ThaiPublica > เกาะกระแส > รายงาน UN เผยแบงก์ไทยเป็นผู้ให้บริการทางการเงินระหว่างประเทศหลักแก่กองทัพเมียนมาจัดซื้ออาวุธ

รายงาน UN เผยแบงก์ไทยเป็นผู้ให้บริการทางการเงินระหว่างประเทศหลักแก่กองทัพเมียนมาจัดซื้ออาวุธ

27 มิถุนายน 2024


ที่มาภาพ:https://www.ohchr.org/en/press-releases/2022/09/un-report-calls-urgent-action-halt-access-revenue-and-arms-supplies-myanmar

รายงานฉบับใหม่ ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเมียนมา ระบุว่ามีธนาคาร 16 แห่งใน 7 ประเทศที่ดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารของรัฐบาลทหารในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยที่ธนาคารไทยกลายเป็นผู้ให้บริการทางการเงินระหว่างประเทศหลักแก่กองทัพเมียนมาในการจัดซื้ออาวุธ

นอกจากนี้ มีธนาคาร 25 แห่งยังให้บริการธนาคารตัวแทนแก่ธนาคารของรัฐของเมียนมาภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร

รายงาน Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the Military Junta in Myanmar ตรวจสอบการจัดซื้ออาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้อง ของรัฐบาลทหารของสภาบริหารแห่งรัฐ( State Administration Council:SAC) เมียนมา บทบาทของธนาคารระหว่างประเทศในการค้าขายที่อันตรายถึงชีวิตนี้ และสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อจำกัดการเข้าถึงอาวุธและเงินทุนทางการทหารของ SAC

รายงานระบุว่า เป็นเวลากว่าสามปีหลังจากการรัฐประหาร กองกำลังผิดกฎหมาย ยังคงโจมตีพลเรือนเมียนมาอย่างเป็นระบบโดยใช้อาวุธสงครามอันทรงพลังที่ได้รับจากต่างประเทศ นับตั้งแต่การยึดอำนาจมีพลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 5,000 ราย มีผู้พลัดถิ่น 3 ล้านคน และนักโทษการเมืองมากกว่า 20,000 คน

SAC พึ่งพาทรัพยากรหลักสองอย่างจากต่างประเทศเพื่อการคงอยู่และการโจมตีชาวเมียนมา นั่นก็คือ อาวุธและเงิน

รายงานระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งในด้านปริมาณและแหล่งที่มาของอาวุธ เทคโนโลยีสองทาง อุปกรณ์การผลิต และวัตถุดิบที่ SAC สามารถจัดหาได้จากต่างประเทศ ปริมาณอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่จัดซื้อโดยใช้ระบบการเงินระหว่างประเทศลดลงหนึ่งในสาม จาก 377 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2565 (เมษายน 2565 – มีนาคม 2566) เหลือ 253 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2566 (เมษายน 2566 – มีนาคม 2567)

SAC ได้เดินหน้าหาโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรและมาตรการอื่น ๆ ที่ดำเนินการโดยประชาคมระหว่างประเทศ โดยได้เปลี่ยนแหล่งที่มาของอาวุธและยุทโธปกรณ์ ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของมาตรการคว่ำบาตร ย้ายสถาบันการเงิน และใช้ประโยชน์จากการขาดเจตจำนงทางการเมืองของประเทศสมาชิก(สหประชาชาติ)ในการประสานงานและบังคับใช้การดำเนินการ

สถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ SAC มีช่องทางในการคงอยู่และการโจมตีพลเรือน ผู้รายงานพิเศษได้ตรวจสอบเอกสารลับที่ระบุว่าสถาบันการเงินต่างประเทศให้บริการธนาคารตัวแทนแก่ธนาคารของรัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร และยังคงดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารโดยกระทรวงกลาโหมของ SAC

