ASEAN Roundup ประจำวันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2567
สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ
สิงคโปร์ กำลังผงาดขึ้นในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะในด้าน “Deep Tech” โดยล่าสุดได้ประกาศอัดฉีดเงินเพิ่ม เพื่อดึงนักลงทุนใน deep tech รวมไปถึงจัดตั้ง Global Finance & Technology Network
Deep Tech (Deep Technology) หรือเทคโนโลยีขั้นสูง คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร ลอกเลียนแบบได้ยาก และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองเพราะผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมอย่างยาวนาน
สิงคโปร์จะจัดสรรเงิน 440 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (332.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยคาดหวังว่าเงินทุนจะดึงดูดบริษัทร่วมลงทุน (enture capital-VC) ระดับโลกให้ลงทุนมากขึ้นในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงในสิงคโปร์ ที่มีศักยภาพในการขยายไปสู่ในระดับสากล
นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัว “แพลตฟอร์มแบบครบวงจร” one-stop platform ใหม่ รวมถึงสถานที่ทางกายภาพ เพื่อรวบรวมสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีระดับประเทศและระดับโลกมาไว้ในที่เดียวกัน โดยมีกำหนดเปิดตัวในไตรมาสหน้า และมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างสตาร์ทอัพ องค์กร และพันธมิตรด้านนวัตกรรม จากแถลงการณ์ร่วมของ Enterprise Singapore (EnterpriseSG) และคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board-EDB)
Enterprise Singapore เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม มีนโยบายในการช่วยเหลือและสนับสนุนบริษัทสิงคโปร์ให้มีความสามารถขยายตัวไปสู่ตลาดโลกได้
ทั้งสองหน่วยงานของรัฐกล่าวว่า ศูนย์แห่งใหม่นี้จะจัดสรรทรัพยากรและโปรแกรมเพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพสร้างฐานในสิงคโปร์ และขับเคลื่อนการสร้างขีดความสามารถเพื่อการเติบโตของธุรกิจ อีกทั้งยังจะได้รับโอกาสในการเข้าถึงตลาดและระดับนานาชาติ รวมถึงความช่วยเหลือสำหรับสตาร์ทอัพระดับโลกในการบูรณาการเข้ากับระบบนิเวศในประเทศ
EnterpriseSG และ EDB จะบริหารเงินทุนก้อนใหม่มูลค่า 332.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Startup SG Equity ที่เปิดตัวควบคู่ไปกับแผนการวิจัย นวัตกรรม และองค์กร (Research, Innovation and Enterprise -RIE) 2025 มูลค่า 28 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (21.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
จนถึงขณะนี้มีการลงทุนแล้วประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในสตาร์ทอัพมากกว่า 330 แห่งภายใต้โครงการ Startup SG Equity ซึ่งรวมถึงกองทุนภาคเอกชนที่มากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)
เพื่อเร่งการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงลึกในระยะเริ่มต้นถึงช่วงเติบโตเร็ว โครงการจะขยายเพดานการลงทุนร่วมของรัฐบาลเป็น 12 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (9.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับสตาร์ทอัพแต่ละราย เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
สตาร์ทอัพที่มีสิทธิ์สามารถใช้เงินทุนสำหรับระยะแรกของการพัฒนา รวมถึงการตรวจสอบเทคโนโลยีและเชิงการค้า
สิงคโปร์คาดว่าเงินทุนเพิ่มเติมจะดึงดูด แหล่งรวม VCs ที่โดดเด่นระดับโลกขนาดใหญ่ ให้ลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีขั้นสูงในตลาดเอเชียที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่จะขยายไปในต่างประเทศ
“VC เหล่านี้นำความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีขั้นสูง ความรู้เชิงพาณิชย์ และเครือข่ายระดับโลกมาด้วย เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพนำเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการไปยังตลาดผู้ใช้” EnterpriseSG และ EDB กล่าว โดยชี้ไปที่การมุ่งเน้นไปที่ด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และอวกาศ เทคโนโลยี
“นวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอนาคตของสิงคโปร์ และเราจำเป็นต้องใช้แนวทางที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการพัฒนาโซลูชันการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวก” เอมิลี หลิว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมของ EnterpriseSG กล่าว “เราต้องทุ่มเทความพยายามเป็นสองเท่าในการขยาย core tech ที่แข็งแกร่งของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเชิงลึก ตลอดจนยกระดับระบบนิเวศสตาร์ทอัพของเราไปสู่ระบบนิเวศที่มุ่งเน้นระดับโลก และสามารถดึงดูดผู้ที่มีความสามารถที่สุดยอดในโลกได้”
สิงคโปร์กำลังพิจารณาที่จะลงทุนพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถของตนเอง โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ในแถลงการณ์อีกฉบับหนึ่ง หน่วยงานรัฐบาล AI Singapore ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ พัฒนามาเพื่อเสริมทักษะวิศวกร AI ด้วย AI ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม และทักษะด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์
AIAP Foundation พัฒนาขึ้นบนหลักการเรียนรู้ของโครงการฝึกงาน AI (AI Apprenticeship Programme -AIAP) ซึ่ง AI Singapore กล่าวว่าเริ่มต้นด้วยเฟส “ปลูกทักษะเรียนรู้ด้วยตนเอง” ซึ่งรวมถึงทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติจริง นำไปสู่การพัฒนาโครงการ AI ในระหว่างที่ผู้ฝึกหัดทำงานในโครงการ AI ในโลกแห่งความเป็นจริงตลอดวงจรชีวิตของสตาร์ทอัพ
ทั้งนี้ พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความท้าทายด้านลูกค้า การทำงานกับข้อมูลจริง เลือกและโมเดลฝึกอบรม AI และปรับใช้ ผู้ฝึกหัดจะได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้าน AI ผู้จัดการโครงการ และทีมปฏิบัติการของ machine learning operations (MLOps)
AIAP Foundation มีเป้าหมายที่จะอุดช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานสำหรับทักษะ AI ด้วยหลักสูตรที่ “ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง” ที่ช่วยให้บุคคลที่มีทักษะการเขียนโปรแกรมสามารถยกระดับทักษะในด้านวิศวกรรม AI ได้ เควิน จึง หัวหน้า AIAP ของ AI Singapore กล่าว
หลักสูตรมีการจัดวางตามการสอน AIAP ของ AI Singapore และมุ่งเป้าไปที่บุคคลที่มีความรู้พื้นฐานด้าน Python หน่วยงานรัฐบาลกล่าว ซึ่งรวมถึงพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจ การสร้างขั้นตอน(pipeline) ของกระบวนการสร้างรูปแบบ Machine learning และการประยุกต์ใช้ทักษะทางเทคนิคกับโครงการ AI ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสังเคราะห์ส่วนบุคคลในโลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อจบหลักสูตร ผู้เข้าร่วมสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรม AIAP ระยะเวลา 9 เดือนได้ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมทักษะเชิงลึกและงานพัฒนาในโครงการ AI ในโลกแห่งความเป็นจริง
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ธนาคารกลางสิงคโปร์(Monetary Authority of Singapore-MAS) ประกาศจัดตั้งเครือข่ายการเงินและเทคโนโลยีระดับโลก Global Finance & Technology Network(GFTN) for Next Phase of FinTech Growth เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลาง FinTech ระดับโลก และยกระดับการเชื่อมต่อระดับโลกสำหรับนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในบริการทางการเงิน
การเติบโตของ FinTech ระยะแรกในสิงคโปร์มาจากการผลักดันการทดลอง รวมถึงการส่งเสริมความคิดริเริ่มที่สำคัญเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการเงิน รวมไปถึงการพัฒนากรอบการทดสอบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน การสร้างการเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดน การทดลองใช้สินทรัพย์ดิจิทัลและโทเค็น และการส่งเสริมการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของ MAS ในการพัฒนาสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินอัจฉริยะ(Smart Financial Centre) จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ Singapore FinTech Festival (SFF) ซึ่งกลายเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับชุมชน FinTech ทั่วโลกเพื่อร่วมมือกันในการเร่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านการเงิน
เพื่อสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมและยกระดับการเชื่อมโยงนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพในบริการทางการเงินต่อเนื่อง จะมีการจัดตั้ง Global Finance & Technology Network (GFTN) เพื่อเร่งการเติบโตของระบบนิเวศ FinTech ของสิงคโปร์ และขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันและเครือข่ายให้กว้างขึ้นกับชุมชน FinTech ทั่วโลก GFTN จะทำงานร่วมกับ MAS เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและการหารือด้านนโยบายในด้านการชำระเงิน การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น และ AI/ควอนตัม นอกจากนี้ GFTN จะสนับสนุนการดำเนินการของ MAS ในการพัฒนาและขยายระบบนิเวศ FinTech ที่แข็งขัน และขยาย SFF ให้เป็นงาน FinTech ระดับโลกชั้นนำ
นายราวี เมนอน ตัวแทนทางการทูตสิงคโปร์ด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและที่ปรึกษาอาวุโสประจำสำนักเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ(National Climate Change Secretariat)และอดีตกรรมการผู้จัดการของ MAS ( 2554-2566) จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร GFTN โดย GFTN จะการประกาศรายละเอียดหน้าที่ ยุทธศาสตร์ และการกำกับดูแลของ GFTN ในภายหลัง
นาย โสบแนนดู โมฮันที จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ GFTN ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 และจะลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย FinTech ของ MAS ในวันเดียวกัน นายโมฮันทีจะยังคงสนับสนุนการดำเนินการด้าน FinTech ของ MAS ต่อไปในฐานะที่ปรึกษา FinTech & Innovation Group ของ MAS
OCBC แบงก์แรกสิงคโปร์ใช้ Blockchain ในการกู้ยืมระหว่างวัน
OCBC ประกาศว่า ธนาคารเป็นธนาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ให้บริการสินเชื่อสถาบันระหว่างวันโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจากสภาพคล่องส่วนเกินผ่านธุรกรรมการซื้อหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน(Reverse Repos) ที่ดำเนินการบนแอปพลิเคชัน Digital Financing ของ J.P. Morgan ซึ่งขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์ม Onyx Digital AssetsOCBC เป็นคู่สัญญาภายนอกรายแรกที่ให้บริการธุรกรรม Reverse Repo บนแพลตฟอร์ม
ภายใต้ Digital Financing นี้ OCBC จะปล่อยเงินกู้แก่ J.P. Morgan ระหว่างวัน โดยรับหลักทรัพย์โทเค็นเป็นหลักประกัน ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน การแลกเปลี่ยนเงินสดและหลักทรัพย์จะเกิดขึ้นแทบจะในทันที ซึ่งเป็นการยกระดับที่สำคัญให้มากกว่าตลาดซื้อคืนแบบดั้งเดิม โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาภายในหนึ่งวันทำการ ในทางตรงกันข้าม การแลกเปลี่ยนเงินสดและหลักประกันมักใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันทำการในตลาดซื้อคืนแบบดั้งเดิม เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องทำด้วยตนเอง
มีรายงานว่า OCBC ปิดธุรกรรม Reverse Repo ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 โดยสัญญาครบกำหนดภายในไม่ถึง 120 นาที
เมื่อครบกำหนด เงินต้นได้ส่งคืนให้กับ OCBC พร้อมดอกเบี้ย และ OCBC ได้คืนหลักทรัพย์โทเค็นคืนให้กับ J.P. Morgan
นอกจากนี้ OCBC ยังใช้แพลตฟอร์มในการยืมเงินสดผ่านการซื้อคืนระหว่างวัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของธนาคารในการจัดการความต้องการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพผ่านวิธีการใหม่นี้
