ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ

ASEAN Roundup สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ

3 พฤศจิกายน 2024


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2567

  • สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ
  • OCBC แบงก์แรกสิงคโปร์ใช้ Blockchain ในการกู้ยืมระหว่างวัน
  • มาเลเซียเตรียมเปิดสำนักงาน AI แห่งชาติ
  • เวียดนามประกาศยุทธศาสตร์บล็อกเชนมุ่งผู้นำในภูมิภาค
  • อินโดนีเซียดึงต่างชาติลงทุนหนุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น
  • อินโดนีเซียวางแผนนำเข้าข้าว 1 ล้านตันจากอินเดีย
  • เวียดนามส่งออกมะพร้าวสดไปจีนผ่านด่านทางบกครั้งแรก

    สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ

    สิงคโปร์ กำลังผงาดขึ้นในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะในด้าน “Deep Tech” โดยล่าสุดได้ประกาศอัดฉีดเงินเพิ่ม เพื่อดึงนักลงทุนใน deep tech รวมไปถึงจัดตั้ง Global Finance & Technology Network

    Deep Tech (Deep Technology) หรือเทคโนโลยีขั้นสูง คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร ลอกเลียนแบบได้ยาก และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองเพราะผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมอย่างยาวนาน

  • สิงคโปร์อัดเงินเพิ่ม 332.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯดึงนักลงทุนด้าน deep tech

  • ที่มาภาพ: https://sharpsheets.io/blog/singapore-vc-venture-capital-firms/

    สิงคโปร์จะจัดสรรเงิน 440 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (332.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยคาดหวังว่าเงินทุนจะดึงดูดบริษัทร่วมลงทุน (enture capital-VC) ระดับโลกให้ลงทุนมากขึ้นในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงในสิงคโปร์ ที่มีศักยภาพในการขยายไปสู่ในระดับสากล

    นอกจากนี้ จะมีการเปิดตัว “แพลตฟอร์มแบบครบวงจร” one-stop platform ใหม่ รวมถึงสถานที่ทางกายภาพ เพื่อรวบรวมสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีระดับประเทศและระดับโลกมาไว้ในที่เดียวกัน โดยมีกำหนดเปิดตัวในไตรมาสหน้า และมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันระหว่างสตาร์ทอัพ องค์กร และพันธมิตรด้านนวัตกรรม จากแถลงการณ์ร่วมของ Enterprise Singapore (EnterpriseSG) และคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board-EDB)

    Enterprise Singapore เป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม มีนโยบายในการช่วยเหลือและสนับสนุนบริษัทสิงคโปร์ให้มีความสามารถขยายตัวไปสู่ตลาดโลกได้

    ทั้งสองหน่วยงานของรัฐกล่าวว่า ศูนย์แห่งใหม่นี้จะจัดสรรทรัพยากรและโปรแกรมเพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพสร้างฐานในสิงคโปร์ และขับเคลื่อนการสร้างขีดความสามารถเพื่อการเติบโตของธุรกิจ อีกทั้งยังจะได้รับโอกาสในการเข้าถึงตลาดและระดับนานาชาติ รวมถึงความช่วยเหลือสำหรับสตาร์ทอัพระดับโลกในการบูรณาการเข้ากับระบบนิเวศในประเทศ

    EnterpriseSG และ EDB จะบริหารเงินทุนก้อนใหม่มูลค่า 332.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Startup SG Equity ที่เปิดตัวควบคู่ไปกับแผนการวิจัย นวัตกรรม และองค์กร (Research, Innovation and Enterprise -RIE) 2025 มูลค่า 28 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (21.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

    จนถึงขณะนี้มีการลงทุนแล้วประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในสตาร์ทอัพมากกว่า 330 แห่งภายใต้โครงการ Startup SG Equity ซึ่งรวมถึงกองทุนภาคเอกชนที่มากกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

    เพื่อเร่งการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงลึกในระยะเริ่มต้นถึงช่วงเติบโตเร็ว โครงการจะขยายเพดานการลงทุนร่วมของรัฐบาลเป็น 12 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (9.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับสตาร์ทอัพแต่ละราย เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์

