ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯยังไม่หารือ ‘พีระพันธุ์’ ปม ‘กฤษฎา’ ลาออก – มติ ครม.ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท เริ่ม ก.ย.นี้

นายกฯยังไม่หารือ ‘พีระพันธุ์’ ปม ‘กฤษฎา’ ลาออก – มติ ครม.ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท เริ่ม ก.ย.นี้

14 พฤษภาคม 2024


เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 ณ อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายก ฯยังไม่หารือ ‘พีระพันธุ์’ ปม ‘กฤษฎา’ ลาออก
  • เห็น จม.ลาออกแล้ว ระบุ รมว.คลังไม่ให้เกียรติ
  • เล็งจัดทัวร์นกขมิ้นลงพื้นที่โคราชปลาย มิ.ย.นี้
  • ประเดิมจัดรายการ ‘นายกฯ พบ ปชช.’ ปลาย พ.ค.นี้
  • ตัดน้ำ – ไฟ – สื่อสาร แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามพรมแดน
  • เร่งรัดกระบวนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวน
  • มติ ครม.ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศ เริ่ม ก.ย.-ต.ค.นี้
  • ปลดล็อกข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน สปก.
  • ให้ ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง 3,255 ล้าน
  • อนุมัติ MOU ด้านเกษตร ‘ไทย – ซาอุดีอาระเบีย’
  • ให้ EEC Visa ต่างชาติสูงสุด 10 ปี เก็บภาษีเงินได้คงที่ 17%
  • เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ณ อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น นายเศรษฐา มอบหมายให้นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ

    ยังไม่หารือ ‘พีระพันธุ์’ ปม ‘กฤษฎา’ ลาออก

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยื่นหนังสือชี้แจงการลาออกจากตำแหน่ง และในวันนี้ได้พูดคุยกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือไม่ โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ยังไม่มีการพูดคุยครับ”

    เห็น จม.ลาออกแล้ว ระบุ รมว.คลังไม่ให้เกียรติ

    ถามต่อว่า นายกฯ ได้เห็นรายละเอียดของจดหมายลาออก ซึ่งระบุว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ให้เกียรติกันในการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ครับ เห็นแล้วครับ”

    ถามต่อว่า มีโอกาสในการพูดคุย หรือ ทำความเข้าใจกับนายกฤษฎา หรือ ไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ผมเชื่อว่าผมรู้จักท่านมานานแล้ว คงมีโอกาสได้เจอกัน และเราก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน ผมเชื่อว่าเป็นการเข้าใจผิดในเรื่องของการแบ่งงานมากกว่า ยังมีเรื่องอีกเยอะที่ยังสามารถให้ท่านช่วยเหลือได้ แต่เมื่อท่านตัดสินใจไปแล้วก็ตามนั้น”

    มั่นใจทุเรียนไทยสู้เวียดนามได้

    เมื่อถามถึงประเด็นทุเรียนเวียดนามที่ส่งไปประเทศจีนแย่งตลาดทุเรียนไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นการแข่งขันเสรี ทุก ๆ ประเทศที่เป็นปลายทาง อย่างในเคสจีน เขาก็มีความต้องการอยากได้สินค้าทุเรียน ดังนั้นเรื่องของรสชาติ คุณภาพ ก็มีความสำคัญ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องแข่งขันและพัฒนา ไม่ว่าสายพันธุ์ การตรวจเช็คสภาพ คุณภาพของทุเรียน การขนส่งที่มีประสิทธิภาพเพื่อไปถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็ว ก็มั่นใจในศักยภาพของทุเรียนไทย”

    เล็งจัดทัวร์นกขมิ้นลงพื้นที่โคราชปลาย มิ.ย.นี้

    ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนี้จะมีการลงพื้นที่ลักษณะทัวร์นกขมิ้นอีกหรือไม่ โดย นายเศรษฐา ตอบว่า “ผมเชื่อว่าเป็นหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ที่เราต้องไม่นั่งอยู่บนแค่สำนักงานอย่างเดียว การที่เราต้องลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ได้เห็นแววตา เห็นถึงปัญหาจริง ๆ ได้มีการสอบถามจริง ๆ โดยไม่ผ่านหลายคน ผมเชื่อว่ามันจะทำให้เราได้เข้าใจถึงปัญหาที่มันถ่องแท้ขึ้น ได้มีการพูดคุยกันได้อย่างดีขึ้น ผมเชื่อว่า ถ้าเกิดมีเวลา…ไม่ใช่ถ้าเกิดมีเวลา เชื่อว่ายังไงก็เป็นเรื่องที่เราต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องต่อไป”

    เมื่อถามว่าทัวร์ครั้งหน้ากำหนดวันแล้วหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า ยังไม่ได้กำหนด แต่คาดว่าการลงพื้นที่ครั้งถัดไปจะไปที่จังหวัดนครราชสีมา และคาดว่าในปลายเดือนมิถุนายน หรือต้นเดือนกรกฎาคม 2567

    ประเดิมจัดรายการ ‘นายกฯ พบ ปชช.’ ปลาย พ.ค.นี้

    นายเศรษฐา ยังเผยถึงความคืบหน้าการจัดรายการนายกฯ พบประชาชน ว่า “เห็นทีมงานกำลังเช็คอยู่ พอดีต้องเดินทางไปต่างประเทศคืนวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 กลับมา ก็ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม แต่อยู่อีก 3 ถึง 4 วัน ก็ต้องไปเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกงอีก คิดว่าต้นเดือนหน้าจะได้ แต่อาจจะพยายามฟิตให้ได้ประมาณปลายเดือนพฤษภาคมนี้สักหน เพราะเดินทางกลับจากต่างประเทศพอดี น่าจะมีเรื่องมาเล่าได้”

    ตัดน้ำ – ไฟ – สื่อสารข้ามพรมแดน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

