ThaiPublica > คอลัมน์ > Gannibal มนุษย์กินคน

Gannibal มนุษย์กินคน

14 มกราคม 2023


1721955

บทความนี้เกิดจากข้อสงสัยในคำตอบของ มาซาอากิ นิโนมิยะ ผู้เขียนมังงะต้นฉบับ Gannibal (2018-2021) ที่กำลังทะยอยสตรีมมิ่งผ่านช่องดิสนีย์อยู่ตอนนี้ เขาบอกว่า “ธรรมเนียมการกินเนื้อมนุษย์มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว อย่างน้อยเท่าที่สืบค้นไปก็เมื่อสมัยสงครามโลกนี้เอง” ทำให้เราลองค้นดูก็พบว่าเป็นเช่นนั้นจริง และเรื่องจริงสยองกว่าเรื่องแต่งไหน ๆ ทั้งสิ้น

Gannibal (2022) มินิซีรีส์ 7 ตอนจบ ดัดแปลงจากส่วนหนึ่งของมังงะที่มีทั้งหมด 13 เล่ม 120 ตอน ซึ่งเท่าที่เราลองอ่านมาแล้วก็พบว่าเนื้อหาในซีรีส์เป็นเพียงส่วนเกริ่นเรื่องในช่วง 4 เล่มแรกเท่านั้นที่เล่าค่อนข้างตรงกันอย่างมากกับฉบับมังงะ ตัวซีรีส์กำกับโดย ชินโซ คาตะยามะ ที่เคยผ่านงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของ บองจุนโฮ มาแล้วในหนัง Tokyo และ Mother รวมถึงเป็นผู้ช่วยซีรีส์เน็ตฟลิกซ์แฉวงการหนังโป๊ใน The Naked Director (2019) ได้มือเขียนบทจากหนังออสการ์ Drive My Car (2021) ยิ่งทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สมจริงขึ้นไม่ดูเป็นการ์ตูนจนเกินไป

ตัวเรื่องเกี่ยวกับ อางาวะ ไดโก (นักแสดงรางวัลคานส์ ยูยะ ยากิระ) ตำรวจหนุ่มเลือดร้อนถูกย้ายมาอยู่เมืองบ้านนอกไกลความเจริญ เขาย้ายมาอาศัยเมืองนี้พร้อมกับ ยูกิ (ริโฮ โยชิโอกะ) และ มาชิโระ (โคโคเนะ ชิมิสึ น้องแค่ 8 ขวบแต่แสดงดีเหลือเกินเคยผ่านงานแสดงมาแล้ว 13 เรื่อง!) เมียและลูกสาว ที่พวกเขาต้องปรับตัวให้เข้ากับผู้คนในเมืองนี้ที่เหมือนชาวเมืองจะแบ่งเป็นสองพวก คือ พวกตระกูลโกโต ที่มีโรงงานตัดและแปรรูปไม้ โดยมีชาวเมืองที่เหลือเป็นเหมือนลูกจ้าง ความต่างฝ่ายต่างขัดแย้งกันแต่ก็ต่างต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกันก็เกิดขึ้น เมื่อพวกโกโตมีวัฒนธรรมประจำตระกูลที่ค่อนข้างแปลก ส่วนชาวเมืองเองก็มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นทั่วถึงกันอย่างแปลก ๆ ด้วยความเป็นเมืองเล็ก และหนึ่งในนิสัยแปลก ๆ ธรรมเนียมแปลก ๆ ที่คนดูจะรู้ตั้งแต่ในตัวอย่างแล้วคือ การกินเนื้อมนุษย์

อย่างที่ผู้อ่านคอลัมน์นี้น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่า คอลัมน์เราไม่ใช่งานวิจารณ์หรือแค่แนะนำซีรีส์ แต่เป็นการขุดคุ้ยมุมมองทางสังคมไปจนเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และประเด็นที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกก็คือ…