    สตาร์ทอัพที่มีสิทธิ์สามารถใช้เงินทุนสำหรับระยะแรกของการพัฒนา รวมถึงการตรวจสอบเทคโนโลยีและเชิงการค้า

    สิงคโปร์คาดว่าเงินทุนเพิ่มเติมจะดึงดูด แหล่งรวม VCs ที่โดดเด่นระดับโลกขนาดใหญ่ ให้ลงทุนในสตาร์ทอัพเทคโนโลยีขั้นสูงในตลาดเอเชียที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่จะขยายไปในต่างประเทศ

    “VC เหล่านี้นำความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีขั้นสูง ความรู้เชิงพาณิชย์ และเครือข่ายระดับโลกมาด้วย เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพนำเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการไปยังตลาดผู้ใช้” EnterpriseSG และ EDB กล่าว โดยชี้ไปที่การมุ่งเน้นไปที่ด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ คอมพิวเตอร์ควอนตัม และอวกาศ เทคโนโลยี

    “นวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอนาคตของสิงคโปร์ และเราจำเป็นต้องใช้แนวทางที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการพัฒนาโซลูชันการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวก” เอมิลี หลิว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมของ EnterpriseSG กล่าว “เราต้องทุ่มเทความพยายามเป็นสองเท่าในการขยาย core tech ที่แข็งแกร่งของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเชิงลึก ตลอดจนยกระดับระบบนิเวศสตาร์ทอัพของเราไปสู่ระบบนิเวศที่มุ่งเน้นระดับโลก และสามารถดึงดูดผู้ที่มีความสามารถที่สุดยอดในโลกได้”

    สิงคโปร์กำลังพิจารณาที่จะลงทุนพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถของตนเอง โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI)

    ในแถลงการณ์อีกฉบับหนึ่ง หน่วยงานรัฐบาล AI Singapore ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ พัฒนามาเพื่อเสริมทักษะวิศวกร AI ด้วย AI ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม และทักษะด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์

    AIAP Foundation พัฒนาขึ้นบนหลักการเรียนรู้ของโครงการฝึกงาน AI (AI Apprenticeship Programme -AIAP) ซึ่ง AI Singapore กล่าวว่าเริ่มต้นด้วยเฟส “ปลูกทักษะเรียนรู้ด้วยตนเอง” ซึ่งรวมถึงทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติจริง นำไปสู่การพัฒนาโครงการ AI ในระหว่างที่ผู้ฝึกหัดทำงานในโครงการ AI ในโลกแห่งความเป็นจริงตลอดวงจรชีวิตของสตาร์ทอัพ

    ทั้งนี้ พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับความท้าทายด้านลูกค้า การทำงานกับข้อมูลจริง เลือกและโมเดลฝึกอบรม AI และปรับใช้ ผู้ฝึกหัดจะได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้าน AI ผู้จัดการโครงการ และทีมปฏิบัติการของ machine learning operations (MLOps)

    AIAP Foundation มีเป้าหมายที่จะอุดช่องว่างระหว่างอุปสงค์และอุปทานสำหรับทักษะ AI ด้วยหลักสูตรที่ “ยืดหยุ่นและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง” ที่ช่วยให้บุคคลที่มีทักษะการเขียนโปรแกรมสามารถยกระดับทักษะในด้านวิศวกรรม AI ได้ เควิน จึง หัวหน้า AIAP ของ AI Singapore กล่าว

    หลักสูตรมีการจัดวางตามการสอน AIAP ของ AI Singapore และมุ่งเป้าไปที่บุคคลที่มีความรู้พื้นฐานด้าน Python หน่วยงานรัฐบาลกล่าว ซึ่งรวมถึงพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสำรวจ การสร้างขั้นตอน(pipeline) ของกระบวนการสร้างรูปแบบ Machine learning และการประยุกต์ใช้ทักษะทางเทคนิคกับโครงการ AI ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลสังเคราะห์ส่วนบุคคลในโลกแห่งความเป็นจริง

