ASEAN Roundup ประจำวันที่ 29 กันยายน-5 ตุลาคม 2567
สิงคโปร์ออกมาตรการใหม่จัดการกับการฟอกเงิน จับตาการซื้อสินค้ามูลค่าสูง

มาตรการล่าสุดมาจาก ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการร่วม(Inter-Ministerial Committee)หรือ IMC เพื่อเสริมสร้างกรอบการทำงานต่อต้านการฟอกเงินของสิงคโปร์ภายใต้แนวคิด ‘การป้องกันเชิงรุก การตรวจจับอย่างทันท่วงที และการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ Proactive Prevention, Timely Detection, Effective Enforcement’
อินดรานี ราชาห์ รัฐมนตรีคนที่สองของกระทรวงการคลังกล่าวในการแถลงข่าวว่า รายงานฉบับนี้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางทางการเงิน และส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังธุรกิจต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศว่าสิงคโปร์เป็นสถานที่ที่สามารถทำธุรกิจได้ แต่ในขณะเดียวกัน นี่คือสถานที่ที่จะไม่เป็นมิตรกับผู้ฟอกเงิน
รายงานที่ IMC จัดทำขึ้นเพื่อถอดบทเรียนกรณีการฟอกเงินครั้งใหญ่ในเดือนสิงหาคม 2566 และให้แน่ใจว่าระบบที่มีอยู่รับมือกับกลวิธีของอาชญากรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ โดยมุ่งเน้นไปที่ 5 ประเด็นสำคัญ
1) การป้องกันที่ดีขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้ฟอกเงินจากการใช้โครงสร้างองค์กรในทางที่ผิด
2) แนวทางที่สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงการควบคุมและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นกับบุคคลอื่นและหน่วยงานที่มีอำนาจในการป้องกันและชี้เป้าธุรกรรมที่น่าสงสัย
3) แนวทางที่ผู้เฝ้าระวังด่านแรก(gatekeepers)อื่นๆ ในระบบ เช่น ผู้ให้บริการองค์กร พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ และตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ และผู้ค้าอัญมณีและโลหะมีค่า สามารถป้องกันความเสี่ยงด้านการฟอกเงินได้ดีขึ้น รวมถึงกรอบการกำกับดูแลต่อผู้เล่นเหล่านี้ที่มีอยู่ต้องมากพอ
4) การรวมศูนย์และเสริมสร้างความสามารถในการติดตามและการรับรู้ทั่วทั้งหน่วยงานของรัฐให้ดีขึ้นเพื่อตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัย
5) การเสริมสร้างกลไกการบังคับใช้และขีดความสามารถเพื่อให้สามารถดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเด็ดขาดต่อผู้ฟอกเงิน รวมถึงการยึดทรัพยที่ได้มาโดยมิชอบ
ข้อเสนอ IMC ได้แก่ ต่อไปนี้:
การป้องกันเชิงรุก เป็นการต่อยอดจากกรอบการต่อต้านฟอกเงิน ที่มีอยู่เพื่อป้องกันอาชญากรจากการฟอกเงินที่ผิดกฎหมายในเชิงรุก โดย 1)การเสริมสร้างมาตรฐานการต่อต้านการฟอกเงินสำหรับ gatekeeper 2) สนับสนุน gatekepper ในการเสริมขีดความสามารถในการต่อต้านการฟอกเงิน 3)การมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่ไม่มีกำกับดูแลเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงของการฟอกเงิน และ 4)การเสริมสร้างกลไกในการยับยั้งการใช้บริษัทในทางที่ผิด
ภายใต้กรอบนี้ gatekeepersครอบคลุมสถาบันการเงิน พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์ ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ และนักกฎหมาย ซึ่งจะมีการชี้แจงข้อกำหนดสำหรับพวกเขาในการดำเนินการตรวจสอบสถานะลูกค้าและการติดตามลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
Gatekeepers เหล่านี้จะต้องระบุบุคคลที่ลูกค้าอาจทำหน้าที่แทน และใช้มาตรการที่เหมาะสมในการตรวจสอบตัวตนเหล่านี้ เนื่องจากลูกค้าอาจไม่ใช่เจ้าของผลประโยชน์สูงสุดของธุรกรรมหรือสินทรัพย์ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่อาจเกิดการละเมิดได้
อย่างไรก็ตามการชี้แจงสำหรับทั้งภาคกฎหมายและภาคอสังหาริมทรัพย์จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นางอินดรานีกล่าว
สำหรับภาคกฎหมาย อาจจะมีการแก้ไขข้อบังคับพระราชบัญญัติวิชาชีพทางกฎหมาย( Legal Profession Act ) ตลอดจนผ่านการมีส่วนร่วมของสมาคมกฎหมายกับทนายความและข้อเสนอแนะนำ
ภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวทางและข้อบังคับที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ต้องมีการดำเนินการเพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงพันธกรณีต่อการต่อต้านการฟอกเงินและการดำเนินการ
ตัวอย่างเช่น พนักงานขายอสังหาริมทรัพย์อาจต้องเข้าฝึกอบรมในการระบุตัวบ่งชี้ธุรกรรมที่น่าสงสัย และอาจจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการจัดทำรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัย
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หน่วยงานกำกับดูแลซึ่งก็คือหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาล จะให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติด้านการต่อต้านการฟอกเงิน เพื่อชี้แจงความคาดหวังในการกำกับดูแลและจัดส่งเสริม gatekeeper ให้ดียิ่งขึ้น และสุดท้ายจะมีส่วนร่วมกับ gatekeeper และการการฝึกอบรมของพวกเขาด้วย
สำหรับภาคส่วนที่ไม่ได้มีการควบคุม โดยเฉพาะผู้ค้าสินค้าที่มีมูลค่าสูงซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีการกำกับดูแล เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงในการฟอกเงิน
ตัวอย่างหนึ่งคือผู้ค้ารถยนต์ โดยรัฐบาลตั้งใจที่จะการชี้แจงต่อกลุ่มนี้ในสัปดาห์หน้า นางสาวซุน ซวีหลิง รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย กล่าว และว่า รัฐบาลจะจับตาดูบางภาคส่วนและติดต่อตัวแทนจำหน่าย หากเห็นว่าสินค้าที่มีมูลค่าสูงบางประเภทมีอาชญากรฟอกเงินซื้อสินค้า และยังจะแจ้งให้ตัวแทนจำหน่ายทราบถึงความเสี่ยงที่ควรระวัง และวิธียื่นรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยอย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจที่จะเกาะติดสินค้าที่มีมูลค่าสูงบางรายการ เนื่องจากมูลค่าของสินค้าจะเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา นางอินดรานีกล่าว
รัฐบาลจะเสริมสร้างกลไกในการยับยั้งการใช้บริษัทในทางที่ผิด ตัวอย่างเช่น หน่วยงานการบัญชีและกำกับดูแลองค์กร (ACRA) จะเพิ่มความพยายามในการปิดบริษัทที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวดำเนินงาน ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการทำธุรกรรมทางธุรกิจ หรือ shell companies
การตรวจจับอย่างทันท่วงที ที่ช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธุรกิจและgatekeeper สามารถตรวจจับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายได้ทันท่วงที ผ่านทาง 1)เสริมสร้างการรับรู้และการแบ่งปันข้อมูลภายในรัฐบาล 2) ครั้งที่สอง เพิ่มช่องทางในการแบ่งปันข้อมูลระหว่างและกับผู้เฝ้าประตู
สิ่งที่จะดำเนินการ คือ การสร้างช่องทางการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เช่นเดียวกับการพัฒนาอินเทอร์เฟซ (Interface) การแบ่งปันข้อมูลทั้งภาครัฐใหม่ ที่เรียกว่าNational AML Verification Interface for Government Agencies Threat Evaluation (Navigate) ซึ่งอินเทอร์เฟซใหม่จะช่วยให้หน่วยงานของรัฐทราบถึงความเสี่ยงในการฟอกเงินได้อย่างทันท่วงทีและครอบคลุม
กองกำลังตำรวจสิงคโปร์ จะเป็นผู้นำในการพัฒนา Navigate และด้วยอินเทอร์เฟซนี้ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานกำกับดูแลภาคส่วน และหน่วยงานอื่น ๆ สามารถตรวจสอบฐานข้อมูลของกันและกันและประเมินหน่วยงานสำหรับความเสี่ยงในการฟอกเงิน
คณะกรรมการจะจัดตั้งคณะทำงานระหว่างหน่วยงานเพื่อดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล กระบวนการแบ่งปันข้อมูล และความสามารถที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย และแข็งแกร่งต่อภัยคุกคามการฟอกเงินที่เกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ คณะกรรมการยังเสนอแนะให้ปรับช่องทางในการแบ่งปันข้อมูลระหว่างและกับ gatekeepers ภาคเอกชนให้ลึกขึ้น
