพื่อประเทศ และเพื่อประโยชน์กับประชาชน” นางสาวแพทองธาร กล่าว
เมื่อถามว่า นายกฯ คิดอย่างไรกับกรณีนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ถอนร่าง พ.ร.บ.กลาโหม เพราะแรงกดดันจากหลายส่วน นางสาวแพทองธาาร ตอบว่า “มันเป็นสิทธิของเขาอยู่แล้ว สิทธิของ ส.ส. ไม่ใช่มติของพรรค”
เผยข่าวดีปีหน้าค่าแรง 400 บาทได้แน่นอน
สุดท้าย ผู้สื่อข่าวถามเรื่องค่าแรง 400 บาทว่าจะเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนได้หรือไม่ เมื่อถามจบ นางสาวแพทองธาร ทวนว่า “400 บาท” พร้อมหัวเราะ และกล่าวต่อว่า “เดี๋ยวรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน (พิพัฒน์ รัชกิจประการ) ก็จะมีการประชุมกันในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อกี้ก็แอบกระซิบถามมาแล้วว่า เราน่าจะได้ในปีหน้า เป็นข่าวดีแน่นอน”
ถามต่อว่า จะได้พร้อมกันทั่วประเทศหรือไม่ นางสาวแพทองธาร ตอบว่า “เดี๋ยวลองดูรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้ยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่ความเป็นไปได้มีสูง”
แถลงผลงานรัฐบาล 3 เดือน พรุ่งนี้
ด้านนายจิรายุ รายงานว่า วันพรุ่งนี้ (12 ธ.ค.2567) เวลา 10.00 น. รัฐบาลจะแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 90 วัน หรือในรอบ 3 เดือน ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์ ช่อง 11 โดยกรมประชาสัมพันธ์ หรือ NBT เพื่อสื่อสารว่าวันนี้ได้ทำอะไรบ้าง และอนาคตปีหน้าของประเทศไทยจะเดินไปในทิศทางไหน โดยมีเป้าหมายคือ เร่งแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจต้องดี ประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปากได้
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอเชิญรองนายกฯ คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป และผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมประชุมที่หอประชุมสถานีโทรทัศน์ NBT ในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่ 10.00 น. เป็นต้นไป ในหัวข้อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง”
ขอบคุณทุกภาคส่วนช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม
นายจิรายุ รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีจากการติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ และภาคอื่นๆ โดยช่วงเช้าของวันนี้ นายกฯ ได้รับรายงานว่า สถานการณ์ในภาพรวมได้คลี่คลายและมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น แต่ขอให้ ศปช. ส่วนหน้าเฝ้าระวังฝนตกหนักในภาคใต้ในวันพฤหัสนี้ โดยให้เตรียมความพร้อมรับมือทุกส่วนราชการที่วางแผนไว้
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ กล่าวขอบคุณในที่ประชุมครม. ที่ทุกกระทรวงได้ร่วมมือร่วมใจและเร่งแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งจ่ายเงินเยียวยา ทำให้ประชาชนคลายความกังวลใจไปได้มาก และขอขอบคุณคณะรัฐมนตรีทุกท่าน ข้าราชการทุกท่าน และฝากคำขอบคุณไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนด้วย
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ได้รับประกาศแจ้งเตือนจาก ศปช. โดยกรมอุตุฯ ว่า ฝนจะตกหนักมากอีกระลอกในภาคใต้ ตั้งแต่วันที่พฤหัสบดีที่ 12- วันจันทร์ที่ 16 ธ.ค. นี้ จึงขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เฝ้าระวังและขอให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมรับมือด้วย
สั่ง ศปช.เตรียมแผนฟื้นฟูน้ำท่วมภาคใต้
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายกฯ ยืนยันว่าจะลงพื้นที่ภาคใต้เพื่อกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างเป็นระบบทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ให้ ศปช.ส่วนหน้าเร่งแก้ไขปัญหา และ เร่งสรุปเป็นแผนงาน เพื่อจะได้อนุมัติแผนการแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน
“นายกฯ ยืนยันในที่ประชุมว่า ได้เตรียมความพร้อมลงพื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ แต่ขอให้หลังจากนี้เมื่อ ศปช. กำหนดทิศทาง และลงไปจะต้องมีการอนุมัติ หรือ ดำเนินการแก้ไขปัญหาระยะสั้น กลางและยาวได้ทันที ยืนยันว่า อย่างไรก็แล้วแต่จะต้องลงไปพื้นที่ภาคใต้ อาจจะเป็นเดือนนี้ หรือ ช้าสุดต้นเดือนหน้า ก็ขอยืนยันให้พี่น้องสื่อมวลชนได้รับทราบ” นายจิรายุ กล่าว
มติ ครม.มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
เคาะแก้หนี้รายย่อย – SMEs กว่า 2 ล้านบัญชี 8.9 แสนล้านบาท
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้พิจารณาเรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอเพื่อให้การช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้รายงานในที่ประชุม ครม.ว่า จากการสรุปผลประชุม ของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยกระทรวงการคลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs และมาตรการช่วยเหลือ ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่น ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และแนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ก.คลัง ได้เสนอ ครม. ดังนี้
1. มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ประกอบด้วย
-
(1) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดภาระดอกเบี้ย โดยการเน้นตัดต้นเงินลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ 3 ประเภท (สัญญาสินเชื่อที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567) ประเภทสินเชื่อ วงเงินรวมต่อสถาบันการเงินเช่น 1. สินเชื่อบ้าน/สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน ไม่เกิน 5 ล้านบาท
(2) สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ สินเชื่อเช่ำซื้อรถจักรยานยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 800,000 บาทไม่เกิน 500,000 บาท
(3) สินเชื่อธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านบาท
ส่วนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น ลดภาระการผ่อนชำะค่างวด ระยะเวลา 3 ปี โดยในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ชำระค่างวดร้อยละ 50 , 70 และ 90 ตามลำดับตามค่างวดที่ชำระจะนำไปตัด เงินต้นทั้งหมดเพื่อให้ลูกหนี้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้นและดอกเบี้ยจะพักการชำระไว้ในช่วงระยะเวลามาตรการ
2. มาตรการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ที่ถูกจัดชั้นเป็น NPLs ที่มียอดหนี้ ไม่สูง – เช่นลูกหนี้ และประเภทสินเชื่อ เป็นลูกหนี้บุคคลธรรมดำที่เป็น NPLs และมีภำระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท (ครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภทที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา)
นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น การปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนโดยลดภาระให้ลูกหนี้จ่ายชำระร้อยละ 10 ภาครัฐรับภาระร้อยละ 45 และสถาบันการเงินรับภาระร้อยละ 45 ของภาระหนี้คงค้าง ทั้งนี้ แหล่งเงินของทั้ง 2 มาตรการ มาจาก
-
(1) เงินนำส่งเข้า FIDF ของ ธ.พาณิชย์ (ที่ได้รับการละเว้นจากการปรับลดอัตรานำส่งเงินฯ) จำนวน 39,000 ล้านบาท
(2) เงินงบฯตาม ม.28 เพื่อชดเชยให้ SFIs 6 แห่ง จำนวนวน 38,920 ล้านบาท
2) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ของ Non – banks โดยขยายการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมไปยังลูกหนี้ของ Non – banks เนื่องจากกลุ่มนี้มีความเปราะบางและมีหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง
-
• คุณสมบัติลูกหนี้ และประเภทสินเชื่อ 5 ประเภท (สัญญาสินเชื่อทำขึ้นก่อน 1ม.ค. 67) ในประเภทสินเชื่อวงเงินรวมไม่เกิน
-
1. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 800,000 บาท
2. สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ 50,000 บาท
3. สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ 100,000 บาท หรือ 200,000 บาท
4. สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล 20,000 บาท
5. สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance)
• รูปแบบการช่วยเหลือ เช่น ลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเป็นร้อยละ 70 ของค่างวดก่อนเข้าร่วมมาตรการระยะเวลา 3 ปี ลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 จากอัตราดอกเบี้ยก่อนเข้าร่วมมาตรการตลอดระยะเวลา 3 ปี
• โดยแหล่งเงิน ธ.ออมสิน ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ Non – banks อัตราร้อยละ 0.01 ต่อปีวงเงิน 50,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี งบฯ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
3. มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมของ SFIs มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่น ๆ เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs และครอบคลุมลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการรักษาวินัยทางการเงินของลูกหนี้
• รูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น ลูกหนี้ปกติ ครอบคลุมลูกหนี้ รายย่อย ผู้ประกอบการรายย่อย/เกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยและ ปานกบาง ผ่านการลดดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ผ่านการพักชำระเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในระหว่างพักชำระหนี้ ลูกหนี้ที่ขอสินเชื่อใหม่ ผ่านการรให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
• แหล่งเงิน ให้ SFIs ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธ.ออมสิน ธ.ก.ส. ธ.อาคารสงเคราะห์ ธ.อิสลามใช้จ่ายจากเงินที่ได้จากการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) จากร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.125 ต่อปี สำหรับรอบกการนำส่งเงินในปี 2568 ซึ่งจากประมาณการเงินนำส่งเข้า SFIF ของ SFIs ทั้ง 4 แห่ง ในปี 2568 พบว่าหากได้รับการปรับลดอัตราเงินนำส่งฯ เหลือร้อยละ 0.125 ต่อปี จะมีการนำส่งเงินเข้า SFIF ลดลงประมาณ 8,092 ล้านบาท
4) แนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ ประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก
-