    เมื่อจบหลักสูตร ผู้เข้าร่วมสามารถสมัครเข้าร่วมโปรแกรม AIAP ระยะเวลา 9 เดือนได้ซึ่งครอบคลุมการฝึกอบรมทักษะเชิงลึกและงานพัฒนาในโครงการ AI ในโลกแห่งความเป็นจริง

  • MAS ประกาศ ตั้ง Global Finance & Technology Network

  • นายราวี เมนอน ประธานคณะกรรมการบริหาร GFTN ที่มาภาพ: https://www.straitstimes.com/business/mas-sets-up-new-not-for-profit-firm-as-it-seeks-to-extend-reach-to-global-fintech-sector
    เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ธนาคารกลางสิงคโปร์(Monetary Authority of Singapore-MAS) ประกาศจัดตั้งเครือข่ายการเงินและเทคโนโลยีระดับโลก Global Finance & Technology Network(GFTN) for Next Phase of FinTech Growth เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้สิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลาง FinTech ระดับโลก และยกระดับการเชื่อมต่อระดับโลกสำหรับนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในบริการทางการเงิน

    การเติบโตของ FinTech ระยะแรกในสิงคโปร์มาจากการผลักดันการทดลอง รวมถึงการส่งเสริมความคิดริเริ่มที่สำคัญเพื่อใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคการเงิน รวมไปถึงการพัฒนากรอบการทดสอบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมทางการเงิน การสร้างการเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดน การทดลองใช้สินทรัพย์ดิจิทัลและโทเค็น และการส่งเสริมการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของ MAS ในการพัฒนาสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินอัจฉริยะ(Smart Financial Centre) จุดเด่นสำคัญอยู่ที่ Singapore FinTech Festival (SFF) ซึ่งกลายเป็นเวทีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับชุมชน FinTech ทั่วโลกเพื่อร่วมมือกันในการเร่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านการเงิน

    เพื่อสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมและยกระดับการเชื่อมโยงนวัตกรรมที่ทรงประสิทธิภาพในบริการทางการเงินต่อเนื่อง จะมีการจัดตั้ง Global Finance & Technology Network (GFTN) เพื่อเร่งการเติบโตของระบบนิเวศ FinTech ของสิงคโปร์ และขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันและเครือข่ายให้กว้างขึ้นกับชุมชน FinTech ทั่วโลก GFTN จะทำงานร่วมกับ MAS เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและการหารือด้านนโยบายในด้านการชำระเงิน การแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น และ AI/ควอนตัม นอกจากนี้ GFTN จะสนับสนุนการดำเนินการของ MAS ในการพัฒนาและขยายระบบนิเวศ FinTech ที่แข็งขัน และขยาย SFF ให้เป็นงาน FinTech ระดับโลกชั้นนำ

    นายราวี เมนอน ตัวแทนทางการทูตสิงคโปร์ด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและที่ปรึกษาอาวุโสประจำสำนักเลขาธิการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ(National Climate Change Secretariat)และอดีตกรรมการผู้จัดการของ MAS ( 2554-2566) จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร GFTN โดย GFTN จะการประกาศรายละเอียดหน้าที่ ยุทธศาสตร์ และการกำกับดูแลของ GFTN ในภายหลัง

    นาย โสบแนนดู โมฮันที จะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ GFTN ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 และจะลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่าย FinTech ของ MAS ในวันเดียวกัน นายโมฮันทีจะยังคงสนับสนุนการดำเนินการด้าน FinTech ของ MAS ต่อไปในฐานะที่ปรึกษา FinTech & Innovation Group ของ MAS

    OCBC แบงก์แรกสิงคโปร์ใช้ Blockchain ในการกู้ยืมระหว่างวัน

    ที่มาภาพ: https://www.ocbc.com/group/media/release/index?category=alltopics
    OCBC ประกาศว่า ธนาคารเป็นธนาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ให้บริการสินเชื่อสถาบันระหว่างวันโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจากสภาพคล่องส่วนเกินผ่านธุรกรรมการซื้อหลักทรัพย์โดยมีสัญญาจะขายคืน(Reverse Repos) ที่ดำเนินการบนแอปพลิเคชัน Digital Financing ของ J.P. Morgan ซึ่งขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์ม Onyx Digital Assets