    ด้านนายชัย รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่องปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมไซเบอร์ และอาชญากรรมจากการผลิต และลักลอบค้ายาเสพติดที่ตั้งฐานอยู่บริเวณชายแดน และใช้ทรัพยากรของไทย ทั้งไฟฟ้าและการสื่อสารในการทำความผิดและหลอกลวงคนไทย ว่า นายกฯ ขอให้หน่วยงานของรัฐ เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค ระงับการให้บริการข้ามพรมแดน และขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประสานขอความร่วมมือ กับ กสทช. และผู้ประกอบการด้านสื่อสารร่วมมือด้วย เพื่อลดปัญหายาเสพติด อาชญากรรมไซเบอร์ Call Center และปัญหาอื่น ๆ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

    จี้เกษตรทำ 6 แนวทาง ดันไทยสู่ฮับเกษตร – อาหาร

    นายชัย กล่าวต่อว่า นายกฯ ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินการปรับโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตรทั้งหมด ด้วยวิสัยทัศน์ประเทศไทยที่กำหนดให้เป็น Agriculture and Food Hub เพื่อยกระดับการผลิตอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย และสร้างความมั่นคงทางอาหารของโลก โดยจะทำให้เกษตรกรไทยมีรายได้มากขึ้น 3 เท่า ดังนี้

      1. พัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางพันธุ์พืชของโลก
      2. เพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บและระบายน้ำและขยายพื้นที่ชลประทาน รวมทั้งเร่งพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อภาคการเกษตร
      3. ตรวจทดสอบดินและส่งเสริมสนับสนุนการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมในทุกพื้นที่
      4. ลดปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรโดยเร่งด่วน โดยนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้
      5. เสนอแผนและดำเนินการเร่งขยายการผลิตมันสำปะหลังที่ต้านทานโรคใบด่าง รวมทั้งเร่งเสนอแผนการจัดการการระบาดของโรคใบด่าง
      6. ส่งเสริมการปลูกกาแฟและโกโก้ ซึ่งเป็นพืชที่มีความต้องการ ผลตอบแทนสูง และเพื่อลดพื้นที่เผาบนที่สูง

    ทั้งนี้ นายกฯ ให้หน่วยงานต่างๆ จัดทำแผนงานโครงการที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดย รมว. กษ. จะมีการแถลงรายละเอียดในช่วงปลายเดือนนี้ และเร่งดำเนินการภายในเดือนมิถุนายนต่อไป

    สั่งทบทวนมติเบรกจัดซื้อ-เช่าระบบคลาวน์

    นายชัย กล่าวต่อว่า จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ที่ให้ชะลอการจัดซื้อจัดจ้างหรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลก่อน โดยเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงาน โดยล่าสุด นายกฯ ขอให้ปรับปรุงมติ ครม. ดังกล่าว โดยให้โครงการต่อไปนี้สามารถดำเนินการได้ เงื่อนไข ดังนี้ (1) โครงการที่มีการจัดซื้อจัดจ้างไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา และมีการดำเนินการต่อเนื่อง และต้องมีการบำรุงรักษา (2) โครงการที่ลงนามสัญญาไปแล้วก่อนมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 และ (3) โครงการที่มีความจำเป็นและมีแหล่งเงินชัดเจนแล้ว (เช่น พ.ร.บ. งบประมาณ 2567) โดยหากไม่ดำเนินการจะเกิดความเสียหายต่อราชการ

    ทั้งนี้ ให้นำเสนอต่อคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกลั่นกรองก่อนดำเนินการต่อไป

    เร่งรัดกระบวนการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวน

    นายชัย รายงานว่า จากการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนโครงการหลวงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการหารือถึงแนวทางการเร่งรัดกระบวนการขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวน เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง โดยมีเป้าหมาย 1,007 กลุ่มบ้าน ซึ่งได้รับอนุญาตแล้ว 422 กลุ่มบ้าน อยู่ระหว่างการดำเนินการและเสนอขออนุญาตเพิ่มเติม 528 กลุ่มบ้าน เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ภายในเดือนกันยายน 2568 โดยนายกฯ ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้

      1. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาพื้นที่เป้าหมายที่ขอจัดทำโครงการร่วมเพิ่มเติม และเร่งรัดการขออนุญาตใช้ประโยชน์พื้นที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่สูง แบบโครงการหลวง ภายใต้ “โครงการพัฒนาป่าไม้พัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง” เป้าหมายจำนวน 33 โครงการ 528 กลุ่มบ้าน

      2. ให้ทุกหน่วยงานร่วมกันประชาสัมพันธ์ หลักสูตรการเรียนรู้ของสถาบันการเรียนรู้การพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน มูลนิธิโครงการหลวง โดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงศึกษาธิการ

      3. ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำแนวทางการดำเนินงานของโครงการหลวงไปขยายผล จากผลการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวงที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยลดปัญหาการเผา และฝุ่นควัน PM 2.5 บนพื้นที่สูงได้

    ดันกลุ่ม จว.ภาคกลางตอนล่าง เป็นเมืองท่องเที่ยว รองรับนักลงทุน

    นายชัย กล่าวต่อว่า นายกฯ เห็นว่าจากการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดเพชรบุรี มีศักยภาพที่สามารถยกระดับให้เป็นเมืองขนาดใหญ่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว และการลงทุนได้อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้สั่งการ ดังนี้

    1. จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจังหวัดที่มีการบริหารจัดการน้ำอย่างดีทั้งระบบ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม – น้ำแล้ง ขอให้กรมชลประทานวางแผนระยะยาว ซึ่งในอนาคตที่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ภัยธรรมชาติต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น โดยที่ให้ดูในภาพรวมของประเทศด้วย

    2. จังหวัดกาญจนบุรี

      2.1 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หามาตรการในการปรับปรุง และควบคุมโรคในฟาร์มโคนมทั้งประเทศ เพื่อให้รักษาระดับคุณภาพการเลี้ยง ตลอดจนส่งเสริมการเลี้ยงโคนมแบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ

      2.2 นายกฯ เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงาน ช่วยกันทำงานให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในประเด็นการลักลอบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย มาตรการควบคุมยางพาราในพื้นที่ รวมทั้งสินค้าเกษตรทุกชนิด โดยเฉพาะการลักลอบนำเข้ายาเสพติด