(1) ยกระดับข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่จัดเก็บในระบบฐานข้อมูลของ บจก. ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการมีหนี้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับที่เหมาะสมกับรายได้ และไม่เกินกำลังในการชำระคืน รวมถึงออกแบบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างตรงจุดและทันการณ์ และยกระดับข้อมูลหนี้สินครัวเรือน โดยมีแนวทาง เช่น ปรับปรุงและเพิ่มเติมการจัดทำฐานข้อมูลภาวะหนี้นอกระบบของครัวเรือน เพื่อให้มีข้อมูลสถานะภาระหนี้สินที่แท้จริง
(2) การสร้างความสามารถในการแข่งขันและการยกระดับรายได้ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน โดยมีแนวทาง เช่น ส่งเสริมให้แรงงานยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ดูแลให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจรายใหญ่ได้รับความเป็นธรรม
โดยที่ประชุมเห็นชอบ อนุมัติ และรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ และให้รับความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ
เพิ่มค่าลดหย่อนภาษีฝึกอบรม พนง.หักภาษีสูงสุด 2 เท่า กระตุ้นท่องเที่ยว
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ) ที่กระทรวงการคลังเสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ (4 มิถุนายน 2567) เห็นชอบมาตรการภาษีที่เพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล) และมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ (สำหรับบุคคลธรรมดา) และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณามาแล้ว รวมทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและกรมสรรพากรได้ยืนยันร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยมีสาระสำคัญเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บุคคลธรรมดาและบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการท่องเที่ยว และการจัดอบรมสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยวรองและในจังหวัดท่องเที่ยวอื่นภายในประเทศ ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (Low Season) ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 (รวม 7 เดือน) ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปในการจัดอบรมสัมมนาให้แก่ลูกจ้างภายในประเทศ
-
1) หักรายจ่ายได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในจังหวัดท่องเที่ยวรอง เช่น จังหวัดสตูล จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดสุโขทัย หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (พื้นที่บางอำเภอในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก) เช่น อำเภอเขาพนมและอำเภอปลายพระยาในจังหวัดกระบี่ และอำเภอบ้านบึงและอำเภอพนัสนิคมในจังหวัดชลบุรี
2) หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง สำหรับการอบรมสัมมนาที่ไม่ได้จัดขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือ ในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดฯ (จังหวัดท่องเที่ยวหลัก) เช่น จังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี และกรุงเทพ
3) หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ในกรณีไม่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใด เนื่องจากการจัดอบรมสัมมนาครั้งหนึ่ง ๆ เกิดขึ้นในพื้นพื้นที่ต่อเนื่องกัน และให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตาม 1) หรือ 2) แล้วแต่กรณี
2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าบริการ หรือ ค่าที่พักในท้องที่ในจังหวัดท่องเที่ยวรอง หรือ ในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยสามารถหักลดหย่อนค่าบริการได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 15,000 บาท ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดและต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ของกรมสรรพากรเท่านั้น
นายอนุกูล กล่าวว่า มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้วเมื่อ (4 มิถุนายน 2567) มีกำหนดระยะเวลาดำเนินการจะสิ้นสุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยได้มีการเผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ตามมาตรการภาษีดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ โดยประชาชนที่ได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการนี้สามารถนำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ที่ออกโดยผู้ประกอบการมายื่นเพื่อหักลดหย่อนภาษีได้ในระบบยื่นภาษีออนไลน์ของกรมสรรพากรในปีภาษี 2567 ได้ (ยื่นแบบแสดงรายการภายใน 31 มีนาคม 2568)
“กระทรวงการคลังได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยคาดการณ์ว่า การดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล) จะทำให้รัฐสูญเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 1,200 ล้านบาท และการดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศ (สำหรับบุคคลธรรมดา) จะทำให้รัฐสูญเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประมาณ 581.25 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง ช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ ช่วยสนับสนุนการบริโภคและส่งเสริมการจ้างงานสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในและนอกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” นายอนุกูล กล่าว