    OCBC เป็นคู่สัญญาภายนอกรายแรกที่ให้บริการธุรกรรม Reverse Repo บนแพลตฟอร์ม

    ภายใต้ Digital Financing นี้ OCBC จะปล่อยเงินกู้แก่ J.P. Morgan ระหว่างวัน โดยรับหลักทรัพย์โทเค็นเป็นหลักประกัน ด้วยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน การแลกเปลี่ยนเงินสดและหลักทรัพย์จะเกิดขึ้นแทบจะในทันที ซึ่งเป็นการยกระดับที่สำคัญให้มากกว่าตลาดซื้อคืนแบบดั้งเดิม โดยกระบวนการนี้ใช้เวลาภายในหนึ่งวันทำการ ในทางตรงกันข้าม การแลกเปลี่ยนเงินสดและหลักประกันมักใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันทำการในตลาดซื้อคืนแบบดั้งเดิม เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ต้องทำด้วยตนเอง

    มีรายงานว่า OCBC ปิดธุรกรรม Reverse Repo ครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 โดยสัญญาครบกำหนดภายในไม่ถึง 120 นาที
    เมื่อครบกำหนด เงินต้นได้ส่งคืนให้กับ OCBC พร้อมดอกเบี้ย และ OCBC ได้คืนหลักทรัพย์โทเค็นคืนให้กับ J.P. Morgan

    นอกจากนี้ OCBC ยังใช้แพลตฟอร์มในการยืมเงินสดผ่านการซื้อคืนระหว่างวัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของธนาคารในการจัดการความต้องการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพผ่านวิธีการใหม่นี้

    ทั้งธุรกรรม Reverse Repo และ Repo เสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ธุรกรรมทั้งสองเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าแพลตฟอร์มจะรองรับธุรกรรมในสกุลเงินยูโรด้วย

    นายเคนเนธ ไล่ หัวหน้าฝ่ายGlobal Markets ของ OCBC กล่าวว่า “การร่วมมือกับ Digital Financing ของ J.P. Morgan สำหรับการซื้อคืนระหว่างวัน ทำให้ OCBC มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการยืมและให้ยืมเงินสดระหว่างวัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่องของเราและช่วยให้สามารถจัดการกับสภาพคล่องส่วนเกินในแต่ละวันได้ ตลาดยิ่งมีการแข่งขันและความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นความสามารถในการปรับสภาพคล่องให้เหมาะสมในแต่ละวัน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดจึงอาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้”

    นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2563 แอปพลิเคชัน Digital Financing ของ J.P. Morgan ได้ทำให้เกิดธุรกรรมซื้อคืนระหว่างวันมากกว่า 1,200 รายการ ซึ่งมีมูลค่าเกิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่อง J.P. Morgan คาดว่าจะมีการใช้การให้กู้ยืมและการกู้ยืมระหว่างวันเพิ่มมากขึ้น

    มาเลเซียเตรียมเปิดสำนักงาน AI แห่งชาติ


    นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม จะเปิดสำนักงาน AI แห่งชาติ (National AI Office-NAIO) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ จากการเปิดเผยของนายโกบินด์ ซิงห์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัล ต่อผู้สื่อข่าวหลังร่วมงาน GDS Data Center Supply Chain Ecosystem Summit ที่ยะโฮร์บารู เมื่อวันอาทิตย์ (27 ต.ค. )

    นายโกบินด์กล่าวว่า สำนักงาน AI จะช่วยให้รัฐบาลออกนโยบายที่เหมาะสมในการพัฒนา AI ในมาเลเซีย อีกทั้งจะช่วยในการจัดทำร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับ AI