ภาครัฐและเอกชนมีความร่วมมือที่เสริมสร้างความสามารถในการตรวจจับอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์ม Collaborative Sharing of Money Laundering/Terrorism Financing Information and Cases (Cosmic) ซึ่งได้รับการพัฒนาร่วมกันโดย Monetary Authority of Singapore (MAS) และธนาคารรายใหญ่ 6 แห่ง เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าที่อาจจะก่ออาชญากรรมทางการเงิน
MAS วางแผนที่จะขยาย Cosmic เป็นระยะๆ หลังจากช่วงสองปีแรก เพื่อให้ครอบคลุมสถาบันการเงินและพื้นที่ที่มุ่งเน้นมากขึ้น ในขณะเดียวกัน หน่วยงานที่ควบคุมดูแลการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ (Accounting and Corporate Regulatory Authority:ACRA) จะทำเครื่องหมายบริษัทในสมุดทะเบียนที่ไม่มีการดำเนินงาน เช่น การไม่ยื่นแบบแสดงรายการผลตอบแทนรายปี ซึ่งจะช่วยแจ้งเตือน gatekeeper ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและสนับสนุนพวกเขาในการเก็บข้อมูลความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ จะไม่ถูกตัดออกจากทะเบียน ในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเพียงหนึ่งครั้ง
ACRA จะยังคงปรับปรุงกรอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ได้รับประโยชน์จากบริษัทต่างๆ ต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ได้มีการปรับปรุงภายใต้กฎหมายที่ผ่านในเดือนกรกฎาคม ซึ่งยกระดับความถูกต้องของข้อมูลในทะเบียนได้
ด้านการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ดำเนินการบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพต่ออาชญากรที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย โดย1)
การเสริมสร้างกลไกทางกฎหมายสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อติดตามและดำเนินคดีกับความผิดของการฟอกเงินได้ดียิ่งขึ้น 2)
ทบทวนกรอบการลงโทษอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่ากรอบเหล่านั้นยังคงเหมาะสมและได้ผล 3) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการประสานงานระหว่างหน่วยงานเพื่อให้สามารถดำเนินการกับกิจกรรมฟอกเงินที่ผิดกฎหมายได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมาได้มีการผ่านพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและเรื่องอื่นๆ ในเดือนสิงหาคม 2567 ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีจัดการกับทรัพย์สินที่ถูกยึดด้วย หลังจากที่ปรับบทลงโทษให้แข็งขึ้นภายใต้ Corporate Service Providers Act ที่ผ่านในเดือนกรกฎาคม
หน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ เช่น Council for Estate Agencies, Urban Redevelopment Authority และกระทรวงกฎหมาย จะชี้แจงหรือปรับปรุงกรอบการลงโทษการฟอกเงินสำหรับ gatekeeper ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ คณะทำงานร่วมการวิเคราะห์การรายงานธุรกรรมที่น่าสงสัยของรัฐบาล(Inter-Agency Suspicious Transaction Reporting Analytics )จะเปลี่ยนไปเป็นเครือข่ายความร่วมมือและความร่วมมือการต่อต้านการฟอกเงิน(AML Case Coordination and Collaboration Network) เพื่อนำหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับการฟอกเงินเข้ามารวมกัน
ปัจจุบัน มีเพียงหน่วยงานกำกับดูแลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายบางส่วนเท่านั้นที่อยู่ภายใต้คณะทำงาน ซึ่งประสานงานการดำเนินการกับคดีฟอกเงินที่มีลำดับความสำคัญสูง เครือข่ายใหม่จะมีสมาชิกที่กว้างขึ้นและมีระดับการกำกับดูแลที่สูงขึ้น
อินโดนีเซียไม่ออกใบอนุญาตให้ Temu หวั่นกระทบ MSME

“เรายังคงไม่อนุญาตให้พวกเขา (ดำเนินการ)” นายบูดี อารี กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2567
นายบูดี อารี กล่าวว่า โมเดลธุรกิจที่พลิกโฉมของ Temu เป็นอันตรายต่อธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดกลาง (MSME) เนื่องจากอาจตัดการเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทานได้