ตั้ง JTC การค้า – ลงทุน ‘ไทย – อียิปต์’ 5 สาขา
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (อียิปต์) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) และร่างแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างแผนปฏิบัติการฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างแผนปฏิบัติการ ฯ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยและอียิปต์ โดยกำหนดทิศทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจร่วมกันในระยะ 5 ปี ผ่าน 5 สาขา ได้แก่
-
1) การค้าและการลงทุน เพื่อยกระดับการค้าและการลงทุนทวิภาคีระหว่างไทยกับอียิปต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า และเพื่ออำนวยความสะดวกในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างภาคีคู่สัญญา พร้อมทั้งการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน รวมถึงวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSME) ของภาคีคู่สัญญา
2) การเกษตร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการเกษตรในสาขาที่ภาคีคู่สัญญามีความสนใจร่วมกัน และเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้าสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์ฮาลาล ปศุสัตว์และประมง
3) การรวมกลุ่มและเขตอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างภาคีคู่สัญญา และเพื่อส่งเสริมการลงทุนในการรวมกลุ่มและเขตอุตสาหกรรม รวมถึงความร่วมมือในด้านการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรม โดยกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพอาจรวมถึงยานยนต์และชิ้นส่วนโดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้า อาหารและเกษตรแปรรูป ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
4) การท่องเที่ยว เพื่อเสริมสร้างการลงทุนภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องระหว่างภาคีคู่สัญญา รวมทั้งยกระดับการแบ่งปันข้อมูลเพื่อสร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว ลดความเสี่ยงและความสูญเสีย
5) MSME เพื่อส่งเสริมการพัฒนาของ MSME โดยบูรณาการเข้ากับห่วงโซ่มูลค่าโลกด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ รวมถึงพัฒนาเครือข่าย MSME ของภาคีคู่สัญญา
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาแล้ว เห็นควรให้ความเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง และกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ร่างเอกสารทั้งสองฉบับไม่มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เชื่อมข้อมูล ‘Single Window” ศุลกากรไทย – จีน
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในการลงนามร่างกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือระบบเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียว (Single Window) สำหรับการค้าข้ามแดนระหว่างกรมศุลกากรแห่งราชอาณาจักรไทย (กรมศุลกากรไทย) กับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (สำนักงานศุลกากรจีน) (ร่างกรอบความตกลงฯ) โดยกรมศุลกากรไทยและสำนักงานศุลกากรจีน รวมทั้งเห็นชอบให้อธิบดีกรมศุลกากรลงนามในร่างกรอบความตกลงดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดำเนินการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ในการลงนามในร่างกรอบความตกลงฯ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า กรมศุลกากรไทยและสำนักงานศุลกากรจีน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมหารือความร่วมมือระบบ Single Window ระหว่างไทย – จีน ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีประเด็นสำคัญในการประชุม ได้แก่ การกำหนดลำดับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างไทยและจีน การหารือข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Single Window และการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือระบบ Single Window ระหว่างสำนักงานศุลกากรจีนและกรมศุลกากรไทย ซึ่งฝ่ายไทยและฝ่ายจีนเห็นชอบร่วมกันให้มีการจัดทำข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือระบบ Single Window ระหว่างสำนักงานศุลกากรจีนและกรมศุลกากรไทย
สำหรับการจัดทำร่างกรอบความตกลงฯ เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความร่วมมือด้านการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างไทยและจีนผ่านระบบ Single Window ของประเทศ โดยร่างกรอบความตกลงฯ มีวัตถุประสงค์ (1) จัดตั้งกลไกที่เป็นระเบียบแบบแผนในการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างประเทศคู่ภาคีสำหรับการบูรณาการ Single Window และการริเริ่มอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (2) ศึกษาวิเคราะห์และจัดทำแบบจำลองการทำงานร่วมกันของ Single Window เพื่อเป้าหมายในการบรรลุผลการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ แม่นยำ และปลอดภัยระหว่างการบูรณาการร่วมกัน (การเชื่อมโยงกัน)
“ร่างกรอบความตกลงฯ จะช่วยยกระดับการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างไทยและจีน โดยการใช้ระบบ Single Window แลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้าและการขนส่งระหว่างประเทศ ตลอดจนจะมีการพัฒนาโครงการแลกเปลี่ยนความรู้และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการข้อมูลร่วมกัน อีกทั้งจะช่วยลดภาระ ค่าใช้จ่ายในเรื่องเอกสารได้อย่างชัดเจน รวมถึงขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์ระบบ Single Window ของไทยไปยังต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างสองประเทศได้เป็นอย่างดี เนื่องจากธุรกรรมทางการค้าระหว่างไทยและจีนมีปริมาณสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศมีความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องเอกสารได้อย่างชัดเจน รวมถึงขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์ระบบ Single Window ของไทยไปยังต่างประเทศมากขึ้น” นายนุกูล กล่าว
เห็นชอบร่างแถลงผลประชุม รมต.อาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 5
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (11 ธันวาคม 2567) ครม. มีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่5 (5th AMMW Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 5 (The Fifth ASEAN Ministerial Meeting on Women: 5th AMMW Meeting)
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ การเสริมพลังให้แก่สตรี และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการมุมมองที่คำนึงถึงมิติเพศภาวะในการดำเนินการต่าง ๆ เช่น
-
1) ส่งเสริมการนำแนวทางที่สร้างสรรค์มาใช้ในการแก้ไขอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษา การดูแลสุขภาพ การมีส่วนร่วมของสตรีในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ปัญหาความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ การเลือกปฏิบัติต่อสตรีในสื่อหลักและสื่อสังคมออนไลน์
2) สนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานด้านเพศภาวะหรือหน่วยงานประสานงาน เพื่อให้ดำเนินการตามมาตรการด้านเพศภาวะอย่างมีประสิทธิภาพ
3) ส่งเสริมภาวะผู้นำและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของสตรีในทุกภาคส่วน ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงในองค์กรระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าเสียงและมุมมองของสตรีได้รับการรับฟัง และสะท้อนในกระบวนการตัดสินใจ
4) เพิ่มความพยายามในการให้บริการสวัสดิการสังคมที่ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มที่เปราะบาง รวมถึงผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ
5) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรี และการเข้าถึงงานที่มีคุณภาพ และการคุ้มครองทางสังคมอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับสตรีทั้งในและนอกระบบ และสนับสนุนการนำแนวทางที่ครอบคลุมมิติเพศภาวะมาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับสตรีมีอยู่ในทุกระดับของกำลังแรงงาน
6) เสริมสร้างการเก็บรวบรวม การวิเคราะห์ และการใช้ข้อมูลจำแนกเพศและสถิติที่เกี่ยวข้องกับเพศภาวะ เพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบาย และการวางแผนโครงการที่มุ่งเน้นการเสริมพลังให้แก่สตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศจากหลักฐานและข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
7) ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ของอาเซียน พันธมิตรอาเซียน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อเร่งรัดการบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และการเสริมพลังให้แก่สตรีในภูมิภาค
โดยการให้ความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของประเทศไทย ไม่มีผลผูกพันงบประมาณ โดยถือเป็นการย้ำเจตจำนงและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการเสริมสร้างความเชื่อมโยง และความเข้มแข็งต่อประเด็นการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและการเสริมพลังสตรีในระดับภูมิภาค
ไฟเขียวไทยเข้าร่วมข้อริเริ่ม ‘She Trades Outlook’
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการเข้าร่วมข้อริเริ่ม She Trades Outlook ของประเทศไทย และมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) พิจารณาเสนอรายชื่อบุคลากรเป็นที่ปรึกษาระดับประเทศ (National Consultant) สำหรับข้อริเริ่ม She Trades Outlook แก่ศูนย์พาณิชยกรรมระหว่างประเทศ [International Trade Center (ITC) เพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่ พณ. เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ITC เป็นหน่วยงานร่วมขององค์การการค้าโลก [World Trade Organization (WTO)] และองค์การสหประชาชาติ [United Nations (UN)) ได้เล็งเห็นว่า ผู้ประกอบการสตรียังไม่ได้รับโอกาสด้านการค้า จึงได้จัดทำโครงการสตรีและการค้า (ITC She Trades Initiative) ในปี 2558 เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนสตรีในการค้าขายระหว่างประเทศผ่านกิจกรรม และข้อริเริ่มต่าง ๆ โดยให้ความรู้ สร้างเครือข่าย และสนับสนุนด้านนโยบาย ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ [Sustainable Development Goals (SDGS)] โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 5 บรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน
ต่อมาในปี 2563 ITC ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร และได้จัดทำข้อริเริ่ม She Trades Outlook เพื่อสนับสนุนข้อมูลให้กับผู้กำหนดนโยบาย ด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการค้าของสตรี และเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมสร้างเสริมศักยภาพและการมีส่วนร่วมของสตรีในการค้าระหว่างประเทศ โดยปัจจุบันมีประเทศที่เข้าร่วมข้อริเริ่มดังกล่าวประมาณ 50 ประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิบไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ ITC อยู่ระหว่างขยายจำนวนประเทศที่เข้าร่วมข้อริเริ่ม She Trades Outlook
การเข้าร่วมข้อริเริ่ม She Trades Outlook มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาเครื่องมือนโยบายเชิงนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้จัดทำนโยบายให้สามารถประเมินติดตาม และพัฒนาระบบนิเวศในการทำงาน (ecosystem) ของการมีส่วนร่วมของสตรีในด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการจัดทำนโยบายตามกลุ่มตัวชี้วัดด้านการค้าและความเท่าเทียมทางเพศ 6 ประเด็น ได้แก่ (1) นโยบายการค้า (2) กรอบกฎหมายและระเบียบ (3) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ (4) การเข้าถึงทักษะ (5) การเข้าถึงด้านการเงิน และ (6) การทำงานและสังคม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ โดย อก. และ สศช. มีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ควรวางเป้าหมายในกลุ่มสตรีของเศรษฐกิจนอกระบบ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจในระบบ
จัดหาวัคซีนป้องกัน ‘โรคฝีดาษวานร’
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอดังนี้
-
1. ให้ความเห็นชอบต่อร่างหนังสือข้อตกลงสำหรับการจัดหาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรคฝีดาษวานร
2. อนุมัติให้ใชอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท ตามเงื่อนไขที่กำหนดในร่างหนังสือข้อตกลง สำหรับการจัดหาวัคซีนป้องกันและติดต่อเชื้อโรคฝีดาษวานร
3. อนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือ ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างหนังสือข้อตกลง สำหรับการจัดหาวัคซีนป้องกันติดเชื้อโรคฝีดาษวานร
สาระสำคัญ
1. อาเซียนได้อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานร โดยใช้งบประมาณจากกองทุน COVID-19 AND Other Public Health Emergencies and Emerging ASEAN Response Fund ตามที่กระทรวงสาธารณสุขบรูไนดารุสซาลามเสนอ เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรคฝีดาษวานร (Jynneos) ให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประสงค์จะขอรับวัคซีน โดยกระทรวงสาธารณสุขบรูไนดารุสซาลามเป็นผู้ดำเนินการในนามประเทศสมาชิกอาเซียน
2. การจัดหาวัคซีนสอดคล้องกับสาระด้านการพัฒนาสาธารณสุขอาเซียน ภายหลังปี ค.ศ. 2015 สำหรับปี ค.ศ. 2021 – 2025 (ASEAN Post-2015 Health Development Agenda for 2021 to 2025) ในประเด็นความร่วมมือด้านสุขภาพที่มีความเร่งด่วน Health Priority) ที่ 8 เรื่องการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ โรคเขตร้อนที่ถูกละเลย และโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากสัตว์
3. ปัจจุบันไม่มีวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานรโดยตรง แต่ใช้วัคซีน Jynneos ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษแทน เพราะพบว่า สามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ถึงร้อยละ 80-85 โดยพิจารณาฉีดวัคซีนนี้แบบป้องกันก่อนสัมผัสโรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อฝีดาษวานร รวมทั้งผู้มีความเสี่ยงสูง อาทิ ผู้ติดเชื้อเอสไอวีหรือได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
4. บรูไนดารุสซาลามได้ลงนามในสัญญาจัดหาวัคซีนกับบริษัท Bavarian Nordic ในนามประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประสงค์จะขอรับวัคซีนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 รวมทั้งขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกอาเซียนที่ยังคงประสงค์จะขอรับวัคซีน ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการลงนามในร่างหนังสือข้อตกลง ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับบริษัท Bavarian Nordic ประเทศเดนมาร์ เพื่อยืนยันการขอรับวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรคฝีดาษวานร จำนวน 2,220 โดส และยอมรับเงื่อนไขในการรับวัคซีน ซึ่งเป็นเงื่อนไขในดารุสซาลามได้เจรจากับบริษัทฯ ในนามประเทศสมาชิกอาเซียนเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อบริษัทฯ จะได้ส่งวัคซีนให้ประเทศไทยโดยตรงต่อ ทั้งนี้ หากไม่สามารถยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวได้ จะถือว่าประเทศไทยไม่ประสงค์จะรับจัดสรรวัคซีนดังกล่าว
5. กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาข้อกำหนดและเงื่อนไขที่กำหนดในร่างหนังสือฯ แล้วเห็นว่า สามารถยอมรับและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งตามข้อกำหนดและเงื่อนไขที่ระบุได้ ดังนี้
-
• ประเด็นระบบการจัดการและเก็บรักษาวัคซีน : ประเทศไทยมีระบบการจัดการและเก็บรักษาวัคซีนเป็นไปตามข้อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีด้านอาหารและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (GxP) ที่ใช้บังคับ โดยปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกระจายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2564 โดยมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการกระจายยา (Good Distribution Practice: GDP) ตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในประกาศฉบับนี้
• ประเด็นความรับผิดชอบในส่วนการใช้ การเก็บรักษา การบริหารจัดการวัคซีนรวมถึงประเทศผู้รับจะต้องมีจดหมายหรือคำรับรองจากหน่วยงานที่มีอำนาจเพื่อให้วัคซีนที่นำเข้านั้นถูกต้องตามกฎหมาย : กระทรวงสาธารณสุขใช้แนวทางบริหารจัดการวัคซีนตามระบบลูกโซ่ความเย็นที่มีการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ ทั้งกระบวนการตรวจรับ การจัดเก็บ จนถึงการกระจายวัดซีนถึงหน่วยบริการเป้าหมาย
• ประเด็นการนำเข้าวัคซีนที่ถูกต้องตามกฎหมายและการส่งมอบวัคซีน : เนื่องจากปัจจุบันวัดซีนยังไม่มีทะเบียนยาในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติยามาตรา 13 (5) การนำเข้าหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักร โดยกระทรวง ทบวง กรมในหน้าที่ป้องกันหรือบำบัดโรคสภากาชาดไทย และองค์การเภสัชกรรม โดยกรมควบคุมโรคจะประสานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อขออนุญาตนำเข้าวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขรับทราบเงื่อนไขการส่งมอบวัคซีน และจะนำวัคซีนไปใช้เพื่อป้องกันและควบคุมโรคฝีดาษวานรที่กำลังระบาดในประเทศไทย ไม่นำไปใช้เพื่อการวิจัยทดลองทางการแพทย์ ขายต่อ บริจาค หรือโอน แต่อย่างใด
• ประเด็นการติดตามรายงานเหตุการณ์. กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางการเฝ้าระวังและสอบสวนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังการได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Adverse Events Following Immunization: AEF) ซึ่งเป็นระบบที่จะดูแลป้องกันมิให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียงร้ายแรงใด ๆ ต่อผู้ที่ได้รับวัคซีนอย่างใกล้ชิดและเข้มงวด ในส่วนมาตรการเยียวยาในกรณี Adverse Drug Reaction (ADR) กระทรวงสาธารณสุขมีขั้นตอนเพื่อดูแลและช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้วัคซีน โดยผู้ป่วยหรือแพทย์เมื่อพบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ สามารถรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นจากการใช้วัดซีนไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จากนั้นคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ตรวจสอบและประเมิน เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจน และตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการใช้วัคซีนอย่างไร หากมีการยืนยันว่าผู้ป่วยได้รับผลกระทบจาก ADR ทีมแพทย์จะทำการดูแลรักษาอาการ โดยอาจมีการหยุดใช้วัดซีน หรือปรับเปลี่ยนการรักษาตามความเหมาะสม ในกรณีที่ ADR ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เช่น การบาดเจ็บหรือการเสียชีวิต อาจมีมาตรการในการชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
• วรรคก่อนสุดท้ายของร่างหนังสือฯ ระบุเรื่องการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ภายใต้ Rules of Arbitration ของ International Chamber of Commerce และการสละความคุ้มกันของรัฐในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง คดีความ คำตัดสิน หรือกระบวนการทางกฎหมายใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่างหนังสือข้อตกลง จึงขอนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติเป็นราย ๆ ไป ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เรื่อง ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 (เรื่องการทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน)
ประโยชน์และผลกระทบ
-
1. กระทรวงสาธารณสุข ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่อง พิจารณาแล้วมีความเห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขยอมรับและปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ตามที่ระบุในร่างหนังสือฯ ได้ รวมทั้งสามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน
2. การได้รับวัคซีนป้องกันโรคป้องกันโรคฝีดาษวานรดังกล่าว จะช่วยป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคฝีดาษวานรในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จัดงบฯ 472 ล้าน ใช้หนี้ กฟน.-กฟภ.ลดค่าไฟเดือน ก.ย.
นายคารม กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้การไฟฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณในวงเงิน 472.67 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือน กันยายน 2567 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยเป็นกรอบวงเงินของ กฟน. และ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามที่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้ ส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบาง (19.05 สตางค์ต่อหน่วย) ประจำเดือนกันยายน 2567 การไฟฟ้านครหลวงช่วยเหลือ จำนวน 2.31 ล้านราย เป็นจำนวนเงิน 74.32 ล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคช่วยเหลือจำนวน 16.55 ล้านราย เป็นเงินจำนวน 398.35 ล้านบาท
ตั้งบิ๊กลอต 16 นักการเมือง นั่งสำนักเลขานายกฯ
นายคารม กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงขิงหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
-
1. นางสาวเสาวพักตร์ ฮิ้นจ้อย นายสัตวแพทย์เชี่ยวชาญ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัย สาขาโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน) กรมควบคุมโรค ให้ตำรงตำแหน่ง นายสัตวแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2567
2. นายขรรค์ชัย มลังไพศรพณ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมสาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมสาขาออร์โธปิดิกส์) โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2567
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายประวีณ ตัณฑประภา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์และมีคำสั่งให้รักษาการในตำแหน่ง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นางสาววรนัดดา ศรีสุพรรณ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เภสัชกรเชี่ยวชาญ (ด้านเภสัชกรรม) กองบริหารการสาธารณสุข สำนักปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการอาหารและยาทรงคุณวุฒิ (ด้านอาหารและยา) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายเพชรฤกษ์ แทนสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลศรีสะเกษ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
-
1. นายโตมร ทองศรี นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567
2. นางสุภาพร พุทธรัตน์ นักวิชาการสาธารณสุขเชี่ยวชาญ (ด้านสาธารณสุข) กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านสาธารณสุข) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2567
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
6. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป
7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง นายประสพ เรียงเงิน ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 16 ราย ดังนี้ 1. พลตำรวจโท พัฒนวุธ อังคะนาวิน 2. นายภัทร บุญประกอบ 3. นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา 4. นายธนวรรษ เพ็งดิษฐ์ 5. นางสาวณัฐณิชา บุรณศิริ 6. นายภูวเดช นพฤทธิ์ 7. นางจุฑาพัตธน์ เมนะสวัสดิ์ 8. นายธงทอง นิพัทธรุจิ 9. นางสาวปรมาภรณ์ บริบูรณ์ 10. นายนนทภูมิ ตั้งปณิธานนท์ 11. นางสาวชนิสรา โสกันต์ 12. นายพงศกร รัตนเรืองวัฒนา 13. นายตติยภัทร์ ปิติเศรษฐพันธุ์ 14. นางณริยา บุญเสรฐ 15. นายภัทร ภมรมนตรี 16. นางสาวอรทัย เกิดทรัพย์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
9. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบสถาบันการเงินประชาชน จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
-
1. นายมรกต พิธรัตน์ ด้านการเงินระดับชุมชน
2. นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ด้านการพัฒนาชุมชน
3. นายนิพนธ์ ฮะกีมี ด้านกฎหมาย
4. นายนรินทร์ กัลยาณมิตร ด้านเศรษฐกิจ การเงิน หรือการคลัง
5. นางปรางมาศ เธียรธนู ด้านการบัญชี
6. นายกิตติพงศ์ บุญยิ่ง ด้านการบริหารความเสี่ยงหรือการประกันภัย
7. นายผยง ศรีวณิช ด้านเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป
10. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นายสมศักดิ์ พณิชยกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 2. นายชัยณรงค์ โชไชย ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 3. นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 4. นางสาวอุรวี เงารุ่งเรือง ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 5. นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 6. นายวัชระ เปียแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 7. นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 8. นางสาววัชรี วัฒนพรพรหม ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 9. นายธนัญชัย ลิมปิพิพัฒนากร ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) 10. นายพินัย ณ นคร ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ) 11.นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ) 12. นางพัฒนาพร ฉัตรจุฑามาส ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม.ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2567 เพิ่มเติม