    “สิ่งสำคัญคือเรากำลังเปิดตัว NAIO และหลังจากนั้นไม่นาน เราจะได้รับข้อมูลจากผู้เล่นในอุตสาหกรรม AI เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการในการขยาย AI ในมาเลเซีย” นายโกบินด์กล่าวและว่า “ในขณะที่เราก้าวไปสู่ ​​AI เราต้องดูว่า AI จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และมีวิธีบริหารให้สมดุล

    ก่อนหน้านี้นายโกบินด์ได้ตอบคำถามในสภาว่า NAIO ที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้ได้รับใบสมัครงานจำนวนมากอย่างล้นหลาม มากถึง 1,254 ใบสำหรับตำแหน่งอันดับต้นๆ โดยผู้สมัครมีความสนใจในตำแหน่งสำคัญๆ ของ NAIO เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้อำนวยการนโยบาย AI และผู้อำนวยการแลกเปลี่ยนนวัตกรรม AI

    “การจัดตั้งสำนักงานมีเป้าหมายเพื่อวางตำแหน่งมาเลเซีย ในฐานะผู้เล่นด้านปัญญาประดิษฐ์รายสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิทัศน์ระดับโลกที่กว้างขึ้น” นายโกบินด์กล่าวและว่า สำนักงานจะยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ของประเทศ โดยสนับสนุนการบูรณาการ AI เข้ากับกรอบงานของรัฐบาล อุตสาหกรรม และสังคม

    “NAIO ยังเป็นผู้นำความคิดริเริ่มที่ใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพการบริการสาธารณะ และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน”

    นายโกบินด์ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงฯมีแผนจะเปิดสำนักงาน Malaysia Digital Economy Corporation (MDEC) ในรัฐยะโฮร์ในเดือนหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุนด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในรัฐ

    โดยการเปิดสำนักงานแห่งที่สองของ MDEC นอกปริมณฑลกัวลาลัมเปอร์หรือ Klang Valley ต่อจากปีนังนั้น เป็นการเตรียมการเพื่อช่วยเหลือนักลงทุน ก่อนพิธีลงนามข้อตกลงเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้

    “MDEC จะทำให้กระบวนการง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนที่แสดงความสนใจใน JS-SEZ ทำให้มาที่ยะโฮร์เพื่อเริ่มต้นธุรกิจได้ง่ายขึ้น” เ

    สำหรับการเตรียมการของยะโฮร์ในการเป็นศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ นายโกบินด์กล่าวว่า รัฐมีความพร้อมแล้วเมื่อพิจารณาการดำเนินการของรัฐบาลของรัฐในการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนแก่อุตสาหกรรม

    ด้านมุขมนตรีแห่งรัฐยะโฮร์ ดาโต๊ะอนน์ ฮาฟิซ กาซี กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐจะต้องตอบสนองความต้องการของนักลงทุน รวมถึงความสะดวกในการโยกย้าย การลงทุน ตลอดจนการจัดหาน้ำและพลังงาน

    “สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการจัดหาบุคคลากรที่มีความสามารถในท้องถิ่น เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงของนักลงทุน”

    “เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐสามารถจัดหาบุคลากรที่มีความสามารถได้ รัฐบาลได้จัดตั้งสภาพัฒนาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงแห่งยะโฮร์ (Johor Talent Development Council (JTDC) ซึ่งจะเปิดตัวโดยรองนายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี ดร. อาหมัด ซาฮิด ฮามิดี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน”

    เวียดนามประกาศยุทธศาสตร์บล็อกเชนมุ่งผู้นำในภูมิภาค

    นายโฮ ดึ๊ก ฟ็อก รองนายกรัฐมนตรี เวียดนาม ที่มาภาพ:https://www.vietnam.vn/en/chinh-thuc-ban-hanh-chien-luoc-blockchain-quoc-gia/
    รองนายกรัฐมนตรี Ho Duc Phoc ได้ลงนามให้แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้และพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนจนถึงปี 2568 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2573 มีผลอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนเวียดนามให้กลายเป็นประเทศชั้นนำในภูมิภาคด้วยตำแหน่งระดับนานาชาติในด้านการวิจัย การปรับใช้ การประยุกต์ใช้ และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชน

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์ คือ เวียดนามต้องสามารถมีความเชี่ยวชาญและใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในทุกสาขาทางเศรษฐกิจและสังคม และบรรลุเป้าหมายในการเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรือง

    ภายใต้ยุทธศาสตร์จะมีการวางรากฐานที่ครอบคลุมสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนภายในปี 2568

    กิจกรรมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนจะได้รับการส่งเสริมที่ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ 3 แห่ง ขณะที่จะมีการสร้างและยกระดับศูนย์วิจัยและฝึกอบรมขึ้น 10 แห่งเพื่อรองรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับเทคโนโลยีบล็อกเชน ในขณะเดียวกัน ก็คาดหวังว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะถูกนำเข้าไปบรรจุในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนอาชีวศึกษา และศูนย์วิจัย

    นอกจากนี้จะมีการสร้างศูนย์บล็อกเชน/โซนพิเศษ/ไซต์ทดสอบอย่างน้อยหนึ่งแห่ง เพื่อสร้างเครือข่ายบล็อกเชนระดับชาติ ในขณะที่ระบบนิเวศ “Blockchain+” น่าจะมีการพัฒนาผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การเงิน การธนาคาร การคมนาคมขนส่ง การดูแลสุขภาพ การศึกษาและการฝึกอบรม การค้า โลจิสติกส์ การจัดส่ง การผลิตภาคอุตสาหกรรม พลังงาน การท่องเที่ยว การเกษตร และการให้บริการสาธารณะ

    ภายในปี 2573 จะมีการรวมและขยายโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนระดับชาติ เพื่อให้บริการทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะมีการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้และการพัฒนาบล็อคเชนในเวียดนาม ซึ่งจะทำให้เวียดนามอยู่ในรายชื่อประเทศชั้นนำในภูมิภาคและโลกในด้านการวิจัย การประยุกต์ใช้ และการพัฒนาบล็อคเชน ภายในปี 2573 เวียดนามคาดว่าจะมีแบรนด์บล็อกเชนที่มีชื่อเสียง 20 แบรนด์ในแง่ของแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ และบริการบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค

    ในขณะเดียวกัน เวียดนามเตรียมจะมีศูนย์ทดสอบ/โซนเทคโนโลยีบล็อคเชนอย่างน้อย 3 แห่งในเมืองใหญ่ ๆ เพื่อสร้างเครือข่ายบล็อคเชนระดับชาติ เวียดนามยังคาดว่าจะมีตัวแทนเข้าไปในสถาบันฝึกอบรมและวิจัยบล็อคเชน 10 อันดับแรกในเอเชีย

    เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ได้เน้นย้ำภารกิจและโซลูชันต่างๆ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างและปรับปรุงกรอบทางกฎหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประยุกต์ใช้และการพัฒนาบล็อกเชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเวียดนามเพื่อรองรับวัตถุประสงค์หลายประการ และการออกแบบกลไกในการจัดการ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเวียดนาม

    อีกทั้งจะมีการจัดตั้งโซนเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเปิดพื้นในการสร้างระบบนิเวศสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมบล็อกเชนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล

    อินโดนีเซียดึงต่างชาติลงทุนหนุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น

    ที่มาภาพ: https://www.kompas.id/baca/english/2024/05/13/en-selamat-tinggal-era-padat-karya
    นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ ได้ประกาศแผนการที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นในอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสจากนักลงทุนที่ต้องการโยกย้ายการดำเนินงานมาที่อินโดนีเซีย

    “นักลงทุนต่างชาติกำลังพิจารณาที่จะย้ายฐานไปยังอินโดนีเซีย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์โลกในปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงนโยบายของชาวอเมริกันที่เป็นผู้ซื้อ ทำให้นักลงทุนต้องหันไปหาทางเลือก ‘China plus one หรือ จีนบวกหนึ่ง’” นายแอร์ลังกากล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2567