    3. จังหวัดราชบุรี

      3.1 ให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ หามาตรการในการลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมเทคโนโลยี และปรับราคาสินค้าเกษตรในตลาดให้มีความสมดุล ตลอดจนลดปัญหา เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น

      3.2 ให้กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พิจารณาความเหมาะสมในการพัฒนาอุทยานหินเขางู เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ทั้งสันทนาการ นันทนาการ กิจกรรมกีฬาต่างๆ ขอให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบ ทั้งเรื่องของการใช้พื้นอุทยานที่ให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย

    4. จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์

      4.1 สนามบินหัวหิน เป็นสนามบินที่สามารถยกระดับให้เป็นสนามบินระหว่างประเทศได้ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ขอให้กระทรวงคมนาคม เร่งศึกษาแผนการยกระดับสนามบิน การขยาย Runway การสร้าง Terminal ระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการเชื่อมโยง Connectivity ระหว่างสนามบิน โดยที่ขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งศึกษาปริมาณความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาใช้บริการสนามบินหัวหินเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน

      4.2 รัฐบาลให้ความสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวในหลายมิติ นายกฯ ขอให้ กระทรวงมหาดไทย ให้ความสำคัญกับการดูแลการแข่งขันกีฬาวัวลาน โดยให้ มท. เสนอขอแก้ไขกฎกระทรวง เพื่อขยายระยะเวลาในการละเล่นต่อ ครม. ภายในระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของบ้านเมือง

    มติ ครม. มีดังนี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกฯ , นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี , นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกฯ และนางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษก ฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ณ ศูนย์สื่อมวลชน (Press Center) ชั้น 1 อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

    เยี่ยมชมนิทรรศการของดีเมืองเพชร

    นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ เวลา 09.20 น. ณ บริเวณอาคารสุเมธตันติเวชกุล ชั้น 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ตำบลนาวุ้ง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมนิทรรศการ ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 “ฐานเศรษฐกิจสีเขียว และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” โดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้สวมเสื้อผ้าไหมพิมพ์ลายสุวรรณวัชร์สีเหลืองรวงผึ้ง ผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ โดยนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการของดีจังหวัดเพชรบุรี ดังนี้

      1) นิทรรศการ “อาหารผสานศิลป์” Phetchaburi City of Gastronomy เพชรบุรีเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร ประกอบด้วยอาหารสร้างสรรค์จากวัตถุดิบ 8 อำเภอ ที่นำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรมและธรรมชาติ

      2) อาหารท้องถิ่นเมืองเพชรบุรีขับเคลื่อนการเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหารของ UNESCO นำมรดกทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรมด้านอาหารผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาต่อยอดอาหารถิ่นสู่ระดับสากล

      3) งานปูนปั้น งานลายรดน้ำ งานลงรักปิดทองประดับกระจก งานจิตรกรรม งานช่างทอง งานแทงหยวก งานตอกกระดาษ งานจำหลักหนังใหญ่ งานแกะสลักไม้ งานปั้นหัวโขนหัวละคร งานปั้นหัวสัตว์

      4) การสาธิตงานสกุลช่างเมืองเพชรโดยครูช่าง การสาธิตงานเขียนลายรดน้ำ การสาธิตงานทำทอง การสาธิตงานปูนปั้น

      5) นวัตกรรมพลังงานทดแทนเพื่อประชาชน จัดโดยกระทรวงพลังงาน อาทิ การผลิตน้ำมันจากขยะพลาสติก ยางพาราโดยใช้เทคโนโลยีไพโรไลชีส โซล่าเซลล์หมุนตามแสงอาทิตย์ ชุดแบตเตอรี่ลิเธียมจัดเก็บไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระดับครัวเรือน

      6) นิทรรศการวันต้นไม้ประจำปีของชาติ 2567 จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบต้นหัวใจเศรษฐีให้กับนายกรัฐมนตรี

    โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างการเยี่ยมชมนิทรรศการ นายกรัฐมนตรีรับมอบหงส์ปูนปั้นช่อฟ้า และกล่องโมเดลต้นตาลคู่ จากอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ลองดื่มน้ำลามปาล์มโซดา หนึ่งในอาหารสร้างสรรค์จากวัตถุดิบ 8 อำเภอ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “อร่อยมาก ชื่นใจ” ถัดจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมสาธิตการทำลวดลายวัวลาน โดยการหยดน้ำลงในถ้วยลายเพื่อให้เกิดลายวัวลาน เสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) และผู้แทนภาครัฐ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี

    นายกรัฐมนตรี ถ่ายภาพร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) และผู้แทนภาครัฐ
    ที่มาภาพ : www’thaigov.go.th/

    นำ ครม.เยี่ยมชมโครงการ ‘ชั่งหัวมัน’

    นายชัย กล่าวต่อว่า จากนั้นใน เวลา 13.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมโครงการตัวอย่างด้านการเกษตรและรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ ณ โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยมีนางสาวกอบกุล กาญจนาลัย รองผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์ ให้การต้อนรับ

    นายชัย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมและศึกษาการดำเนินงานโครงการตัวอย่างด้านการเกษตรและรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปโครงการฯ จากนางสาวกอบกุล กาญจนาลัย รองผู้อำนวยการโครงการส่วนพระองค์ รวมทั้งชมวีดิทัศน์ความเป็นมาและการดำเนินงานของโครงการชั่งหัวมัน โดยภายในอาคารมีการจัดแสดงบอร์ดนิทรรศการ ประกอบด้วย

      1. อุตสาหกรรมเกษตรกลุ่มมะนาวไร่หลวง ที่มีการต่อยอดผลิตภัณฑ์โดยวิธีการตัดแต่งกิ่งพัฒนาสายพันธุ์มะนาวแป้นให้มีขนาดใหญ่ (มะนาวยักษ์)

      2. กลุ่มเอกชน บางจาก กรุ๊ป ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านพลังงาน การซ่อมแซมและติดตั้งกังหันลมภายในโครงการฯ

      3. งานแปรรูปนม และงานสัตวบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้รับประทานไอศครีมซอฟต์เสริ์ฟ จากผลิตภัณฑ์ภายในโครงการด้วย