คนญี่ปุ่นกินเนื้อคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

คนไทยเราอาจจะมองทหารญี่ปุ่นว่าสุดคิ้วตั้งแต่เรามีนิยายรักพบกันที่ทางช้างเผือก ระหว่างทหารในพระมหาจักรพรรดิ์ญี่ปุ่นกับสาวเสรีไทยอย่าง โกโบริและอังศุมาลิน ใน คู่กรรม (1969) ที่ถูกดัดแปลงเป็นละครทีวี 6 เวอร์ชั่น และหนัง 4 เวอร์ชั่น ยังไม่ได้นับรวมละครเวทีอีกไม่รู้กี่เวอร์ชั่น นิยายแต่งโดย คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ หรือทมยันตี ฝ่ายอนุรักษ์นิยมอัลตร้ารอยัลลิสต์ผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดมกลุ่มคลั่งชาติลุกขึ้นมาไล่ฆ่านักศึกษากลางเมืองในช่วง 6 ตุลา 1976 จนได้รับตำแหน่งทางการเมืองหลายตำแหน่งจากฝ่ายทหาร รวมถึงเครื่องราชและชั้นยศคุณหญิง

โดยเฉพาะเวอร์ชั่นหนังใหญ่ล่าสุดในปี 2013 ที่ได้ ณเดชน์ คุกิมิยะ มารับบทโกโบริ ภาพในจินตนาการของชาวไทยตลอดมาจึงเป็นผู้ชายประมาณนี้แหละ ธงไชย แมคอินไตย, บี้ สุกฤษณ์, ศรราม, วรุฒ, นาท ภูวนัย, นิรุตต์ รวมถึงเจ้าของตำแหน่งแชมป์ชายงามจากภาคเหนือ ชนะ ศรีอุบล

ถ้าคู่กรรมเล่าเรื่องในปี 1939 หากย้อนไปในประวัติศาสตร์โลกจริง ๆ เพียง 2 ปีก่อนหน้านั้นในปี 1937 อยากให้ผู้อ่านลองเสิร์ชเล่น ๆ คำว่า Nanjing Massacre หรือ Rape of Nanjing 1937 ในกูเกิล จะรู้ว่าทหารของฝ่ายพระมหาจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ในยุคโชวะ เคยกระทำตำบอนอะไรไว้บ้างในสมัยสงครามโลก แล้วที่ต้องรบกวนผู้อ่านลองเสิร์ชดู เพราะภาพเหล่านั้นคงไม่สามารถนำมาประกอบบทความชิ้นนี้ได้เลย มันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เกินไป (หนึ่งในนั้นคือการข่มขืนเด็กทารกแล้วเหวี่ยงศพทิ้งหรือใช้เป็นเป้าซ้อมดาบยาว) นี่ยังไม่นับกรณียูนิตที่731 ที่เคยถูกดัดแปลงเป็นหนัง(ไต้หวัน/ฮ่องกง) จับคนมาทำเชื้อโรค หรือ Men Behind the Sun (1988) ด้วยการพัฒนาอาวุธทางชีวภาพทดลองกับร่างกายมนุษย์จริง ๆ ซึ่งก็คือเหยื่อเชลยศึกทั้งหลายที่แต่ละการทดลองต้องเรียกว่าเกินกว่าจินตนาการว่ามนุษย์สามารถกระทำกับมนุษย์ด้วยกันได้เยี่ยงนี้เชียว

ดังนั้นโปรดสลัดภาพ ณเดชน์ ออกไปจากหัวก่อนจะอ่านบทความนี้ต่อไป เพราะการกระทำของทหารญี่ปุ่นยุคนั้นไม่ได้หล่อคิ้วแสนดีอย่างในนิยายทมยันตี ที่ว่ากันว่านักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อกันว่าทหารญี่ปุ่นนั้นเลวร้ายกว่านาซีฮิตเลอร์หลายขุมนรก (ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าในแถบเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่นน่าจะสังหารหมู่รวม ๆ แล้วราวสามสิบล้านคน ขณะที่สมัยนาซีฆ่าประมาณ 17ล้านคน)