    นายแอร์ลังกาชี้ว่า อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสสูงในกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะดึงการลงทุนเหล่านี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศบังคลาเทศในเอเชียใต้ได้ผลักดันให้นักลงทุนมุ่งเน้นไปที่ทางเลือกอื่น เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม

    “เราจำเป็นต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้มั่น”

    นายแอร์ลังกากล่าวว่า นักลงทุนที่มีศักยภาพประมาณ 15 รายสนใจที่จะสำรวจและยกระดับภาคส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นและสิ่งทอในอินโดนีเซีย และเน้นย้ำว่านักลงทุนรายใหม่เหล่านี้ต้องการที่การปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันสำหรับอินโดนีเซียและเวียดนามในตลาดต่างๆ เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมของสหภาพยุโรป-อินโดนีเซีย (Indonesia-European Union Comprehensive Economic Partnership Agreement หรือ EU CEPA)

    นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฟื้นฟูภาคส่วนที่ใช้แรงงานเข้มข้นเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิต อันเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งในประเทศและระดับโลก

    “ประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน เทคโนโลยีล่าสุด และผลผลิตที่สูงขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญในภูมิทัศน์การแข่งขันนี้” นายแอร์ลังกากล่าว

    อินโดนีเซียวางแผนนำเข้าข้าว 1 ล้านตันจากอินเดีย

    ที่มาภาพ: https://eng.ruralvoice.in/international/indonesia-plans-to-import-1-million-tons-of-rice-from-india-as-harvest-delays.html
    อินโดนีเซียกำลังพิจารณานำเข้าข้าวมากถึง 1 ล้านตันจากอินเดียในปี 2568 เพื่อรักษาอุปทานภายในประเทศท่ามกลางการเก็บเกี่ยวที่ล่าช้า

    รัฐมนตรีประสานงานด้านอาหาร นายซุลกิฟลี ฮาซาน กล่าวหลังการประชุมร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเมื่อวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 ว่าได้ตัดสินใจนำเข้าข้าว 1 ล้านตันจากอินเดียในปี 2568 เพื่อรักษาปริมาณในประเทศเนื่องจากความล่าช้าในฤดูเก็บเกี่ยว อันเป็นผลจากสภาพอากาศแห้งแล้งเป็นเวลานาน

    นายฮาซัน กล่าวหลังการประชุมว่า “เรากำลังแข่งกับเวลาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีเคยกล่าวไว้หลายครั้งว่าเราต้องการให้ประเทศของเราพึ่งตนเองในเรื่องอาหาร”

    นายอารีฟ ประเสฐโย อาดี หัวหน้าสำนักงานอาหารแห่งชาติ(National Food Agency) กล่าวว่า “เราต้องการข้าวเพิ่มอีก 1 ล้านตันเพื่อให้ผ่านพ้นเดือนกุมภาพันธ์” โดยชี้ว่าผลผลิตระหว่างเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์มักจะต่ำ ส่งผลให้การขาดแคลนรุนแรงขึ้น

    นายอาดี อ้างข้อมูลจากสำนักงานสถิติว่า การผลิตข้าวของอินโดนีเซียในปี 2567 คาดว่าจะลดลง 2.43% จากปีที่แล้ว มาที่ 30.34 ล้านตัน เนื่องจากความล่าช้าในการปลูกและการเก็บเกี่ยวท่ามกลางสภาพอากาศแล้งที่ยาวนาน

    ด้วยความต้องการข้าวจากประชากรอินโดนีเซีย 280 ล้านคนแต่ละปี อินโดนีเซียจึงหันไปหาแหล่งข้าวจากต่างประเทศเพื่อตอบสนอความต้องการ การนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยเกินกว่า 3 ล้านตันต่อปี

    อินโดนีเซียตั้งเป้านำเข้าข้าวมากถึง 3.6 ล้านตันในปีนี้ แต่รัฐบาลยังวางแผนที่จะพัฒนานาข้าวใหม่มากถึง 3 ล้านเฮคเตอร์ในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพึ่งพาตนเองทางอาหารของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต

    ขณะเดียวกันโอกาสในการค้าข้าวก็เพิ่มขึ้น จากการที่อินเดียได้ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกข้าวเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อจัดการกับการเก็บเกี่ยวที่ได้ผลผลิตมากกว่าปกติ อินเดียได้ยกเลิกราคาฐานสำหรับการจัดส่งข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติ และยกเว้นข้าวนึ่งและข้าวกล้องจากภาษีส่งออก ทำให้ข้าวอินเดียสามารถแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดต่างประเทศ

    เมื่อเร็วๆ นี้ Bulog ซึ่งเป็นหน่วยงานจัดซื้อจัดจ้างของรัฐของอินโดนีเซีย ได้ส่งสัญญาณถึงการขยายการจัดหา ในตอนแรก บูล็อกยื่นข้อเสนอซื้อข้าวจำนวน 340,000 ตัน โดยกำหนดว่าต้องมาจากไทย กัมพูชา เวียดนาม หรือปากีสถานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ประกาศที่ส่งถึงผู้ค้าเมื่อวันอังคารระบุว่าสามารถเสนอข้าวจากอินเดียได้เช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอินโดนีเซียเปิดรับข้าวอินเดียในการประกวดราคาที่กำลังจะมีขึ้น

    การผลิตข้าวของประเทศอินโดนีเซียลดลงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากพืชผลเสียหายอันเนื่องมาจากศัตรูพืชและโรคภัยไข้เจ็บ และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงปรากฏการณ์เอลนีโญแล้ว ยังเป็นผลจากการลดลงของพื้นที่เกษตรกรรม

    เวียดนามส่งออกมะพร้าวสดไปจีนผ่านด่านทางบกครั้งแรก

    ด่านหล่าวกาย ของเวียดนามติดกับด่านเหอโข่วของจีน ที่มาภาพ:https://vietnaminsiders.com/lao-cai-hekou-international-border-gate-reopens/
    วันที่ 18 ตุลาคม 2567 การส่งออกมะพร้าวสดของเวียดนามทางบกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ได้ถึงจีนเรียบร้อยแล้วผ่านด่านชายแดนเหอโข่ว มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนหล่าวกาย ของจังหวัดหลาวกาย ในเวียดนาม

    ในวันที่ 15 ตุลาคม รถบรรทุกห้องเย็นได้ขนส่งมะพร้าวสดจำนวน 2,700 ผล น้ำหนักรวม 21.6 ตัน มูลค่าประมาณ 110,000 หยวน(15,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ออกจากจังหวัดเบ๊นแจ (Ben Tre) ในภูมิภาคสามเหลี่ยมแม่น้ำโขง ของเวียดนาม

    ในวันเดียวกันนั้นเอง มีการส่งมอบมะพร้าวสดอีกชุดหนึ่งไปยังตลาดใกล้เคียงผ่านทางประตูชายแดน โหย่วอี้กวาน ในเมืองผิงเซียง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีน จากเบ๊นแจ เช่นกัน มีน้ำหนัก 22.4 ตัน มูลค่า 98,000 หยวนน

    มะพร้าวสดของเวียดนามได้รับอนุญาตให้ส่งออกผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการไปยังประเทศจีนในเดือนสิงหาคม

    ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ด่านเหอโข่วได้ตรวจสอบและจัดการการผ่านพิธีการศุลกากร การนำเข้าผลไม้เวียดนามจำนวน 734,000 ตัน มูลค่า 8.11 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 26.9% และ 143.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามลำดับ

    ขณะเดียวกัน นับตั้งแต่ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2565 ผลไม้อีก 4 ชนิดของเวียดนามได้รับใบอนุญาตให้เข้าประเทศจีนผ่านทางประตูชายแดนโหย่วอี้กวาน ได้แก่ ทุเรียน กล้วย แตงโม และมะพร้าว

    การส่งออกมะพร้าวสดที่ประสบความสำเร็จของเวียดนามถือเป็นหลักฐานล่าสุดของความพยายามในการส่งเสริมการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพสูงไปยังประเทศจีน และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้แถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นจริง