การพึ่งพาสถาบันการเงินที่แสดงให้เห็นว่ามีความเต็มใจในการทำธุรกิจกับธนาคารที่ควบคุมโดย SAC และการเปลี่ยนไปใช้ธนาคารในเมียนมาที่ไม่ถูกคว่ำบาตรระหว่างประเทศ SAC จึงยังคงเข้าถึงบริการทางการเงินที่ต้องการเพื่อละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา อย่างเป็นระบบ รวมถึงการโจมตีทางอากาศต่อลที่เป็นเป้าหมาย บริการเหล่านี้ช่วยให้ SAC ซื้ออาวุธและวัสดุอื่นๆ ที่กองทัพใช้ และส่งรายได้จากต่างประเทศกลับประเทศ รวมถึงจากการทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของเมียนมา

SAC ได้หันมาใช้บริการธนาคาร Myanmar Economic Bank(MEB) แทนธนาคารรัฐ MFTB และ MICB ที่ถูกมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ

รายงานก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่า “The Billion Dollar Death Trade” ของแอนดรูว์ เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า SAC ยังสามารถทำให้อาวุธและเงินไหลมาจากแหล่งนอกประเทศเมียนมาได้ โดยการเปลี่ยนการจัดซื้อจัดจ้างจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง

รัฐบาลสิงคโปร์ตอบสนองด้วยความตื่นตระหนกต่อข้อค้นพบของรายงานที่ว่า บริษัทในสิงคโปร์ได้กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบอาวุธที่ใหญ่เป็นอันดับสามของรัฐบาลทหาร สิงคโปร์ได้ระบุนโยบายที่ชัดเจนในการต่อต้านการถ่ายโอนอาวุธไปยังเมียนมา ซึ่งเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ผ่านอย่างท่วมท้นในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งเป็น 5 เดือนหลังจากการรัฐประหาร รายงานของผู้รายงานพิเศษระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ทราบถึงการถ่ายโอนเหล่านี้ด้วยซ้ำ

ที่มาภาพ:https://www.ohchr.org/sites/default/files/documents/hrbodies/hrcouncil/sessions-regular/session56/a-hrc-56-crp-7.pdf

หลังจากการสอบสวนของรัฐบาลต่อข้อค้นพบของรายงานฉบับนี้ การส่งอาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องไปยังเมียนมาจากบริษัทจดทะเบียนในสิงคโปร์ลดลงเกือบ 90% ในปีงบประมาณ 2565 ธนาคารในสิงคโปร์ที่อำนวยความสะดวกมากกว่า 70% ของการจัดซื้อของรัฐบาลเผด็จการทหารที่ผ่านระบบธนาคารอย่างเป็นทางการในปีงบประมาณ 2565 กลับลดลงเหลือต่ำกว่า 20% ภายในปีงบประมาณ 2566 โดยการซื้อส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2566

จำนวนบริษัทในสิงคโปร์ที่ส่งอาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงกลาโหมลดลงจาก 81 แห่งในปีงบประมาณ 2565 เหลือเพียง 6 แห่งในปีงบประมาณ 2566

โดยไม่มีใครขัดขวาง SAC มองไปที่เขตปกครองอื่นๆ เพื่อจัดหาอาวุธและเสบียงสำหรับกองทัพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องมองไกล ต่างจากสิงคโปร์ รัฐบาลไทยไม่มีจุดยืนทางนโยบายสาธารณะที่ชัดเจนในการต่อต้านการส่งอาวุธไปยังเมียนมา

รายงานจึงพบ “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” ในบทบาทของสองประเทศในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ในฐานะแหล่งอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางการทหาร

ขณะที่การส่งออกอาวุธและวัสดุที่เกี่ยวข้องจากบริษัทที่จดทะเบียนในสิงคโปร์โดยใช้ระบบธนาคารอย่างเป็นทางการลดลงจากเกือบ 120 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2565 เหลือเพียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2566 แต่การส่งออกจากบริษัทที่จดทะเบียนในไทยก็เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า จากเพียง 60 ล้านเหรียญสหรัฐ มีมูลค่าเกือบ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ

เช่นเดียวกับในกรณีของสิงคโปร์ ผู้รายงานพิเศษไม่พบหลักฐานที่แสดงว่ารัฐบาลไทยเกี่ยวข้อง หรือทราบถึงการจัดส่งอาวุธเหล่านี้ หากรัฐบาลไทยตอบสนองต่อข้อมูลนี้เหมือนกับที่รัฐบาลสิงคโปร์ทำเมื่อปีก่อน ความสามารถของ SAC ในการโจมตีชาวเมียนมาก็จะลดลงอย่างมาก

นอกจากนี้ การจัดซื้อของ SAC จำนวนมากก่อนหน้านี้จากหน่วยงานในสิงคโปร์ รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 และ Mi-35 ที่ใช้ในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือน ขณะนี้มีแหล่งที่มาจากประเทศไทย

ที่มาภาพ: https://www.ohchr.org/sites/default/files/documents/hrbodies/hrcouncil/sessions-regular/session56/a-hrc-56-crp-7.pdf

การส่งออกยุทโธปกรณ์ทางทหารจากสหพันธรัฐรัสเซียและจีนก็ลดลงเช่นกัน

ธนาคารไทย รวมถึงธนาคารไทยพาณิชย์ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนี้ การจัดซื้อจัดจ้างทางทหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนใหญ่มาจากการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นผ่านธนาคารไทยพาณิชย์

แม้ธนาคารไทยพาณิชย์จะอำนวยความสะดวกมากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารของเมียนมาในปีงบประมาณ 2565 แต่ตัวเลขดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปีงบประมาณ 2566

ตรงกันข้ามกับธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทยมีปริมาณการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารที่ผ่านกระบวนการธนาคารลดลงอย่างมากจากปีงบประมาณ 2565 ถึงปีงบประมาณ 2566 ในปีงบประมาณ 2565 มีการจ่ายเงินจัดซื้อจัดจ้างทางทหารมูลค่ากว่า 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านธนาคารกสิกรไทย ในปีงบประมาณ 2566 ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือน้อยกว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะคว่ำบาตร MFTB และ MICB

จากการติดต่อกับผู้รายงานพิเศษ ธนาคารกสิกรไทยยืนยันว่าได้ยุติความสัมพันธ์กับธนาคารทั้งสองแห่งแล้วภายหลังการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร

รายงาน Banking on the Death Trade: How Banks and Governments Enable the Military Junta in Myanmar ยังระบุชื่อธนาคารไทยรายอื่นนอกเหนือจากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ดำเนินการผ่านสาขาที่ไทยและสิงคโปร์ และธนาคารกสิกรไทยที่ผ่านสาขาในไทยอยู่ใน 16 ธนาคารด้วยได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ โดยผ่านสาขาที่ประเทศไทย ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ ผ่านสาขาที่ไทยและธนาคารตัวแทนที่อินเดีย และธนาคารกรุงไทยผ่านสาขาที่ไทย

“ตัวอย่างของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลที่มีเจตจำนงทางการเมืองที่มากพอสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการปิดการค้าที่มีผลต่อชีวิตในเมียนมา” แอนดรูว์เน้นย้ำ

“ประเทศไทยมีโอกาสที่จะปฏิบัติตามตัวอย่างที่มีพลังนี้ด้วยการดำเนินการที่จะทำลายขีดความสามารถของรัฐบาลทหารในการยังคงโจมตีที่เพิ่มมากขึ้นต่อเป้าหมายพลเรือน ผมขอเรียกร้องให้ดำเนินการ” แอนดรูว์กล่าว