ทั้งธุรกรรม Reverse Repo และ Repo เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ธุรกรรมทั้งสองเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าแพลตฟอร์มจะรองรับธุรกรรมในสกุลเงินยูโรด้วย
นายเคนเนธ ไล่ หัวหน้าฝ่ายGlobal Markets ของ OCBC กล่าวว่า “การร่วมมือกับ Digital Financing ของ J.P. Morgan สำหรับการซื้อคืนระหว่างวัน ทำให้ OCBC มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการยืมและให้ยืมเงินสดระหว่างวัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่องของเราและช่วยให้สามารถจัดการกับสภาพคล่องส่วนเกินในแต่ละวันได้ ตลาดยิ่งมีการแข่งขันและความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นความสามารถในการปรับสภาพคล่องให้เหมาะสมในแต่ละวัน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจึงอาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้”
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2563 แอปพลิเคชัน Digital Financing ของ J.P. Morgan ได้ทำให้เกิดธุรกรรมซื้อคืนระหว่างวันมากกว่า 1,200 รายการ ซึ่งมีมูลค่าเกิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่อง J.P. Morgan คาดว่าจะมีการใช้การให้กู้ยืมและการกู้ยืมระหว่างวันเพิ่มมากขึ้น
มาเลเซียเตรียมเปิดสำนักงาน AI แห่งชาติ
นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม จะเปิดสำนักงาน AI แห่งชาติ (National AI Office-NAIO) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ จากการเปิดเผยของนายโกบินด์ ซิงห์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัล ต่อผู้สื่อข่าวหลังร่วมงาน GDS Data Center Supply Chain Ecosystem Summit ที่ยะโฮร์บารู เมื่อวันอาทิตย์ (27 ต.ค. )
นายโกบินด์กล่าวว่า สำนักงาน AI จะช่วยให้รัฐบาลออกนโยบายที่เหมาะสมในการพัฒนา AI ในมาเลเซีย อีกทั้งจะช่วยในการจัดทำร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับ AI
“สิ่งสำคัญคือเรากำลังเปิดตัว NAIO และหลังจากนั้นไม่นาน เราจะได้รับข้อมูลจากผู้เล่นในอุตสาหกรรม AI เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการในการขยาย AI ในมาเลเซีย” นายโกบินด์กล่าวและว่า “ในขณะที่เราก้าวไปสู่ AI เราต้องดูว่า AI จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และมีวิธีบริหารให้สมดุล
ก่อนหน้านี้นายโกบินด์ได้ตอบคำถามในสภาว่า NAIO ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ได้รับใบสมัครงานจำนวนมากอย่างล้นหลาม มากถึง 1,254 ใบสำหรับตำแหน่งอันดับต้นๆ โดยผู้สมัครมีความสนใจในตำแหน่งสำคัญๆ ของ NAIO เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้อำนวยการนโยบาย AI และผู้อำนวยการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม AI
“การจัดตั้งสำนักงานมีเป้าหมายเพื่อวางตำแหน่งมาเลเซีย ในฐานะผู้เล่นด้านปัญญาประดิษฐ์รายสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิทัศน์ระดับโลกที่กว้างขึ้น” นายโกบินด์กล่าวและว่า สำนักงานจะยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ของประเทศ โดยสนับสนุนการบูรณาการ AI เข้ากับกรอบงานของรัฐบาล อุตสาหกรรม และสังคม
“NAIO ยังเป็นผู้นำความคิดริเริ่มที่ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพการบริการสาธารณะ และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน”
นายโกบินด์ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงฯมีแผนจะเปิดสำนักงาน Malaysia Digital Economy Corporation (MDEC) ในรัฐยะโฮร์ในเดือนหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในรัฐ
โดยการเปิดสำนักงานแห่งที่สองของ MDEC นอกปริมณฑลกัวลาลัมเปอร์หรือ Klang Valley ต่อจากปีนังนั้น เป็นการเตรียมการเพื่อช่วยเหลือนักลงทุน ก่อนพิธีลงนามข้อตกลงเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้
“MDEC จะทำให้กระบวนการง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนที่แสดงความสนใจใน JS-SEZ ทำให้มาที่ยะโฮร์เพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น” เ
สำหรับการเตรียมการของยะโฮร์ในการเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ นายโกบินด์กล่าวว่า รัฐมีความพร้อมแล้วเมื่อพิจารณาการดำเนินการของรัฐบาลของรัฐในการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนแก่อุตสาหกรรม
ด้านมุขมนตรีแห่งรัฐยะโฮร์ ดาโต๊ะอนน์ ฮาฟิซ กาซี กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องตอบสนองความต้องการของนักลงทุน รวมถึงความสะดวกในการโยกย้าย การลงทุน ตลอดจนการจัดหาน้ำและพลังงาน
“สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการจัดหาบุคคลากรที่มีความสามารถในท้องถิ่น เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงของนักลงทุน”
“เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐสามารถจัดหาบุคลากรที่มีความสามารถได้ รัฐบาลได้จัดตั้งสภาพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงแห่งยะโฮร์ (Johor Talent Development Council (JTDC) ซึ่งจะเปิดตัวโดยรองนายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี ดร. อาหมัด ซาฮิด ฮามิดี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน”
เวียดนามประกาศยุทธศาสตร์บล็อกเชนมุ่งผู้นำในภูมิภาค
รองนายกรัฐมนตรี Ho Duc Phoc ได้ลงนามให้แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนจนถึงปี 2568 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2573 มีผลอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนเวียดนามให้กลายเป็นประเทศชั้นนำในภูมิภาคด้วยตำแหน่งระดับนานาชาติในด้านการวิจัย การปรับใช้ การประยุกต์ใช้ และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนเป้าหมายของยุทธศาสตร์ คือ เวียดนามต้องสามารถมีความเชี่ยวชาญและใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในทุกสาขาทางเศรษฐกิจและสังคม และบรรลุเป้าหมายในการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
ภายใต้ยุทธศาสตร์จะมีการวางรากฐานที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนภายในปี 2568
กิจกรรมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนจะได้รับการส่งเสริมที่ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ 3 แห่ง ขณะที่จะมีการสร้างและยกระดับศูนย์วิจัยและฝึกอบรมขึ้น 10 แห่งเพื่อรองรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะเดียวกัน ก็คาดหวังว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะถูกนำเข้าไปบรรจุในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนอาชีวศึกษา และศูนย์วิจัย
นอกจากนี้จะมีการสร้างศูนย์บล็อกเชน/โซนพิเศษ/ไซต์ทดสอบอย่างน้อยหนึ่งแห่ง เพื่อสร้างเครือข่ายบล็อกเชนระดับชาติ ในขณะที่ระบบนิเวศ “Blockchain+” น่าจะมีการพัฒนาผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน การธนาคาร การคมนาคมขนส่ง การดูแลสุขภาพ การศึกษาและการฝึกอบรม การค้า โลจิสติกส์ การจัดส่ง การผลิตภาคอุตสาหกรรม พลังงาน การท่องเที่ยว การเกษตร และการให้บริการสาธารณะ
ภายในปี 2573 จะมีการรวมและขยายโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนระดับชาติ เพื่อให้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะมีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้และการพัฒนาบล็อคเชนในเวียดนาม ซึ่งจะทำให้เวียดนามอยู่ในรายชื่อประเทศชั้นนำในภูมิภาคและโลกในด้านการวิจัย การประยุกต์ใช้ และการพัฒนาบล็อคเชน ภายในปี 2573 เวียดนามคาดว่าจะมีแบรนด์บล็อกเชนที่มีชื่อเสียง 20 แบรนด์ในแง่ของแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ และบริการบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน เวียดนามเตรียมจะมีศูนย์ทดสอบ/โซนเทคโนโลยีบล็อคเชนอย่างน้อย 3 แห่งในเมืองใหญ่ ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายบล็อคเชนระดับชาติ เวียดนามยังคาดว่าจะมีตัวแทนเข้าไปในสถาบันฝึกอบรมและวิจัยบล็อคเชน 10 อันดับแรกในเอเชีย
เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ได้เน้นย้ำภารกิจและโซลูชันต่างๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างและปรับปรุงกรอบทางกฎหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประยุกต์ใช้และการพัฒนาบล็อกเชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเวียดนามเพื่อรองรับวัตถุประสงค์หลายประการ และการออกแบบกลไกในการจัดการ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเวียดนาม
อีกทั้งจะมีการจัดตั้งโซนเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเปิดพื้นในการสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมบล็อกเชนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล
อินโดนีเซียดึงต่างชาติลงทุนหนุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ ได้ประกาศแผนการที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นในอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสจากนักลงทุนที่ต้องการโยกย้ายการดำเนินงานมาที่อินโดนีเซีย“นักลงทุนต่างชาติกำลังพิจารณาที่จะย้ายฐานไปยังอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์โลกในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของชาวอเมริกันที่เป็นผู้ซื้อ ทำให้นักลงทุนต้องหันไปหาทางเลือก ‘China plus one หรือ จีนบวกหนึ่ง’” นายแอร์ลังกากล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2567
นายแอร์ลังกาชี้ว่า อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสสูงในกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะดึงการลงทุนเหล่านี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศบังคลาเทศในเอเชียใต้ได้ผลักดันให้นักลงทุนมุ่งเน้นไปที่ทางเลือกอื่น เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม
“เราจำเป็นต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่น”
นายแอร์ลังกากล่าวว่า นักลงทุนที่มีศักยภาพประมาณ 15 รายสนใจที่จะสำรวจและยกระดับภาคส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นและสิ่งทอในอินโดนีเซีย และเน้นย้ำว่านักลงทุนรายใหม่เหล่านี้ต้องการที่การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันสำหรับอินโดนีเซียและเวียดนามในตลาดต่างๆ เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมของสหภาพยุโรป-อินโดนีเซีย (Indonesia-European Union Comprehensive Economic Partnership Agreement หรือ EU CEPA)
นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูภาคส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต อันเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งในประเทศและระดับโลก
“ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน เทคโนโลยีล่าสุด และผลผลิตที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญในภูมิทัศน์การแข่งขันนี้” นายแอร์ลังกากล่าว
อินโดนีเซียวางแผนนำเข้าข้าว 1 ล้านตันจากอินเดีย
อินโดนีเซียกำลังพิจารณานำเข้าข้าวมากถึง 1 ล้านตันจากอินเดียในปี 2568 เพื่อรักษาอุปทานภายในประเทศท่ามกลางการเก็บเกี่ยวที่ล่าช้ารัฐมนตรีประสานงานด้านอาหาร นายซุลกิฟลี ฮาซาน กล่าวหลังการประชุมร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 ว่าได้ตัดสินใจนำเข้าข้าว 1 ล้านตันจากอินเดียในปี 2568 เพื่อรักษาปริมาณในประเทศเนื่องจากความล่าช้าในฤดูเก็บเกี่ยว อันเป็นผลจากสภาพอากาศแห้งแล้งเป็นเวลานาน
นายฮาซัน กล่าวหลังการประชุมว่า “เรากำลังแข่งกับเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีเคยกล่าวไว้หลายครั้งว่าเราต้องการให้ประเทศของเราพึ่งตนเองในเรื่องอาหาร”
นายอารีฟ ประเสฐโย อาดี หัวหน้าสำนักงานอาหารแห่งชาติ(National Food Agency) กล่าวว่า “เราต้องการข้าวเพิ่มอีก 1 ล้านตันเพื่อให้ผ่านพ้นเดือนกุมภาพันธ์” โดยชี้ว่าผลผลิตระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์มักจะต่ำ ส่งผลให้การขาดแคลนรุนแรงขึ้น
นายอาดี อ้างข้อมูลจากสำนักงานสถิติว่า การผลิตข้าวของอินโดนีเซียในปี 2567 คาดว่าจะลดลง 2.43% จากปีที่แล้ว มาที่ 30.34 ล้านตัน เนื่องจากความล่าช้าในการปลูกและการเก็บเกี่ยวท่ามกลางสภาพอากาศแล้งที่ยาวนาน
ด้วยความต้องการข้าวจากประชากรอินโดนีเซีย 280 ล้านคนแต่ละปี อินโดนีเซียจึงหันไปหาแหล่งข้าวจากต่างประเทศเพื่อตอบสนอความต้องการ การนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเกินกว่า 3 ล้านตันต่อปี
อินโดนีเซียตั้งเป้านำเข้าข้าวมากถึง 3.6 ล้านตันในปีนี้ แต่รัฐบาลยังวางแผนที่จะพัฒนานาข้าวใหม่มากถึง 3 ล้านเฮคเตอร์ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพึ่งพาตนเองทางอาหารของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต
ขณะเดียวกันโอกาสในการค้าข้าวก็เพิ่มขึ้น จากการที่อินเดียได้ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกข้าวเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อจัดการกับการเก็บเกี่ยวที่ได้ผลผลิตมากกว่าปกติ อินเดียได้ยกเลิกราคาฐานสำหรับการจัดส่งข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติ และยกเว้นข้าวนึ่งและข้าวกล้องจากภาษีส่งออก ทำให้ข้าวอินเดียสามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดต่างประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้ Bulog ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างของรัฐของอินโดนีเซีย ได้ส่งสัญญาณถึงการขยายการจัดหา ในตอนแรก บูล็อกยื่นข้อเสนอซื้อข้าวจำนวน 340,000 ตัน โดยกำหนดว่าต้องมาจากไทย กัมพูชา เวียดนาม หรือปากีสถานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประกาศที่ส่งถึงผู้ค้าเมื่อวันอังคารระบุว่าสามารถเสนอข้าวจากอินเดียได้เช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอินโดนีเซียเปิดรับข้าวอินเดียในการประกวดราคาที่กำลังจะมีขึ้น
การผลิตข้าวของประเทศอินโดนีเซียลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากพืชผลเสียหายอันเนื่องมาจากศัตรูพืชและโรคภัยไข้เจ็บ และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญแล้ว ยังเป็นผลจากการลดลงของพื้นที่เกษตรกรรม
เวียดนามส่งออกมะพร้าวสดไปจีนผ่านด่านทางบกครั้งแรก
วันที่ 18 ตุลาคม 2567 การส่งออกมะพร้าวสดของเวียดนามทางบกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ได้ถึงจีนเรียบร้อยแล้วผ่านด่านชายแดนเหอโข่ว มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนหล่าวกาย ของจังหวัดหลาวกาย ในเวียดนามในวันที่ 15 ตุลาคม รถบรรทุกห้องเย็นได้ขนส่งมะพร้าวสดจำนวน 2,700 ผล น้ำหนักรวม 21.6 ตัน มูลค่าประมาณ 110,000 หยวน(15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ออกจากจังหวัดเบ๊นแจ (Ben Tre) ในภูมิภาคสามเหลี่ยมแม่น้ำโขง ของเวียดนาม
ในวันเดียวกันนั้นเอง มีการส่งมอบมะพร้าวสดอีกชุดหนึ่งไปยังตลาดใกล้เคียงผ่านทางประตูชายแดน โหย่วอี้กวาน ในเมืองผิงเซียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีน จากเบ๊นแจ เช่นกัน มีน้ำหนัก 22.4 ตัน มูลค่า 98,000 หยวนน
มะพร้าวสดของเวียดนามได้รับอนุญาตให้ส่งออกผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการไปยังประเทศจีนในเดือนสิงหาคม
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ด่านเหอโข่วได้ตรวจสอบและจัดการการผ่านพิธีการศุลกากร การนำเข้าผลไม้เวียดนามจำนวน 734,000 ตัน มูลค่า 8.11 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 26.9% และ 143.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ผลไม้อีก 4 ชนิดของเวียดนามได้รับใบอนุญาตให้เข้าประเทศจีนผ่านทางประตูชายแดนโหย่วอี้กวาน ได้แก่ ทุเรียน กล้วย แตงโม และมะพร้าว
การส่งออกมะพร้าวสดที่ประสบความสำเร็จของเวียดนามถือเป็นหลักฐานล่าสุดของความพยายามในการส่งเสริมการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพสูงไปยังประเทศจีน และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้แถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นจริง