“ผลกระทบต่อ MSMEs นั้นอันตรายเกินไป” นายบูดี อารี กล่าว “รูปแบบธุรกิจนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและส่งผลกระทบต่อ MSME ของเราโดยตรง และการ(จำหน่าย) โดยตรงจากโรงงานสู่ผู้บริโภคจะเป็นอย่างไร”
รัฐมนตรีกล่าวว่า เขาได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้านายซัลกีฟลิ ฮาซาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสหกรณ์และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นายเตเตน มาสดูกิ ที่จะไม่อนุญาตให้ดำเนินการจากที่ยื่นขอมา
ก่อนหน้านี้ นายเทมมี สัตยา เพอร์มานา รักษาการรองหัวหน้าหน่วยงาน SMEs ของกระทรวงสหกรณ์และ SMEs ได้แสดงท่าทีคัดค้านการเข้าสู่ตลาดภายในประเทศของอินโดนีเซียของแอปพลิเคชัน Temu
“ผมได้ตรวจสอบคำขอและข้อเสนอแล้ว เห็นได้ชัดว่า Temu มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมตลาด” นายเทมมีกล่าวระหว่างแถลงข่าวในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันพฤหัสบดี
Temu เป็นแพลตฟอร์มการซื้อขายข้ามพรมแดนจากประเทศจีนที่ใช้ระบบขายตรงจากโรงงานสู่ผู้บริโภค หรือที่เรียกว่าโรงงานถึงผู้บริโภค (F2C) แตกต่างจากแอปพลิเคชันอีคอมเมิร์ซอื่น ๆ Temu ไม่มีผู้ขาย ผู้ค้าปลีก หรือผู้ส่งสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นโมเดลธุรกิจ F2C นี้จึงเชื่อว่าเป็นอันตรายต่อ MSMEs ในอินโดนีเซีย MSMEs พบว่า เป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะแข่งขันกับราคาตลาดที่ต่ำมากของสินค้านำเข้าที่ขายในแอปใหม่
นายเทมมีอธิบายว่า มีโมเดลธุรกิจที่คล้ายกันอยู่หลายโมเดลอยู่แล้ว และเชื่อว่าแอปพลิเคชันอย่าง Temu มีศักยภาพที่จะทำให้ไม่เพียงแต่ MSME เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ยังรวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ เช่น โรงงานด้วย
“เราเพียงแค่ต้องระบุซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม รวมเข้ากับแอปพลิเคชัน (แบบเดียวกับ Temu) และอำนวยความสะดวกในการซื้อโดยตรง ค่าจัดส่งต่ำมาก มีโมเดลดังกล่าวมากมายให้เลือก” นายเทมมีกล่าว
อินโดนีเซียขยายสิทธิประโยชน์ภาษีลดผลกระทบจาก Global Minimum Tax

อินโดนีดซีย ซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งใน 140 ประเทศที่ตกลงในข้อตกลงสำคัญปี 2554 ที่อนุญาตให้รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มให้ถึงอัตรา 15% จากกำไรที่บริษัทบันทึกไว้ในประเทศที่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดการแข่งขันด้านภาษีระหว่างประเทศ
“เราจะขยายเวลายกเว้นภาษีออกไป…เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดชะงัก(ด้านการลงทุน)” เฟบริโอ คาคาริบู หัวหน้าหน่วยงานนโยบายการคลังของกระทรวงการคลังกล่าวกับผู้สื่อข่าว
ภายใต้หลักเกณฑ์การยกเว้นภาษีที่ใช้บังคับอยู่ บริษัทที่มีการลงทุนอย่างน้อย 500 พันล้านรูเปียะฮ์ (32.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในอินโดนีเซียอาจได้รับภาษีเงินได้นิติบุคคล 0% นานสูงสุด 20 ปีจากอัตราปกติที่ 22%
อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก 15% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในปีหน้าในอินโดนีเซีย บริษัทต่างๆ จะต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ 15% ขณะที่รัฐบาลสามารถให้ส่วนลดภาษีได้เพียง 7% เท่านั้น
เพื่อเป็นการชดเชยภาษีภาษี 15% ที่เหลือที่บริษัทต่างๆ ต้องจ่ายเมื่ออัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลกมีผลบังคับใช้ เฟบริโอกล่าวว่า รัฐบาลกำลังพิจารณานโยบายประเภทอื่น รวมถึงมาตรการจูงใจทางภาษีอื่นๆ แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้
“เพราะเราไม่ต้องการให้สิทธิ์การเก็บภาษีของเราถูกยึดไปโดยประเทศต้นทางของนักลงทุน”
นโยบายการยกเว้นภาษีของอินโดนีเซียเสนอให้กับนักลงทุนที่ยินดีลงทุนในอุตสาหกรรมบุกเบิก เช่น โลหะพื้นฐานขั้นต้นน้ำ การกลั่นน้ำมันและก๊าซ และเคมีภัณฑ์
รัฐบาลลาวขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรับมือค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ภายใต้กฎระเบียบใหม่ที่ประกาศเมื่อวันที่ 27 กันยายน นายจ้างในภาคเอกชน รวมถึงภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และบริการ ตลอดจนภาคครัวเรือน จะต้องจ่ายค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน 2.5 ล้านกีบ (114 ดอลลาร์สหรัฐฯ) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
การค่าแรงที่ปรับขึ้นนี้ใช้กับพนักงานทุกคนที่มีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไม่รวมค่าล่วงเวลา การจ่ายสวัสดิการ และผลตอบแทนอื่น ๆ
นอกจากนี้ จะมีการจัดสรรเงินยังชีพจำนวน 900,000 กีบ (ประมาณ 41 ดอลลาร์สหรัฐ) ให้กับคนงานไร้ฝีมือที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
นายจ้างที่จ่ายค่าแรงต่ำกว่าค่าจ้างใหม่ในปัจจุบันจะต้องปรับเงินเดือนให้เหมาะสม ขณะที่นายจ้างที่จ่ายค่าจ้างถึงหรือเกินค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว ควรรักษามาตรฐานการจ่ายค่าจ้างไว้
ก่อนหน้านี้ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 1.6 ล้านกีบต่อเดือน (ประมาณ 75 ดอลลาร์สหรัฐ) อย่างไรก็ตาม ด้วยค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงเห็นว่าจำเป็นต้องสนับสนุนคนงานทั่วประเทศต่อไป
รัฐบาลกำลังพิจารณาหาแนวทางแก้ไขเพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่สูง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า กระทรวงฯกำลังดำเนินการตามข้อเสนอเพื่อแก้ไขโครงสร้างเงินเดือน โดยมีแผนจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 2 ล้านถึง 2.2 ล้านกีบในต้นปี 2568
การขึ้นค่าจ้างและเบี้ยยังชีพเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในวงกว้าง ในการช่วยให้คนงานรับมือกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่เกิดจากค่าครองชีพและเงินเฟ้อที่สูง
อัตราเงินเฟ้อในลาวยังคงเป็นข้อกังวลที่ต้องจัดการเร่งด่วน แม้จะชะลอตัวลงเล็กน้อยเป็น 21.7% ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาจาก 24.3% ในเดือนสิงหาคม ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสถิติลาว
อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเป็นเลขสองหลักในเดือนพฤษภาคม 2565 โดยแตะระดับสูงสุดที่ 41.26% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566
รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงที่จะลดอัตราเงินเฟ้อให้เหลือเพียงเลขหลักเดียวภายในสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรีได้รายงานต่อรัฐสภาว่าไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้
รายงานที่นำเสนอในการประชุมสามัญครั้งล่าสุดของรัฐสภาชี้ให้เห็นว่า ความยากลำบากทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการศึกษา อัตราการออกจากโรงเรียนกลางคันสูงถึงระดับที่น่าตกใจ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของแรงงานในปีต่อๆ ไป
ในขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อที่สูงและการอ่อนค่าของเงินกีบหมายความว่าคนงานได้รับค่าจ้างที่แท้จริงน้อยลง ซึ่งบั่นทอนความสามารถในการใช้จ่าย และเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า เป็นแรงกดดันให้หลายคนต้องออกไปหางานทำในประเทศอื่น ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนแรงงานในประเทศที่เลวร้ายลง
กัมพูชาอนุมัติ 23 โครงการเพื่อความมั่นคงพลังงาน

เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน การประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต เป็นประธาน ได้อนุมัติโครงการลงทุนใหม่ 23 โครงการในภาคพลังงานในช่วงปี 2567-2572 โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงานอย่างต่อเนื่องของประเท