แม้ว่าสถาบันการเงินมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้รัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมาสามารถซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์อื่นๆ ทางการทหารได้ แต่สถาบันการเงินเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบค่อนข้างน้อย ผู้รายงานพิเศษได้ติดต่อกับสถาบันการเงินทั่วโลกมากกว่า 100 แห่งที่อาจมีความสัมพันธ์ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งกับธนาคารของรัฐแห่งหนึ่งของเมียนมา โดยเฉพาะ MFTB MICB หรือ MEB ในช่วงยึดอำนาจ

ในจำนวนนั้น 16 รายเอื้อในการซื้ออาวุธ เทคโนโลยีที่ใช้ได้สองทาง อุปกรณ์การผลิต และวัตถุดิบโดยหน่วยงานที่จัดซื้อสินค้าในนามของกระทรวงกลาโหมของ SAC และ 25 รายได้ให้ธนาคารของรัฐของเมียนมาเปิดบัญชี nostro (บัญชีธนาคารที่รับฝากสกุลเงินต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและธุรกรรมการค้า) นับตั้งแต่ SAC เข้าควบคุมธนาคารภายหลังรัฐประหาร

ในการติดต่อกับสถาบันการเงิน ผู้รายงานพิเศษได้สอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับธนาคารของรัฐของเมียนมา ตลอดจนนโยบายและแนวปฏิบัติในปัจจุบันเกี่ยวกับลูกค้าและธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเมียนมา ซึ่ง 36 รายตอบกลับ รวมถึงธนาคาร 8 แห่งที่อำนวยความสะดวกในการขายอุปกรณ์ทางทหารให้กับ SAC ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้ตอบแบบสอบถามทุกคนอ้างว่าพวกเขาได้ดำเนินการตรวจสอบสถานะ(due diligence)อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินธุรกิจของพวกเขาไม่ได้อำนวยความสะดวกในการละเมิดสิทธิมนุษยชน

แม้จะมีการกล่าวอ้างเหล่านี้ แต่ธนาคารอย่างน้อย 16 แห่งก็ดำเนินธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออาวุธ เทคโนโลยีแบบใช้สองทาง อุปกรณ์ และวัตถุดิบในนามของกระทรวงกลาโหมของ SAC สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหารทั้งหมดยกเว้น 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐจาก 630 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ได้รับการตรวจสอบในรายงานนี้ การชำระเงินเกิดขึ้นจากธนาคารของรัฐเมียนมาภายใต้การควบคุมของ SAC

ไทยพาณิชย์แจงไม่มีส่วน

วันที่ 27 มิถุนายน ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ชี้แจงกรณีธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวโยงกับประเทศเมียนมาผ่านเว็บไซต์ธนาคารว่า

ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอเรียนชี้แจงกรณีธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ให้บริการธุรกรรมระหว่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าไทยที่ต้องการชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค และบริการ ไปยังประเทศเมียนมา โดยมีแนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย และให้ความสำคัญกับการตรวจสอบทางด้านธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างเคร่งครัด

จากกรณีธุรกรรมที่เกี่ยวโยงกับประเทศเมียนมาตามที่ปรากฏในรายงานสื่อนั้น ธนาคารได้ทำการตรวจสอบภายในแล้วพบว่า เป็นจำนวนธุรกรรมของลูกค้าองค์กรเพื่อการชำระค่าอุปโภคบริโภค และพลังงานซึ่งเป็นปกติธุระของธุรกิจ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการค้าอาวุธตามที่ปรากฏเป็นข่าว และเป็นมูลค่าธุรกรรมปกติ ซึ่งมิได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธนาคารมีการทำ Due Diligence ตรวจสอบความถูกต้อง และรายงานการทำธุรกรรมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนการทำธุรกรรมทุกรายการ

ธนาคารขอยืนยันแนวทางการดำเนินงานตามกฎหมายป้องกันการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและเป็นไปโดยหลักธรรมาภิบาล ด้วยความโปร่งใสบนพื้นฐานของความยั่งยืน เพื่อส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม