ThaiPublica > คอลัมน์ > Sex เรื่องไม่เล็ก Let’s talk about Chu

Sex เรื่องไม่เล็ก Let’s talk about Chu

16 กุมภาพันธ์ 2024


1721955

Let’s talk about Chu ซีรีส์ไต้หวัน 8 ตอนจบเล่าเรื่องหลากหลายปัญหาอันเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องทางเพศ โดยผ่านครอบครัวฉู่เพียงครอบครัวเดียวที่ไปเกี่ยวพันกับเรื่องซับซ้อนอีกมากมาย บ้านแซ่ฉู่นี้ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวคนโต น้องชายคนกลาง และลูกสาวคนเล็ก คนพ่อ ฉู่เจิ้งหนาน (ฮอนดูรัส หงเซิ่งเต๋อ จาก Your Name Engraved Herein, Miss Shampoo) มีธุรกิจใหญ่ในอินโดนีเซีย เขาแต่งงานอยู่กินกับ ฉู่เม่ยฉี (เคลลี่ เหมียวเค่อลี่ จาก Miss Shampoo) แล้วช่วงนี้คนพ่อกลับมาบ้านเนื่องจากตรุษจีนและต้องการจะฉลองแต่งงานครบรอบ 33 ปี

ลูกสาวคนโต ฉู่เว่ย (คิมิ เซี่ยหยูเฉียว จาก Would You Like a Cup of Coffee?, The Rope Curse ภาค 1 และ 2) เป็นนักเขียนนิยายที่ผ่านไป 3-4 ปี นิยายที่เธอเขียนก็ยังไม่มีทีท่าจะเสร็จ พอ ๆ กับเซ็กซ์ของเธอที่ไม่เคยสุขสม เพราะ หลินซื่อเฉีย (อูมินโบย่า [ชื่อชนเผ่าพื้นถิ่นของไต้หวัน] หม่าจื้อเสียง จาก Till We Meet Again, Warriors of the Rainbow: Seediq Bale ทั้งสองภาค) สามีที่อายุมากกว่าเธอ และเคยเป็นอาจารย์ของเธอในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ค่อนข้างเครียดทั้งเรื่องงานและเรื่องพ่อของเขาที่ป่วยเป็นอัลไซม์เมอร์

ลูกชายคนกลาง ฉู่ยู่เซิน (เจซี หลินจื๋อซี จาก Would You Like a Cup of Coffee?, The Bridge Curse ทั้งสองภาค) ลูกชายคนเดียวของบ้านและเป็นเกย์หนุ่ม ที่กำลังมีรักทางไกลกับชายที่อยู่คนละจังหวัด แถมเรื่องเซ็กซ์ก็ไม่เคยแฮปปี้ด้วยกันทั้งคู่สักที ส่วนตัวยู่เซินเองแม้จะหัวดีแต่ไม่ทำงานทำการ เขาหลอกที่บ้านว่าทำงานออฟฟิศ ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเงินใช้จากการไปเล่นไพ่ในบ่อน

ส่วนลูกสาวคนเล็ก ฉู่อ้าย (จ้านจื่อสวน จาก The Bridge Curse ภาค 2) เจ้าของช่องยูทูบ กูรูเรื่องเพศผู้ตั้งปณิธานว่าความรักกับความใคร่ไม่ควรเอามาปะปนกัน เธอมีอาชีพแว็กซ์ขนน้องน้อยในที่ลับ และกำลังคบหากับ ปิงเค่อ (เค่อเจิ้นตง จาก You Are the Apple of My Eye, Miss Shampoo, Till We Meet Again) หนุ่มหล่อพ่อรวย ติดแค่ว่าเขาไม่ใช่ลูกเมียหลวง และออกจะต่อต้านพ่อที่นาน ๆ จะมาเยี่ยมบ้านเล็กสักที ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้จากบัตรเครดิตระดับหรูของพ่อที่รูดได้ไม่อั้น

FYI

จากตัวละครทั้งหมดที่เล่ามามีสองหนุ่มหล่อที่ในเรื่องนี้ไม่ได้คู่กัน แต่เชื่อว่าหลายคนคงจิ้นคู่นี้ไม่น้อย นั่นก็คือ เค่อเจิ้นตง กับ เจซี หลินจื๋อซี เราเลยอยากจะบอกบุญว่า สองคนนี้เคยแสดงเป็นแฟนกันมาก่อนในบทเซ็กซ์เวิร์คเกอร์ชายในหนังสายประกวด Un Certain Regard จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ เรื่อง Moneyboys (2021)