โครงการพัฒนาพลังงาน 23 โครงการ ประกอบด้วย โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 12 โครงการ โครงการพลังงานลม 6 โครงการ โครงการชีวมวลพลังงานแสงอาทิตย์รวม 1 โครงการ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ (LNG) 1 โครงการ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ 1 โครงการ และโรงเก็บพลังงาน 2 แห่ง โดยรวมแล้ว 21 โครงการเป็นโรงไฟฟ้า โดยมีกำลังการผลิตรวม 3,950 เมกะวัตต์ ขณะที่โครงการกักเก็บขนาดใหญ่ 2 โครงการจะมีกำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์
การลงทุนรวมของโครงการทั้งหมดมีมูลค่าประมาณ 5.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โครงการนี้จะมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของกัมพูชา โดยจะเป็นหลักในการจ่ายไฟที่เชื่อถือได้และราคาไม่แพงให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศ ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ
โครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของกัมพูชา โดยลดการพึ่งพาการนำเข้าและส่งเสริมแหล่งพลังงานสะอาดภายในประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม พลังงานน้ำ และชีวมวล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของกัมพูชาในการบรรลุเป้าหมายพลังงานสะอาด 70% ภายในปี 2573 ขณะเดียวกันก็มีส่วนสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของกัมพูชา และความมุ่งมั่นในการลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวคาดว่าจะสร้างงานนับหมื่นตำแหน่งงาน โดยเฉพาะในจังหวัดพระตะบอง โพธิสัตว์ กัมปงชนัง รัตนคีรี มณฑลคีรี สีหนุวิลล์ กัมปงจาม และไพรแวก โดยจัดให้มีการฝึกอบรมนอกสถานที่และการพัฒนาทักษะที่ทันสมัยสำหรับ แรงงานกัมพูชา
รัฐยังจะได้รับประโยชน์จากรายได้ภาษีที่เกิดจากโครงการลงทุนทั้ง 23 โครงการ ซึ่งรวมถึงภาษีเงินได้ ภาษีก่อนการจัดสรร ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีจากการจ่ายเงินปันผลในระหว่างระยะการดำเนินงาน
เวียดนามส่งออกข้าวโต 23.5% ในช่วง 9 เดือนแรก

จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ราคาส่งออกข้าวเฉลี่ยอยู่ที่ 624 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้น 13.1%
เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลอินเดียยกเลิกการห้ามส่งออกข้าวขาวที่ไม่ใช่บาสมาติ โดยยกเลิกการระงับการขายในต่างประเทศที่สั่งห้ามมานานกว่าหนึ่งปี
นาย Pฟุง ดึ๊ก เตียน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท กล่าวว่า ด้วยระบบนิเวศที่มีโครงสร้างดีในห่วงโซ่มูลค่าข้าวที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับตลาด เวียดนามจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากการตัดสินใจของอินเดีย
ผู้ส่งออกข้าวของเวียดนามกล่าวว่า การตัดสินใจของอินเดียจะกดดันราคาข้าวในตลาดให้ลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวเวียดนามไม่น่าจะลดลงต่ำกว่า 500 ดอลลาร์ต่อตัน เนื่องจากอุปทานในประเทศมีจำกัด
เมื่อเร็วๆ นี้ เวียดนามชนะการประมูลในการจัดหาข้าวเกือบ 60,000 ตันให้กับอินโดนีเซีย ในการประกวดราคาข้าวเมื่อเดือนกันยายน ด้วยราคาชนะรางวัลที่ 548 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ลดลง 32 ดอลลาร์สหรัฐฯจากราคาเดิม แม้ราคาประมูลลดลง แต่ความต้องการจากตลาดสำคัญๆ เช่น ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ก็ยังคงสูงอยู่ กลุ่มธุรกิจกล่าวว่า ข้าวเวียดนามยังคงรักษาตำแหน่งทางการแข่งขันในตลาดโลกได้
นาย ดิ่งห์ หง็อก เติ่ม รองผู้อำนวยการทั่วไปของบริษัทส่งออก Co May กล่าวว่า ราคาข้าว ST25 ไม่น่าจะลดลงและอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนอุปทานทั่วโลก
เวียดนามนำเข้าข้าวปี 2567 คาดแตะระดับ 1 พันล้านดอลล์

เวียดนามใช้เงิน 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการนำเข้าข้าวในเดือนมกราคม-สิงหาคม เทียบกับ 860 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายรวมของปีที่แล้ว