เมื่อปี 2015 ในบทสัมภาษณ์กับ เดอะการ์เดียน โทชิโอะ โตโนะ ศัลยแพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้ไม่สามารถแบกรับฝันร้ายที่เขาพบเห็นได้อีกต่อไป ทำให้เขาละอายใจมาชั่วชีวิตที่จำต้องสวมชุดกาวน์สีขาวที่เขาไฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากเป็นสูตินรีแพทย์ ถึงกระนั้นในสมัยสงครามโลก ตอนเขาอยู่ชั้นปี 1 ในโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยคิวชูอิมพีเรียลทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โตโนะ ก็ได้กลายเป็นพยานรู้เห็นอย่างไม่เต็มใจต่อการสังหารโหด

ตอนนั้นเขาคิดว่าเมื่อเครื่องบิน B-29 ของสหรัฐตกลงบนเกาะคิวชู นักบินอเมริกันที่รอดชีวิตมาได้จะแค่ถูกจับเป็นเชลย เชลยพวกนั้นถูกนำตัวมาที่โรงเรียนของเขา โตโนะ เล่าว่า “วันหนึ่งนักโทษสองคนถูกปิดตานำตัวขึ้นรถบรรทุกมาที่โรงเรียน ไปยังห้องแล็บพยาธิวิทยา…มีทหารสองนายยืนคุ้มกันอยู่หน้าห้อง ผมสงสัยว่าจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับพวกเขา…แต่ไม่นึกว่ามันจะเลวร้ายได้ขนาดนั้น”

ข่าวเด่นในหน้าหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นยุคนั้น คนซ้ายใช้ดาบฟันคนจีนตาย 106 คน ส่วนคนขวา 105 คน

ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรสองคนนี้กลายเป็นตัวอย่างสำหรับการทดลองที่น่ากลัวหลายอย่าง อวัยวะจะค่อย ๆ ถูกเฉือนออกนำมาทดลองทีละส่วน หรือบางส่วนก็จะถูกฉีดด้วยสารเคมีหลาย ๆ ตัวเพื่อทดลองทางการแพทย์ บางทีก็เพาะเชื้อโรคลงไป หรือไม่ก็เจาะกะโหลกทั้งเป็น เพื่อทดสอบดูการทำงานของเส้นประสาทหรือสมองบางส่วน

“หลายคนเชื่อว่าการทดลองเหล่านี้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ผมยืนยันได้เลยว่า ไม่มี มันเป็นเพียงวิธีทรมานอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการทำให้เชลยแต่ละรายเสียชีวิต… ผมขนหัวลุกกลัวไปหมด แต่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังไม่ได้ ทุกวันนี้เราได้แต่คิดถึงความเลวร้ายที่สหรัฐเคยบอมบ์นิวเคลียร์ถล่มเรา แต่เมื่อมองย้อนกลับไป…อาจเป็นเราเองที่ทำเรื่องชั่วร้ายกว่านั้น” — โทชิโอะ โตโนะ
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของโตนะเกี่ยวกับการทดลองทางการแพทย์ด้วยทหารพันธมิตรนั้นไม่ได้แย่ที่สุด ตามที่เขาอ้าง เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นได้รับคำสั่งให้นำอวัยวะบางส่วนออกจากร่างของเหยื่อเพื่อปรุงและเสิร์ฟ แล้วพวกทหารก็เลี้ยงฉลองกัน

ปกต้นฉบับมังงะ

เนื้อมนุษย์เพื่อความอยู่รอด

ในสมรภูมิรบแปซิฟิกมีบันทึกเรื่องราวจากส่วนต่าง ๆ ในเอเชียยืนยันว่าการกินเนื้อมนุษย์เกิดขึ้นจริง และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อไม่ได้เป็นเพียงเชลยศึกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลเรือนผู้บริสุทธิ์ด้วย

ในจังหวัดบูกิดนอนที่ห่างไกลทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ มีการบันทึกเหตุการณ์การกินเนื้อคนโดยทหารญี่ปุ่นไว้ด้วย จากงานวิจัยที่เขียนโดย โรแลนโด เอสตาบัน เล่าว่า ‘10 ชั่วโมงหลังจากที่พวกเขาทิ้งระเบิดเพิร์ลฮาร์เบอร์ ญี่ปุ่นก็เข้ายึดครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ในเวลานั้นฟิลิปินส์เป็นเครือจักรภพของสหรัฐ ญี่ปุ่นเอาชนะกองกำลังร่วมของชาวฟิลิปปินส์และชาวอเมริกัน ซึ่งนำไปสู่การยอมจำนนของประเทศต่อชาวนิปปอนเป็นเวลาสี่ปี’

เอสตาบันอ้างถึงยามาโมโตะ หนึ่งในผู้กินเนื้อคนในฟิลิปปินส์ แต่ไม่ใช่กับเชลยศึก หรือพลเรือนใด ๆ แต่ในหมู่ทหารของจักรวรรดิด้วยกันเอง เขาบันทึกไว้ว่า ‘อดีตนาวาโท ยามาโมโตะ บังเอิญก่อเหตุตวัดดาบไปถูกเพื่อนร่วมกองทัพจนเสียชีวิต เขาและเพื่อน ๆ จึงร่วมกันกินเนื้อของนายทหารผู้นั้น’

ในหนังสือปี 1996 โดย ราดาโอะ ทานากะ เรื่อง The Hidden Horrors: Japanese War Crime in World War II ได้บันทึกถึงอาชญากรรมที่ทหารญี่ปุ่นก่อเอาไว้ในฟิลิปปินส์ เช่น การข่มขืน การฆาตกรรม การล่วงประเวณี และการกินเนื้อคน ทานากะเขียนเอาไว้ว่า ‘ในระหว่างสงคราม ความหิวโหยทำให้ทหารญี่ปุ่นต้องกินเนื้อของสหาย ศัตรู และพลเรือน ก่อนที่ทหารเหล่านี้จะเข้าสู่สนามรบ การกินเนื้อคนเป็นส่วนหนึ่งของหลักคำสอนทางทหารอยู่แล้วในระหว่างการฝึก’ ทานากะเสริมว่า ‘กองบัญชาการกองทัพจักรวรรดิได้เตรียมทหารให้ยอมรับการกินเนื้อคนในกรณีสุดวิสัย รวมถึงนำไปใช้เป็นยุทธวิธีในแนวรบ ส่วนหนึ่งเป็นการปลูกฝังให้เชื่อว่าศัตรูก็คือเนื้อหมู เชลยอเมริกันกับออสเตรเลียเป็นหมูขาว ส่วนพวกอินเดียและแขกปากีฯคือหมูดำ’

ในปี 1944 กองพลที่สิบแปดของญี่ปุ่นติดอยู่บนเกาะนิวกีนีหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรบดขยี้การโจมตีตอบโต้ในยุทธการที่แม่น้ำดริเนียมมอร์ ทหารออสเตรเลียเข้ายึดครองพื้นที่และกวาดล้างทหารญี่ปุ่นที่หลงเหลืออยู่ในพื้นที่ กำลังของฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มอ่อนแอลงอย่างมากเมื่อฝ่ายพันธมิตรทำลายเสบียงทางเรือ จากกองกำลังสองหมื่นนายลดจำนวนลงเหลือเพียงไม่ถึงพันนาย แต่จำนวนหนึ่งไม่ได้ตายในการสู้รบ แต่ตายเพื่อเป็นอาหารของทหารญี่ปุ่นบางคนที่แข็งแรงกว่า

(รูปซ้าย) บุชสมัยหนุ่ม ๆ (รูปขวา) บุชขณะได้รับความช่วยเหลือ

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยเกือบถูกจับกิน

เป็นความโชคดีที่แท้ทรู อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนหนึ่งสามารถหลีกเลี่ยงความโฉดชั่วของทหารญี่ปุ่นมาได้ เขาไม่ใช่ใครอื่นแต่คือประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช บิดาของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช จากหนังสือของเจมส์ แบรดลีย์ เรื่อง Flyboys เล่าว่า ‘ตอนบุชอายุ 20 ปีทำหน้าที่เป็นหนึ่งในนักบินของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินของพวกเขาถูกยิงตกโดยศัตรูหลังจากการทิ้งระเบิดเหนือเกาะเล็ก ๆ ของชิชิจิมะ นักบินทั้งเก้าพยายามหลบเลี่ยงการถูกจับโดยชาวญี่ปุ่น แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่โชคดีพอที่จะหลบหนีได้ก็คือ บุช