FYI

นักแสดงในซีรีส์นี้ทุกคนเรียกได้ว่าระดับตัวท็อป แต่ที่ดังเป็นพิเศษคือ เค่อเจิ้นตง ผู้แจ้งเกิดจาก You Are the Apple of My Eye (2011) หนังรักกวาดรางวัลที่ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงดาวรุ่งจากเวทีสูงสุดของไต้หวัน ม้าทองคำ แถมหนังยังไปโกยเงินอีกทั่วเอเชียและเข้าฉายในอเมริกา ถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นหนังญี่ปุ่นในปี 2018 ในชื่อเดียวกัน และเป็นเวอร์ชั่นไทยในปี 2023 ในชื่อ รักแรกโคตรลืมยาก My Precious

แต่หลังจากดังได้ไม่นานในปี 2014 ก็เกิดเรื่องอื้อฉาวเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม เมื่อเขากับเจย์ซีชาน(นักร้องนักแสดงชาวฮ่องกงและลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเฉินหลงกับอดีตดาราสาวหลินฟ่งเจียว) กับก๊วนเพื่อนอีกหลายคนถูกรวบตัวในโรงอาบน้ำกลางกรุงปักกิ่ง และถูกระบุว่าพวกเขาเสพกัญชา ที่พังไปกว่านั้นคือในปี 2012 เค่อเจิ้นตงเป็นหนึ่งในดาราที่เข้าร่วมแคมเปญ “เราไม่เสพยา” ทำให้ผลงานของเขาแป้กไปพักใหญ่ ก่อนจะกลับมารุ่งอีกทีในปี 2016 เมื่อเขาได้รับเสนอชื่อเข้าชิงม้าทองคำอีกหนจาก The Road to Mandalay ก่อนจะคว้าดารานำชายยอดเยี่ยมจากเวทีไทเปฟิล์มอะวอร์ด จาก Till We Meet Again (2021) อย่างไรก็ตามในระหว่างถ่ายทำซีรีส์เรื่องใหม่กับเน็ตฟลิกซ์เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2023 เขาประสบอุบัติเหตุจากใบพัดโดรนพุ่งเข้าชนโหนกแก้มของเขาจนต้องเย็บ 30 เข็ม ในซีรีส์ Agent from Above ที่ต้องเลื่อนฉายจากปีที่แล้วมาเป็นปีนี้แทน

วกกลับมาที่ซีรีส์ Let’s talk about Chu เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นเมื่อทั้งครอบครัวมารวมตัวกันในวันตรุษจีน แต่เพียงแค่หนึ่งวันก่อนตรุษจีน ฝ่ายแม่ก็พบว่าผัวตัวเองที่อยู่กินกันมา 33 ปีและน่าจะหมดไฟไปแล้วแอบสาวหนอนช่วยตัวเอง ซีรีส์ก็ค่อย ๆ พาคนดูเข้าไปพบกับปัญหาพื้น ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่กลับบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างความสัมพันธ์ของทุกคนในครอบครัวนี้ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกบ้าน

อีก 6 ปีไต้หวันจะมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในโลก!

ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะกับไต้หวันเท่านั้น อย่างบ้านเราเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ปลายปีที่ผ่านมานายเศรษฐา ทวีสิน ก็ทวิตข้อความว่าตัวเขาตกใจที่ประเทศไทยมีอัตราการเกิดต่ำสุดในรอบ 71 ปี, ที่น่าสนใจคือในเดือนเดียวกันนั้นเอง 4 ธันวาคม คิมจองอึน ผู้นำเผด็จการทหารของเกาหลีเหนือก็ถึงกับหลั่งน้ำตาเมื่อทราบว่าอัตราการเกิดลดฮวบมาอยู่ที่ร้อยละ 1.79 และร่วงลงมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็พบว่ายังสูงกว่าเกาหลีใต้ที่รั้งตำแหน่งประเทศที่มีอัตราเกิดต่ำสุดในโลกติดต่อกัน 2 ปีซ้อน ต่ำถึงร้อยละ 0.78 และญี่ปุ่นต่ำสุดในรอบ 40 ปีอยู่ที่ร้อยละ 1.26

หันกลับมาที่ไต้หวัน ในซีรีส์เรื่องนี้พาไปดูชีวิตคู่ของตัวพี่สาวคนโตที่ตัดสินใจกันแต่งงานว่าจะไม่มีลูกเด็ดขาด ขณะที่ฝ่ายแม่ของเธอพยายามบำรุงเธอด้วยซุปสมุนไพรเร่งลูกหลายขนาน แต่ตัวลูกสาวคนโตก็ยืนยันว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่ท็อกซิก สภาพแวดล้อมก็ท็อกซิก เธอไม่อยากให้ลูกต้องเติบโตมาท่ามกลางวิกฤติแบบนี้

จากการสำรวจล่าสุดในไต้หวันมีการคาดการณ์กันว่าภายในปี 2030 ไต้หวันจะกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก วิกฤตินี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2020 อันเป็นปีแรกที่พบว่าไต้หวันมีอัตราการเกิดต่ำเป็นครั้งแรก โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่าในปี 2020 พบว่ายอดผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 173,156 ราย ขณะที่มีทารกเกิดใหม่มีเพียง 165,249 คน ส่งผลให้ประชากรตามธรรมชาติลดลง 7,907 คน ซึ่งนับตั้งแต่ปีนั้นอัตราการตายในไต้หวันก็มีมากกว่าอัตราการเกิด 3 ปีซ้อน แล้วมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อย ๆ โดยในปีล่าสุดมีทารกเกิดน้อยกว่า 130,000 คน

สมรสเท่าเทียมแล้วยังไงต่อ?

เรารู้กันอยู่แล้วว่าไต้หวันเป็นประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายสมรสเพศเดียวกันเป็นประเทศแรกในเอเชียเมื่อปี 2019 (ขณะที่ประเทศไทยยังคงรอต่อไปว่า “สมรสเท่าเทียมจะได้วันไหน”) ในซีรีส์เรื่องนี้แสดงภาพ LGBTQ+ ผ่านตัวละครลูกชายคนกลางและเป็นคนเดียวของตระกูล ซึ่งน่าสนใจว่าแม่ของเขารับเรื่องนี้ได้ ขณะที่พ่อจะค่อนข้างหงุดหงิดแต่ก็ไม่สามารถสู้อำนาจแม่ที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านได้

ขณะเดียวกันซีรีส์เรื่องนี้ก็นำเสนอตัวละครอีกตัว คือ หลี่เย่า (อู่เจี้ยนเหอ จาก Mama Boy, After School) นักเลงคุมบ่อนที่ต้องแอบซ่อนพฤติกรรมรักเพศเดียวกันเอาไว้ เมื่อเขากลับไปบ้านเกิดที่อยู่นอกเมือง เราจะพบว่าชาวชนบทยังคงไม่ยอมรับเรื่องทำนองนี้ และซุบซิบนินทาไปทั่ว (ประเด็นนี้ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในหนังไต้หวันอีกเรื่องที่เราเอ่ยไปแล้วตอนต้นบทความคือ Moneyboys ในหนังเรื่องนั้นส่งผลต่อทางเลือกของตัวละครที่จะไม่กลับบ้านเกิดอีกเลย แล้วการไม่มีลูกหลานสืบสกุลสำหรับคนบ้านนอกที่ยังคงยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติแบบขงจื๊อถือว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย)

ขณะที่เมื่อถามถึงสถานการณ์ LGBTQ+ ในไต้หวัน ต้องนับว่าก้าวหน้าไปอย่างมาก จนถึงวันนี้นอกจากไต้หวันจะเป็นประเทศที่จัดงานเกย์ไพรด์ได้ใหญ่ที่สุดในเอเชียแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2023 ไต้หวันได้ผ่านกฎหมายคู่รักชาวเกย์สามารถร่วมกันรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมได้แล้ว ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเมื่อเดือนมกราคม ไต้หวันได้ขยายขอบเขตของการสมรสเพศเดียวกันคือยอมให้คู่รักชาวต่างชาติกับชาวไต้หวันสามารถสมรสเพศเดียวกันอย่างถูกกฎหมายได้แล้ว แต่มีข้อจำกัดเดียวคือการสมรสระหว่างชาวจีนแผ่นดินใหญ่กับชาวไต้หวันยังคงทำไม่ได้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองชาติ

การรวมชาติ…ความตึงเครียดที่แผ่ซ่านไปทุกบ้าน

ปัญหาท็อกซิกใดใด ไม่ว่าจะมลพิษสิ่งแวดล้อมหรือเศรษฐกิจที่แม้จะแก้ไม่ได้แต่ก็ยังพอทนอยู่กันไป แต่สิ่งที่ทำให้ไต้หวันตึงเครียดไปทั่วทุกหัวระแหงคือ…การรวมชาติ โดยเฉพาะหากสังเกตจากสุนทรพจน์ย้ำ ๆ หลายต่อหลายครั้งตลอดช่วงปีที่แล้วจนถึงปีใหม่ทีผ่านมานี้จะเห็นได้ว่าผู้นำจีน สี จิ้นผิง ยืนยันว่าจะเริ่มปฏิบัติการในเร็ววันนี้ ทำให้กูรูการเมืองทั้งหลายคาดว่าจีนน่าจะฉกฉวยช่วงความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งทั้งหมดล้วนระบุตรงกันว่าปีนี้ สี จิ้นผิง ต้องทำอะไรบางอย่างกับไต้หวันอย่างแน่นอน

การรวมชาติไม่ได้ถูกพูดถึงในซีรีส์เรื่องนี้ แต่เมื่อไรที่เราดูซีรีส์จากไต้หวัน ย่อมอดคิดไม่ได้ถึงกรณีการรวมชาติ เพราะมันเป็นเหมือนม่านหมอกแห่งความกังวล ความกลัว ความเครียดที่ปกคลุมไต้หวันอยู่ในทุกชั้นบรรยากาศ โดยเฉพาะเมื่อ 15 มกราคมที่ผ่านมานี้เอง นายเฉินปินหัว โฆษกจีนแผ่นดินใหญ่ประกาศกร้าวว่า “ผลการเลือกตั้งผู้นำไต้หวันคนใหม่(ที่ไม่สนับสนุนการรวมชาติ)ไม่ส่งผลต่อแผนรวมชาติของจีน เพราะคะแนนพรรค DPP ไม่ได้สะท้อนความคิดเห็นกระแสหลักของประชากรในไต้หวัน…ไต้หวันยังคงเป็นไต้หวันของจีน” ทว่าประโยคที่โฆษกรายนี้มีความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 ครั้งที่จีนอาศัยช่วงชุลมุนในวิกฤติโควิด-19 จีนได้ออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติสำหรับฮ่องกง เพื่อจัดการกลุ่มผู้ต่อต้านอย่างเบ็ดเสร็จราบคาบ ผลสำรวจในไต้หวันพบว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของชาวไต้หวันไม่เห็นด้วยต่อการกระทำอันเป็นเผด็จการเยี่ยงนี้ของจีน และมีประชากรชาวไต้หวันกว่าร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์ต่อต้านการข่มขู่ไต้หวันด้วยการใช้อำนาจทางทหารของจีน

แล้วอันที่จริงชัยชนะการเลือกตั้งของพรรค DPP (พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า Democrat Progressive Party) ที่ไม่เห็นด้วยต่อนโยบายการรวมชาติของจีน ย่อมสะท้อนให้เห็นเสียงข้างมากของประชากรที่ไม่ต้องการรวมชาติกับจีน และไม่อยากล่มสลายเหมือนที่ฮ่องกงเป็นอยู่ในตอนนี้

ทว่าสิ่งที่จีนอ้างว่าการออกเสียงเลือกตั้งไม่ใช่กระแสหลักก็มีมูลอยู่ไม่น้อย เมื่อการเลือกตั้งไต้หวันมีขึ้นในวันที่ 13 มกราที่ผ่านมา แม้ว่าผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ไล่ ชิงเต๋อ จากพรรค DPP จะได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งที่ 5,586,019 คะแนน (40.1 เปอร์เซ็นต์) แต่เมื่อเทียบกับที่ตามมาด้วยคือพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT ที่เอนเอียงไปทางสนับสนุนจีน) ได้คะแนน 4,671,021 คะแนน (33.5 เปอร์เซ็นต์)
และน่าสังเกตว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าพรรค DPP จะกุมอำนาจเสียงส่วนใหญ่ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ทำให้พรรคสามารถผ่านร่างกฎหมายได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทว่าในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดต้องนับว่าสูสีอย่างมาก เนื่องจากไม่มีฝ่ายใดได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภานิติบัญญัติ

โฆษกจีนยังคงทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า “ไต้หวันไม่อาจขัดขืนสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้…นั่นคือแนวโน้มการรวมชาติของจีน จุดยืนของจีนคือการแก้ไขปัญหาไต้หวัน และตระหนักถึงการรวมชาติเสมอมาไม่มีเสื่อมคลาย ความมุ่งมั่นของเรามั่นคงราวหินผา”

แม้ว่าจีนจะพยายามยืนยันว่าการรวมชาติจะเป็นไปโดยสันติ แต่หากสังเกตพฤติกรรมที่จีนเคยทำเอาไว้กับฮ่องกง ย่อมสร้างความกังวลต่อไต้หวันที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตยเสมอมา โดยเฉพาะคำสัตย์มั่นที่จีนเคยให้ไว้ว่า “ฮ่องกงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะเป็นหนึ่งประเทศสองระบบนับตั้งแต่คืนเกาะ(ในปี 1997) ไปอีก 50 ปี (คือในปี 2047)” บัดนี้เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าคำมั่นนั้นเป็นเท็จ และไต้หวันกำลังจะเป็นเหยื่อรายต่อไป