ชาวนาเร่งปลูกข้าวราคาสูงซึ่งไม่เหมาะกับการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวและแผ่นแป้งเวียดนาม ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้ต้องใช้ข้าวนำเข้าและยอมรับว่าตลาดนำเข้าคึกคักไปด้วยสินค้าที่หลากหลาย
ธุรกิจหลายแห่งนำเข้าข้าวเพื่อการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ จากการเปิดเผยของนายเหงียน ลอง ผู้นำเข้าข้าวจากอินเดียในนครโฮจิมินห์
โดยชี้ว่าราคาข้าวหัก 5 เปอร์เซ็นต์ของเวียดนามบางครั้งสูงถึงเกือบ 580 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน และราคาส่งออกแซงหน้าไทยและปากีสถานถึง 40 ดอลลาร์ต่อตัน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ราคานำเข้าข้าวอยู่ระหว่าง 480 ถึง 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งราคาที่ห่างกันมากทำให้บริษัทที่ผลิตบะหมี่ เค้ก และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่สามารถใช้ข้าวในประเทศ
นางเหงียน ทิ แองห์ ผู้ผลิตบะหมี่ในจังหวัดกว๋าง หงาย ทางตอนกลางของเวียดนาม กล่าวว่า เธอต้องการข้าว 5 ตันเพื่อผลิตบะหมี่สด 1 ตันต่อวัน
ราคาข้าวในประเทศพุ่งขึ้นเป็น 17,000 ด่อง (0.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อกิโลกรัม จาก 12,000 ด่อง (0.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ขณะที่ราคาก๋วยเตี๋ยวยังเท่าเดิม
เหงียน ทิ แองห์ ได้เปลี่ยนมาใช้ข้าวนำเข้า ซึ่งมีราคา 10,000-12,000 ด่องเวียดนาม (0.4-0.5 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อกิโลกรัม โดยขนส่งจากนครโฮจิมินห์
เจ้าของโรงงานผลิตบะหมี่แห้งในจังหวัด บิ่ญดิ่ญ ทางตอนใต้ของเวียดนามเปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้มีการนำข้าวที่กลับเข้ามา 40%
ผลผลิตข้าวของเวียดนามมีมากพอที่จะรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เก็บเป็นปริมาณการสำรองของชาติ และเพื่อการส่งออก เวียดนามส่งออกข้าวประมาณ 6-6.5 ตันต่อปี จากข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า
P.C.T. เจ้าของโรงสีข้าวในจังหวัด อาน ซาง ทางตอนใต้กล่าวว่า เวียดนามเริ่มนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นในปี 2562 โดยส่วนใหญ่มาจากอินเดีย เมียนมา ปากีสถาน และกัมพูชา ซึ่งช่วยไม่ให้ราคาข้าวเวียดนามพุ่งสูงขึ้น
ผู้นำกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทกล่าวว่า เวียดนามซื้อข้าวมากกว่า 1 ล้านตันต่อปีจากกัมพูชา อินเดีย และตลาดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผลกระทบต่อการผลิตในประเทศ เนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน กระทรวงฯระบุว่า ภายในปี 2573 เวียดนามจะผลิตข้าวได้ 43 ล้านตันต่อปี โดยปัจจุบันมีพื้นที่นาข้าว 7 ล้านเฮกตาร์
เวียดนามใช้ข้าวเปลือกจำนวน 29.5 ล้านตันในการรักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ การผลิตอาหารสัตว์ และสำรอง ข้าวเปลือกที่เหลืออีก 13.5 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับข้าวสาร 7-8 ล้านตัน มีไว้สำหรับการส่งออก
ราคาส่งออกข้าวของเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง จากข้อมูลของสมาคมอาหารเวียดนาม ปัจจุบัน ข้าวหัก 100 เปอร์เซ็นต์มีราคาที่ 452 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ข้าวหัก 5 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 563 ดอลลาร์ต่อตัน และข้าวหัก 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 533 ดอลลาร์ต่อตัน
กรมศุลกากรเวียดนามรายงานว่า เวียดนามส่งออกข้าว 6.15 ล้านตันในเดือนมกราคม-สิงหาคม สร้างรายได้กว่า 3.85 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.8% ในแง่ปริมาณ และเพิ่มขึ้น 27% ในแง่มูลค่า
นายเหงียน วัน ทันห์ สมาชิกของสมาคมอาหารเวียดนาม ตั้งข้อสังเกตว่า ความต้องการข้าวราคาประหยัดในประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่พื้นที่เพาะปลูกข้าวลดลง อันเนื่องจากการเปลี่ยนไปเลี้ยงกุ้งในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงบางแห่ง และกล่าวต่อว่า การนำเข้าข้าวต้นทุนต่ำช่วยให้บริษัทแปรรูปในท้องถิ่นสามารถรักษาผลกำไรได้โดยไม่กระทบต่อการผลิตข้าวในประเทศ ขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาเสถียรภาพราคาส่งออกข้าวของเวียดนาม
Oracle ลงทุน 6.5 พันล้านดอลล์ด้านคลาวด์ในมาเลเซีย

ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรวมถึง Microsoft, Nvidia, Google ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ AlphabetGoogle และ ByteDance ของจีนได้ประกาศการลงทุนทางดิจิทัลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในมาเลเซียตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในบริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูล(data centres) ขับเคลื่อนการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับแรงหนุนจากความต้องการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เพิ่มขึ้น
Cloud region คือ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ผู้ให้บริการคลาวด์ตั้ง Data Center หลายแห่งไว้ เพื่อให้บริการคลาวด์แก่ลูกค้าในภูมิภาคนั้น
การร่วมทุนของ Oracle เป็นหนึ่งในการลงทุนด้านเทคโนโลยีเดียวที่ใหญ่ที่สุดจนถึงตอนนี้ โดยแซงหน้าการใช้จ่ายที่วางแผนไว้ 6.2 พันล้านดอลลาร์ของ Amazon เพื่อเปิดธุรกิจคลาวด์ใหม่ของ AWS ตามที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว
Public cloud region ที่วางแผนไว้จะช่วยให้องค์กรในมาเลเซียยกระดับแอปพลิเคชันให้ทันสมัย ย้ายปริมาณงานไปยังคลาวด์ และสร้างนวัตกรรมด้วยข้อมูล การวิเคราะห์ และ AI บริษัทออราเคิล กล่าวในแถลงการณ์
นอกจากนี้ยังจะเปิดให้ลูกค้าของบริษัทในมาเลเซีย ซึ่งรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการเงิน และบริษัทสายการบินและการบริการ สามารถใช้บริการคลาวด์ที่อยู่ในประเทศ แทนที่จะใช้บริการภายนอก Garrett Ilg รองประธานบริหารของออราเคิลประจำญี่ปุ่นและเอเชียแปซิฟิก กล่าว
Cloud region ในมาเลเซียจะเป็น cloud region แห่งที่สามของออราเคิลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากศูนย์ที่มีอยู่สองแห่งในสิงคโปร์ ปัจจุบันมี publi cloud region จำนวน 50 แห่งใน 24 ประเทศ จากข้อมูลบนเว็บไซต์
เมื่อเดือนที่แล้วออราเคิลได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ในปีบัญชี 2569 และคาดว่าจะมีรายได้ทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ในปีบัญชี 2572 ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการบริการคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น
บริษัทยังต้องการที่จะขยายธุรกิจต่อไปทั่วเอเชีย ด้วยศูนย์ข้อมูลและโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่วางแผนไว้มากขึ้น “จากญี่ปุ่นไปจนถึงนิวซีแลนด์… ไปจนถึงอินเดีย” Ilg กล่าว
Chris Chelliah รองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีและกลยุทธ์ลูกค้าของออราเคิลในญี่ปุ่นและเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า มาเลเซียเป็นศักยภาพในการเติบโตเพิ่มขึ้นและโอกาสทางการตลาดให้กับบริษัท โดยเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันการพัฒนา AI และ data centre ที่ขยายตัวมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในปีที่ผ่านมา Microsoft ได้ประกาศการลงทุนด้านบริการคลาวด์มูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ในอินโดนีเซีย ขณะที่ Amazon ได้ประกาศแผนการลงทุน 9 พันล้านดอลลาร์ในสิงคโปร์ และ 5 พันล้านดอลลาร์ในประเทศไทย
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Google ได้เริ่มก่อสร้าง data centre มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนที่กล่าวว่าจะมีส่วนช่วยเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573