    จากนั้น นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรี นั่งรถรางเยี่ยมชมโครงการฯ พร้อมรับฟังการบรรยายการจัดสรรพื้นที่ภายในโครงการฯ ประกอบด้วย

      1. พื้นที่การปลูกมะนาวยักษ์ และมะนาวแป้นเพชรบุรี
      2. พื้นที่จุดติดตั้งกังหันลม ที่เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม (กลุ่ม บางจาก กรุ๊ป)
      3. พื้นที่ปลูกสับปะรดเพชรบุรี
      4. พื้นที่เลี้ยงโคและกระบือ คอกโครุ่น – โคสาว ซึ่งบริเวณโรงเลี้ยงได้มีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เพื่อใช้ในโรงเลี้ยง
      5. พื้นที่ปลูกยางพารา
      6. พื้นที่ปลูกชมพู่เพชรสายรุ้ง
      7. พื้นที่โรงเลี้ยงไส้เดือนเพื่อใช้ในการผลิตปุ๋ย
      8. พื้นที่บ่อน้ำ ซึ่งมีการจัดวางแผงโซล่าลอยน้ำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการจัดสรรทรัพยากรพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ 7 แปลง ปลูกพืชผักสวนครัว 8 แปลง เพาะปลูกพันธุ์ข้าว กข 43 และ
      9. โรงงานแปรรูปนมพาสเจอร์ไรส์

    ภายหลังการเยี่ยมชมพื้นที่ภายในโครงการฯ นายกรัฐมนตรีรับฟังการบรรยายการจัดดิน ณ พิพิธภัณฑ์ดิน ทั้งนี้ ภายหลังการรับฟังการบรรยายฯ นายกรัฐมนตรีอุดหนุนสินค้าโครงการหลวง โดยได้ซื้อสินค้าผักปลอดสารภายในโครงการฯ

    โอกาสนี้ นายรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ได้วางพวงมาลัยสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ พลับพลาที่ประทับเก้าเหลี่ยม และรับมอบของที่ระลึกจากชาวบ้านในพื้นที่ ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

    ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท เริ่ม ก.ย.-ต.ค.นี้

    นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการกำหนดอัตราค่าจ้าง 400 บาท ทั่วประเทศ โดยกระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการค่าจ้างได้ดำเนินการ ดังนี้

      (1) กำหนดให้สำรวจค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงานในภาคอุตสาหกรรม ปี 2567 เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567

      (2) กำหนดให้มีการประชุมหารือผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เดือนพฤษภาคม 2567

      (3) สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้างเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างพิจารณากรอบแนวทาง และหลักเกณฑ์การทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด เพื่อให้การประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดทุกจังหวัด และคณะอนุกรรมการวิซาการและกลั่นกรอง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีหลักวิชาการ และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567

      (4) สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้างเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างพิจารณาข้อเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดทุกจังหวัด และคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรอง เพื่อทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2567 และเสนอประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้เดือนกันยายน-ตุลาคม 2567

    ปลดล็อกข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน สปก.

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรายละเอียดการดำเนินการตามแนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้ประชาชน ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ โดยยังคงหลักการว่า ที่ดินที่จัดให้กับประชาชนนั้น ถือเป็นของรัฐและไม่อาจบังคับหลักประกัน เพื่อชำระหนี้ได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

    นายคารม กล่าวว่า สาระสำคัญ แนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชนมีทั้งหมด 3 แนวทาง ประกอบไปด้วย

    แนวทางที่ 1 การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ ประกอบด้วย

    1. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ เพื่อลดข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยน/โอนสิทธิที่ดิน เพื่อให้เกิดกลไกในการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เฉพาะในกรณีผู้ได้รับสิทธิในที่ดินของรัฐไม่ชำระหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน เพื่อให้ที่ดินนั้นสามารถโอนไปยังบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดได้ ในลักษณะเดียวกับการจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่าง ส.ป.ก. และ ธ.ก.ส. ที่กำหนดว่าหากผู้ได้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดินไม่ชำระหนี้เงินกู้แก่ ธ.ก.ส. ที่ดินนั้นจะต้องสามารถการโอนไปยังบุคคลอื่นได้ กรณีผู้ได้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดินยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจาก ส.ป.ก. จะต้องมีกลไกในการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ โดยการนำที่ดินนั้นไปจัดให้แก่เกษตรกรรายใหม่ ซึ่งยินยอมชำระหนี้แทนให้ ธ.ก.ส. หรือ หากกรณีเป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจาก ส.ป.ก. แล้ว ให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวตกลงกับ ส.ป.ก. เพื่อโอนสิทธิในที่ดินกลับไปยัง ส.ป.ก.

    2. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ เพื่อลดข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับศักยภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากที่ดินแต่ละพื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกัน โดยแนวทางในการลดข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประกอบด้วย

      (1) การจำแนกประเภทที่ดิน เพื่อทราบศักยภาพ ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่จัดที่ดินให้กับประชาชน ควรเป็นหน่วยงานหลักในการสำรวจจำแนกประเภทที่ดิน และจัดเก็บฐานข้อมูลศักยภาพที่ดินภายในขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน โดยมีกรมพัฒนาที่ดิน และกรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นหน่วยงานสนับสนุน

      (2) การปรับปรุงระเบียบให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการนอกเหนือการเกษตรกรรมได้ เช่น พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 อนุญาตให้เกษตรมีสิทธิขุดบ่อ เพื่อการเกษตรกรรม ไม่เกินร้อยละ 5 ของเนื้อที่ที่ได้รับมอบและมีสิทธิปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้าง สำหรับโรงเรือนที่อยู่อาศัย ยุ้งฉาง หรือ สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรของเกษตรกร หรือ สถาบันเกษตรกรนั้นได้ตามสมควร หากประสงค์จะขุดบ่อเกินร้อยละ 5 ของเนื้อที่ที่ได้รับมอบ หรือ ปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างเกินสมควรจะต้องได้รับอนุญาต พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 รวมถึงกรณีการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้การทำประโยชน์ในที่ป่าสงวนแห่งชาติจำกัดเพียงการทำเกษตรเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าเป็นการจัดที่ดินเพื่ออยู่อาศัย และเพื่อทำเกษตรเท่านั้น ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เป็นต้น

      (3) การกำหนดสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินในกิจการอื่นนอกจากการเกษตร โดยกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ต่างไปจากเจตนารมณ์หลักในการจัดที่ดินให้กับประชาชนเพื่อใช้สำหรับการทำเกษตรกรรม

      (4) การส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ

    แนวทางที่ 2 การกำหนดแนวทางการประเมินมูลค่าที่ดิน และทรัพย์สินที่รัฐจัดให้กับประชาชน เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนแก่ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินจากรัฐ โดยเกณฑ์ที่ควรนำมาพิจารณาในการประเมินมูลค่าที่ดินและทรัพย์สิน ได้แก่ (1) ทำเลที่ตั้ง (2) ลักษณะทางกายภาพของดิน (3) กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาที่ดิน เช่น พระราชบัญญัติการผังเมือง การขออนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์มูลค่าที่ดินและทรัพย์สินที่รัฐจัดให้กับประชาชน สามารถดำเนินการได้ 2 รูปแบบ คือ การพิจารณาตามสิทธิในการซื้อขายและการพิจารณาตามรูปแบบการจัดที่ดิน

    แนวทางที่ 3 การจัดให้มีระบบ หรือ สถาบันที่ให้สินเชื่อระยะปานกลางและระยะยาวให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินของรัฐและจัดให้มีระบบประกันความเสี่ยงในการอำนวยสินเชื่อ เพื่อเป็นแหล่งทุนแก่เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการจัดที่ดินจากรัฐแต่มีทุน และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนได้จำกัด ซึ่งที่ดินและทรัพย์สินที่ได้รับจัดสรรมาจากหน่วยงานของรัฐ จะถูกกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์ไว้แล้ว และมีข้อจำกัดในการห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือที่เป็นอุปสรรค ในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินในการใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกัน รวมไปถึงต้นทุนทางธุรกรรมในการเข้าถึงสินเชื่อ สำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยก็สูงผิดปกติ เนื่องจากจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้อื่น ๆ ที่มีหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่ผ่อนปรนกว่า แต่มีอัตราดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ดังนั้น การจัดให้มีระบบหรือมีตัวกลางที่ทำหน้าที่อำนวยสินเชื่อระยะกลางและระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นแนวทางสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย

      1. ระบบค้ำประกันสินเชื่อ โดยอาจเพิ่มภารกิจในการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่สถาบันการเงิน เช่น บสย. บจธ. เป็นต้น ให้สามารถครอบคลุมการให้สินเชื่อแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์และผู้มีรายได้น้อย หรืออาจจัดตั้งธนาคารเฉพาะกิจ หรือ กองทุนขึ้นใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจดังกล่าว

      2. ระบบตรวจสอบ ติดตามสินเชื่อ ให้สถาบันการเงิน หรือ กองทุนผู้ให้สินเชื่อสามารถตรวจสอบการใช้เงินของลูกหนี้ว่ามีการใช้เงินสินเชื่อตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้ใช้เงินสินเชื่อและการดำเนินกิจการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

      3. ระบบออมทรัพย์ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้แก่เกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน หรือ กองทุนอย่างเป็นระบบด้วย

    นายคารม กล่าวว่า การดำเนินการในเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ คือ เพื่อปลดข้อจำกัด ในการนำที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามศักยภาพของที่ดิน โดยไม่จำกัดเฉพาะการทำเกษตรกรรม และให้สามารถเกิดการเปลี่ยนตัวผู้ได้รับสิทธิในที่ดิน ในกรณีที่ผู้ได้รับสิทธิเดิมมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่สามารถชำระคืนสถาบันการเงินได้ ก็จะมีการปรับแก้กฎระเบียบให้สามารถเปลี่ยนตัวผู้รับสิทธิในที่ดินเป็นรายอื่นที่ยินยอมจะชำระหนี้แทนผู้ได้รับสิทธิในที่ดินรายเดิมได้ นอกจากนี้ ยังจะปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้สามารถนำสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินไปเป็นหลักประกัน ในการชำระหนี้จากสถาบันการเงินได้ และจะมีการยกร่างมาตรฐานการประเมินมูลค่าที่ดิน เพื่อให้การประเมินราคาที่ดินของรัฐเป็นไปด้วยมาตรฐานเดียวกัน

    ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ในประเด็นการดำเนินนโยบาย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เพื่อสร้างโอกาสในการมีอาชีพ รายได้และความมั่นคงในชีวิต โดยเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดินและนำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ เพื่อนำมาพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นไปในทางเดียวกันกับที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการไปแล้ว ในกรณีการเปลี่ยน สปก. 4-01 ไปเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรที่สามารถนำไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้

    ให้ ธ.ก.ส.ปล่อยสินเชื่อชะลอเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง 3,255 ล้าน

    นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 วงเงินงบประมาณ 56.96 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อดูแลเกษตรกรให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการเพาะปลูก โดยการชะลอการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ผ่านพ้นช่วงแล้ง ให้ได้รับฝนซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงขึ้น และช่วยเหลือให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยให้เฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร และยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูการผลิตปี 2566/67 ประมาณ 65,100 ครัวเรือน มาสมัครเข้าร่วมโครงการกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และให้ ธ.ก.ส.ตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกประเมินพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว จากนั้นถึงจะพิจารณาสินเชื่อให้แก่เกษตรกร ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท (ไม่เกิน 20 ไร่/ครัวเรือน ไร่ละไม่เกิน 2,500 บาท) วงเงินสินเชื่อรวม 3,255 ล้านบาท (65,100 ครัวเรือน x 50,000 บาท)

    สำหรับเงินงบประมาณ 56.96 ล้านบาท รัฐบาลจะนำมาชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3.5 และเกษตรกรสมทบในอัตราร้อยละ 1 ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน [ธ.ก.ส. จ่ายค่าชดเชยดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 คืนให้ ธ.ก.ส. หรือ แหล่งงบประมาณอื่นตามที่ สงป. จัดสรร]

    เสนอไทยเป็นประธาน – เจ้าภาพจัดประชุม ACD ปี’68

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้

      1. เห็นชอบการเสนอตัวเป็นประธานการประชุมกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) วาระปี 2567 –2568 ของประเทศไทย เพื่อขอรับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิก ACD ต่อไป

      2. เห็นชอบในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในช่วงที่ประเทศไทย เป็นประธาน ACD ซึ่งรวมถึง (1) การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (2) การประชุมระดับรัฐมนตรีคู่ขนานกับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (3) การประชุมระดับรัฐมนตรี และ (4) การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ไทยจะเสนอตัวเป็นประธาน ACD ให้แก่ประเทศสมาชิกพิจารณาในการประชุมระดับรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 19 ที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (อิหร่าน) จะเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 11 – 12 มิถุนายน 2567 และจะมีการส่งมอบตำแหน่งประธาน ACD ในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรีในช่วงเดือนกันยายน 2567)

    นายคารม กล่าวว่า สาระสำคัญดังกล่าว มีดังนี้

    1. กรอบ ACD จัดตั้งขึ้นโดยข้อริเริ่มของประเทศไทยเมื่อปี 2545 เพื่อเป็นเวทีหารือระดับนโยบายของภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันของสมาชิก รวมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในเอเชีย โดยปัจจุบันกรอบ ACD มีสมาชิกรวม 35 ประเทศ จากอนุภูมิภาคทั้งหมดของเอเชีย1 ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทนำในกรอบ ACD ในฐานะผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบ ACD และเป็นประเทศผู้ประสานงาน ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน ACD และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแล้ว 2 ครั้ง

    2. ปัจจุบันอิหร่านดำรงตำแหน่งประธาน ACD วาระปี 2566 – 2567 และยังไม่มีประเทศสมาชิกใดแสดงความประสงค์ดำรงตำแหน่งประธาน ACD ต่อจากอิหร่าน และโดยที่กรอบ ACD ไม่มีข้อกำหนดหรือระเบียบปฏิบัติในการดำรงตำแหน่งประธาน ACD ดังนั้นการดำรงตำแหน่งประธาน ACD จึงเป็นไปตามความสมัครใจของประเทศสมาชิก กต. จึงเสนอให้ประเทศไทยเป็นประธาน ACD และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชียในปี 2568 และประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการเป็นประธาน ACD ของประเทศไทย

    สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับ มีดังนี้

      1. การเป็นประธาน ACD จะช่วยส่งเสริมบทบาทนำของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือในภูมิภาค สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเวทีดังกล่าวที่ครอบคลุมรัฐสมาชิกในเอเชียมากที่สุด และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย และส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย

      2. สามารถใช้โอกาสจากเวที ACD ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีของไทยกับประเทศสมาชิก ACD ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างเครือข่ายและขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน และขยายความร่วมมือในระดับรัฐบาลระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น

    รับทราบความคืบหน้าโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมฯ

    นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ

    นายคารม กล่าวต่อว่า กระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตลอดปี พ.ศ. 2567 เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และเป็นการให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดได้ชดเชยความเสียหายที่เคยได้กระทำให้กับสังคม อีกทั้งได้เพิ่มพูนทักษะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมหลักของโครงการฯ จำนวน 5 กิจกรรม ได้แก่

      1) กิจกรรมปลูกป่าและการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
      2) กิจกรรมการเก็บขยะชายฝั่ง
      3) กิจกรรมขุดลอกคูคลองพัฒนาแหล่งน้ำและการขุดดลอกท่อระบายน้ำ
      4) กิจกรรม Green Justice ยุติธรรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
      5) กิจกรรมการอบรมให้ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์หลักสูตรสิ่งแวดล้อม

    สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย ผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกคุมประพฤติของกรมคุมประพฤติ และเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้กำหนดวันเริ่มต้นโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อดำเนินการจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ในวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 และมีกำหนดจัดพิธีเปิดโครงการฯ ในวันดังกล่าว ณ ทัณฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก จังหวัดนครราชสีมา โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานเปิดโครงการดังกล่าว

    เห็นชอบร่างแถลงการณ์ รมต. APEC ด้านสตรี-เศรษฐกิจปี’67

    นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอดังนี้

      1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ (ร่างแถลงการณ์ฯ) ประจำปี 2567 [2024 APEC Women and the Economy Forum Statement] โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ พม. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก

      2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นายวราวุธ ศิลปอาชา) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ในการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรี และเศรษฐกิจ (High-Level Policy Dialogue on Woman and the Economy : HLPDWE) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองอาเรกิปา สาธารณรัฐเปรู

    สาระสำคัญ พม. รายงานว่า

    1. สำนักเลขาธิการเอเปค โดยฝ่ายเลขานุการในส่วนของภารกิจหุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านการเพิ่มการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบเศรษฐกิจ (PPWE) ได้มีหนังสือเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมการประชุมเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจประจำปี 2567 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองอาเรกิปา สาธารณรัฐเปรู ในส่วนของการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรีและเศรษฐกิจ (HLPDWE) เพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการเร่งเสริมสร้างพลังสตรีในทางเศรษฐ กิแจละเป็นประโยชน์ต่อการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและเป็นธรรมสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม

    2.ร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารแสดงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างพลังสตรีในทางเศรษฐกิจใน APEC มีสาระสำคัญ ดังนี้

      2.1 การส่งเสริมสตรีในอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Science, Technology, Engineering and Mathematics: STEM) โดยตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในอาชีพด้าน STEM มากขึ้น เช่น การพัฒนาโปรแกรมการศึกษาที่ส่งเสริมความสนใจของเด็กผู้หญิงในเรื่อง STEM ตั้งแต่วัยเยาว์รวมถึงการส่งเสริมให้มีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจตัดสินใจในด้าน STEM ศึกษา ซึ่งจะเป็นรากฐานในอนาคตที่แสดงถึงความเท่าเทียมของผู้หญิง

      2.2 การสร้างโอกาส : ความครอบคลุมทางการเงินในฐานะเสาหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้ตระหนักว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบการเงินเป็นเสาหลักพื้นฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจผ่านการเข้าถึงทุนและตลาด การเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและโอกาสในการเรียนรู้ในด้านทักษะและสมรรถนะด้านดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้ผู้หญิงสามารถเสริมสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ

      2.3 การสร้างความเสมอภาคเท่าเทียม: การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการป้องกันและจัดการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใหม่ๆ ในยุคดิจิตอลเพื่อเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความรุนแรงต่อผู้หญิง เช่น ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเหยื่อหรือผู้หญิงที่มีความเสี่ยงระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะดำเนินความร่วมมือกับระหว่าง 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันเพื่ออนาคตที่เท่าเทียมกันและสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับ APEC ที่ยุติธรรมด้วยการขจัดอุปสรรคที่เกิดจากความรุนแรงที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเต็มรูปแบบของสตรี

    อนุมัติ MOU ด้านเกษตร ‘ไทย – ซาอุดีอาระเบีย’

    นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้

      1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง กษ. แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ กษ. ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก

      2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือ ผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ

    สาระสำคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า

      1. เมื่อปี 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยได้ตกลงให้จัดตั้งกลไกความร่วมมือระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตรของทั้งสองประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องและสามารถหาข้อยุติร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      2. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในสาขาเกษตรและพัฒนาศักยภาพการผลิตในภาคเกษตรบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทั้งสองฝ่าย โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์) และผู้กระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตร ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย เป็นหน่วยงานประสานหลัก มีสาขาความร่วมมือกว่า 13 ด้านยกตัวอย่าง เช่น มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแปรรูปอาหาร การจัดการน้ำและที่ดิน เครื่องจักรกลการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในสาขาเกษตรและเทคนิคการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร ฯลฯ ซึ่งราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือถึงขั้นตอนและมาตรการที่จำเป็นสำหรับการยกระดับและพัฒนาความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมจะจัดการประชุมตามความเหมาะสม ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองตามข้อผูกพันในบันทึกความเข้าใจฯ

    ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ทำการแจ้งครั้งสุดท้ายระหว่างกัน ผ่านช่องทางการทูตว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในทางกฎหมายที่จำเป็นเพื่อให้บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้สมบูรณ์แล้ว โดยให้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี และจะได้รับการต่ออายุโดยอัตโนมัติต่อเนื่องเป็นระยะเวลาทำนองเดียวกัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านช่องทางการทูตถึงเจตนารมณ์ที่จะยกเลิกหรือไม่ต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ อย่างน้อย 6 เดือน ก่อนวันที่บันทึกความเข้าใจนี้จะสิ้นสุดลง

    “ความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างประเทศไทยและซาอุฯ ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการต่อยอดประโยชน์จากการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ที่ทำมาต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดก่อนหน้า สานต่อโดยรัฐบาลชุดนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจเป็นอย่างมากสำหรับพวกเราคนไทย” นางรัดเกล้า กล่าว

    ให้ EEC Visa ต่างชาติสูงสุด 10 ปี เก็บภาษีเงินได้คงที่ 17%

    นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาภาคตะวันออก เกี่ยวกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ EEC Visa แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ 4 ข้อดังนี้

    1. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ดังนี้

      1.1 การตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ EEC Visa

      1.2 แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (EEC)

    2. รับทราบการปรับแนวทางดำเนินการโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (โครงการ EECd) โดยนำออกจากการดำเนินการภายใต้ประกาศ กพอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือ ให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (ประกาศ กพอ. หลักเกณฑ์ฯ) ตามมติ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563

    ความเป็นมาคือ โครงการ EECd นั้น จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ อาทิ (1) ยกระดับขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย (2) สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (3) ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีเดิมไปสู่อุตสาหกรรมดิจิทัลยุคใหม่ (New S- Curve Digital Industry) และ (4) พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เป็นต้น โดยโครงการ EECd นี้เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ EEC Project List ซึ่งต้องดำเนินการตามประกาศ กพอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ฯ มาโดยตลอด

    3. ให้ สกพอ. พิจารณาแนวทางการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC อย่างรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม รวมทั้งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ให้ สกพอ. รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของ กค. กต. กระทรวงคมนาคม ดศ. พน. มท. รง. และ สกท. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

    4. ให้ สกพอ. สกท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการเชื่อมโยงข้อมูลของนักลงทุน โดยเฉพาะในส่วนของการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน เพื่อให้มีการจัดทำและเชื่อมโยงข้อมูลกันอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพรวมทั้งให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการบูรณาการการทำงานของศูนย์บริการนักลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันร่วมด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวให้คำนึงถึงหลักความประหยัด คุ้มค่า มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ

    สำหรับ EEC Visa นั้น ประเภท คุณสมบัติ และสิทธิประโยชน์ โดยสรุป มีรายละเอียดดังนี้

    • ผู้ที่สามารถได้รับวีซ่าดังกล่าวมีอยู่ 4 ประเภทด้วยกันได้แก่ ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ (Specialist “S”) ผู้บริหาร (Exeutive “E”) ผู้ชำนาญนาญการ (Professional “P”) และคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะ (Other “O”)
    • คุณสมบัติของผู้มีสิทธิที่จะได้รับ EEC Visa เช่น ต้องเป็นผู้ที่มีสัญญาจ้างกับผู้ประกอบกิจการ หรือ มีสัญญากับบุคคลอื่นที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติงาน เพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากผู้ประกอบกิจการ ฯลฯ
    • สิทธิประโยชน์จากการได้รับ EEC Visa เช่น มีสิทธิในการเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรตามจำนวน และระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ.สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ ต้องไม่เกินระยะเวลาตามสัญญาจ้างสำหรับใช้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยประทับตราขาเข้าและอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรในครั้งแรกเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี มีสิทธิในการนำคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรตามความจำเป็นและเหมาะสม และ มีสิทธิในการได้รับการลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราคงที่ร้อยละ 17 ฯลฯ

    ทั้งนี้ สกพอ.แจ้งว่า การดำเนินการ EEC Visa และการให้สิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้

    • ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษและกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในเขต EEC
    • ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม
    • มีการถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการที่มีศักยภาพสูง
    • ก่อให้เกิดรายได้แก่ภาครัฐ โดยคนต่างด้าวที่ยื่นขอ EEC Visa หรือ ยื่นขอเปลี่ยนประเภท Visa เป็น EEC Visa ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา 10,000/บาท/คน/ปี และในการขอรับใบอนุญาตทำงาน EEC Work Permit ต้องชำระค่าบริการในอัตรา 20,000 บาท/คน/ครั้ง มีคนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายตามที่กำหนดและประสงค์จะใช้สิทธิ EEC Visa โดยคาดการณ์ 10 ปีแรก ของการดำเนินการประมาณ 149,388 คน และ การพัฒนาเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ EECd จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
    • เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการลงทุนในพื้นที่ EECd
    • เกิดการจ้างงานที่เกี่ยวข้องจากการลงทุนในพื้นที่ EECd และการจ้างงานสนับสนุนจากบุคคลภายนอกองค์กร
    • สามารถเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพื้นที่ EECd
    • การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้วยการสร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีดิจิทัลที่ยั่งยืนในระยะยาว

    ขยายวงเงิน-เวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการสะพานข้ามรถไฟ บ้านหนองโรง

    นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4 – บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท (โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ) จากเดิม จำนวน 138.60 ล้านบาท เป็น จำนวน 152.67 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.07 ล้านบาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จาก ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 – 2562 เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ.2560 – 2569 ตามที่กระทรวงคมนามคม (คค.) เสนอ

    เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (25 ตุลาคม 2559) อนุมัติโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4 – บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท (โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ) โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ.2560 -2562วงเงินงบประมาณ 138.60 ล้านบาท ซึ่งกรมทางหลวงชนบทได้จัดจ้างเอกชนเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวในวงเงินตามสัญญา 111.90 ล้านบาท และเบิกจ่ายให้ผู้รับจ้างไปแล้ว 28.38 ล้านบาท ต่อมากรมทางหลวงชนบทบอกยกเลิกสัญญากับผู้รับจ้างรายดังกล่าวเนื่องจากดำเนินการล่าช้า โดยกรมทางหลวงชนบทได้จัดจ้างเอกชนรายใหม่เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ ต่อ ในวงเงิน 124.29 ล้านบาท (เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจำนวน 74.38 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 49.91 ล้านบาท ให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2569) เมื่อรวมกับที่ได้เบิกจ่ายไปแล้วเดิม 28.38 ล้านบาท คิดเป็นกรอบวงเงินโครงการรวมทั้งสิ้น 152.67 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ (138.60 ล้านบาท) เป็นจำนวน 14.07 ล้านบาท นอกจากนี้ กรมทางหลวงได้ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2562 (3 ปี) เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2569 (10 ปี) ด้วย

    เห็นชอบกรมศิลปากรรับมอบโบราณวัตถุจากสหรัฐฯ 2 รายการ

    นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรมเห็นควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้

    1. เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร รับมอบโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมิริกา ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอและมอบหมายกรมศิลปากร พิจารณาข้อตกลงและนำเสนอตามกระบวนการต่อไป

    2. กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้รับการประสานจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา โดยได้มอบหมายให้นาย John Guy ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน เป็นผู้แทนในการเจรจาเกี่ยวกับรายละเอียดในการส่งมอบโบราณวัตถุ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) กลับคืนสู่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา จะดำเนินการจัดส่งโบราณวัตถุ จำนวน ๒ รายการ กลับคืนถึงประเทศไทย ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ยินดีที่จะลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการส่งมอบโบราณวัตถุดังกล่าว ภายหลังจากการส่งมอบโบราณวัตถุให้อยู่ในความครอบครองของกรมศิลปากร

    ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนสู่ประเทศไทย ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณวัตถุประตุมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy เป็นโบราณวัตถุที่มีความสำคัญและมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเป็นโบราณวัตถุที่ถูกลักลอบขุดค้นจากโบราณสถานปราสาทบ้านยางหรือปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา ตำบลตาจง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์

    ตั้งน้องชาย ‘ไผ่ ลิกค์’ ผู้ช่วยเลขานุการ รมช.เกษตรฯ

    น.ส.เกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐมีรายละเอียดดังนี้

    1. กระทรวงการต่างประเทศ แต่งตั้งราชการการเมืองจำนวน 1 ราย

    นายธนรัช จงสุทธานามณี ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

    2. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้

      1) นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
      2) นายภูผา ลิกค์ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

    3. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 5 รายดังนี้

      1. นางสาวธีราภา ไพโรหกุล ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
      2. นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี)
      3. นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี)
      4. นายกฤช เอื้อวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
      5.นายนิกร ซัจเดว ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

    4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้

      1. นางสาววารุณี ปั้นกระจ่าง อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน

      2. นางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศในลำดับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว

    5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

    คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวจันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

    6. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

    คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบาย และแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งแห่งชาติ จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 ดังนี้

      1. ศาสตราจารย์ดุสิต เวชกิจ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
      2. นายวิจารย์ สิมาฉายา ด้านสิ่งแวดล้อม
      3. นายศศิน เฉลิมลาภ ด้านทรัพยากรธรณี
      4. รองศาสตราจารย์ธรรมศักดิ์ ยีมิน ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล
      5. รองศาสตราจารย์อรพรรณ ศรีเสาวลักษณ์ ด้านเศรษฐศาสตร์
      6. นางพวงทอง อ่อนอุระ ด้านนิติศาสตร์
      7. นายนิวัติ ธัญญะชาติ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
      8. นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
      9. นายมนูญ คุ้มรักษ์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
      10. นายพิษณุพงษ์ เหล่าลาภผล ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
      11. นายเหลด เมงไซ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการประมง
      12. นายชยพัทธ์ สุวรรณาราม ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป

    อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เพิ่มเติม