บุชและนักบินของเขาเผชิญกับการยิงต่อต้านอากาศยานที่รุนแรง เครื่องบินของบุชโดนสะเก็ดระเบิดก่อนจะไฟลุกพรึ่บ เขาทิ้งระเบิดลงเหนือเป้าหมาย ก่อนจะหนีออกมาได้’

แบรดลีย์ยังเล่าถึงชะตากรรมของอีกแปดคนที่หนีออกมาจากญี่ปุ่นไม่ได้ บางคนถูกดาบฟันหัวขาด ขณะที่นักบิน 4 คนในจำนวนนี้ถูก ‘ศัลยแพทย์ตัดตับและกล้ามเนื้อต้นขาออก จากนั้นจึงเตรียมเนื้อให้เจ้าหน้าทหารญี่ปุ่นกิน’ เขาเสริมด้วยว่า ‘ทหารญี่ปุ่นทำสเตกเนื้อคนด้วยการหั่นต้นขาออกมาเป็นชิ้นเนื้อขนาด 4 นิ้วคูณ 12 นิ้ว หนักหกปอนด์ แล้วปรุงด้วยโชยุกินกับผักดอง ก่อนจะล้างปากด้วยสาเกร้อน’

บุชถูกพัดพาออกไปไกลจากเกาะหลังจากออกจากเครื่องบิน นักบินคนอื่นพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องบุชขณะอยู่ในน้ำ พวกเขาคอยระวังไม่ให้มีเรือของศัตรูเข้ามาใกล้เขา หลังจากรอคอยลอยคออยู่นานสี่ชั่วโมง บุชก็ได้รับการช่วยเหลือจากเรือดำน้ำ USS Finback ที่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา

คดีทางกฎหมายที่ฟ้องญี่ปุ่น

กองทัพออสเตรเลียช่วยเหลือทหารอินเดียคนหนึ่งที่อ่าว Sepik ในปี 1945 เขาชื่อ เยมาดาร์ อับดุล ลาตีฟ หนึ่งในเชลยศึกชาวญี่ปุ่น ลาตีฟฟ้องญี่ปุ่นในข้อหากินเนื้อคน เขาอ้างว่าทหารเหล่านี้กินชาวบ้านในท้องถิ่นในนิวกินีเช่นเดียวกับเชลยศึกชาวอินเดีย ‘ที่หมู่บ้าน Suaid เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของญี่ปุ่นได้ไปเยี่ยมพื้นที่ของอินเดียเป็นระยะ ๆ และเลือกผู้ชายที่มีสุขภาพดีที่สุดในแต่ละครั้ง คนเหล่านี้ถูกพาตัวไป…และไม่ปรากฏตัวอีกเลย’ – ไทม์สออฟลอนดอน 1946

ข้อกล่าวหาของ ลาตีฟ ได้รับการสนับสนุนและเสริมความแข็งแกร่งด้วยแถลงการณ์สาบานที่ยื่นต่อคณะกรรมการสืบสวนอาชญากรรมสงครามที่จัดตั้งขึ้นโดยฝ่ายพันธมิตร มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 1945 ว่า “จากชาย 300 คนที่ไปกับข้าพเจ้า มีเพียง 50 คนเท่านั้นที่กลับออกไป สิบเก้าถูกกิน แพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้หนึ่งร้อยโททูมิซา จัดตั้งกลุ่มชายสามหรือสี่คนคุมตัวชาวอินเดียออกไปนอกค่าย แล้วฆ่าเชลยเหล่านั้นทันทีและกินเนื้อจากร่างกายของเขา ตั้งแต่ตับ กล้ามเนื้อ บั้นท้าย ต้นขา ขา และแขนจะถูกตัดออกมาปรุงสุก”

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 1945 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นคนหนึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหากินเนื้อมนุษย์ 14 กระทง และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต “ร้อยโทฮิซาตะ โทมิยาสุชาวญี่ปุ่นที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีสังหารทหารอินเดีย 14 นายและการกินเนื้อคนในเววัก (นิวกินี) ในปี 1943 ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ”

มนุษย์กินคนชาวญี่ปุ่นเพิ่งเสียชีวิต และเขาเป็นคนดัง

ในปี 1981 มนุษย์กินคน อิสเซย์ ซากาวะ ฆาตกรชาวญี่ปุ่นผู้มีฉายาว่า มนุษย์กินคนแห่งโกเบ ได้ฆ่าคู่นอนของเขา เรอเน่ ฮาร์ทเวลต์ และกินศพเธอ แต่ไม่เคยโดนจับเลย ซ้ำยังมีอิสระในการเดินถนน และเพิ่งเสียชีวิตด้วยภาวะปอดบวมแทรกซ้อนเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2022 ด้วยวัย 73 ปี

ซากาวะเกิดที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น กำลังศึกษาวรรณคดีเปรียบเทียบในปารีสในช่วงเวลาที่เขาก่ออาชญากรรม เขาเกือบจะถูกจับและถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลจิตเวชในทันที แต่หลังจากส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังญี่ปุ่น เขาก็สามารถไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งอื่นได้เนื่องจากช่องโหว่ทางกฎหมาย และยังคงเป็นอิสระจนถึงทุกวันนี้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาหาเลี้ยงชีพจากการก่ออาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเขากลายเป็นคนดังระดับรอง ๆ ในญี่ปุ่นด้วยซ้ำ เขาได้ปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์หลายรายการและเขียนนิยายมังงะที่พรรณนาถึงการฆ่าและการกินฮาร์ทเวลต์ เขายังแสดงหนังโป๊แบบซอล์ฟคอร์หลายเรื่อง และมีฉากที่เขากัดนักแสดง

ตลอดชีวิตของเขาไม่เคยกลับตัวกลับใจ เขาจะพูดอย่างเย็นชาเกี่ยวกับอาชญากรรมของเขา ราวกับว่าเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลก

ซากาวะเกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 1949 และตราบเท่าที่เขาจำความได้ เขามีความปรารถนาที่จะกินเนื้อมนุษย์และหลงใหลในการกินเนื้อมนุษย์ เขาจำได้ด้วยความชื่นชอบที่ลุงของเขาแต่งตัวเป็นสัตว์ประหลาดและหย่อนเขาและน้องชายลงในหม้อสตูว์ เขาค้นหานิทานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่ถูกกิน และเรื่องโปรดของเขาคือฮันเซลกับเกรเทล เขาจำได้แม้กระทั่งการสังเกตเห็นขาอ่อนของเพื่อนร่วมชั้นตอนป.1 และคิดว่า “อืม น่ากินจัง”

เขาตำหนิการที่สื่อเป็นตัวแทนของผู้หญิงตะวันตกอย่างเกรซ เคลลี ที่จุดประกายจินตนาการเกี่ยวกับการกินเนื้อคนของเขา โดยเปรียบกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่เรียกว่าความต้องการทางเพศ ที่ซึ่งคนอื่น ๆ ฝันถึงการหลับนอนกับสาวสวยระดับนี้ แต่ซากาวะ ใฝ่ฝันที่จะได้กินพวกเธอ
“มันเป็นเพียงเครื่องราง” ซะกาวะกล่าว “ยกตัวอย่าง ถ้าผู้ชายทั่วไปชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาย่อมรู้สึกอยากเจอเธอให้บ่อยที่สุด อยู่ใกล้เธอ อยากหอมเธอและจูบเธอ จริงไหม? สำหรับผม การกินก็คล้าย ๆ แบบนั้น ตรงไปตรงมา ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงไม่รู้สึกอยากที่จะกินคนอื่น ๆ”

อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าเขาไม่เคยคิดที่จะฆ่าคน เขาเพียงแต่ “แทะเนื้อพวกเขา” ตัวเขาเตี้ยและผอม ขาเหมือนดินสอเขาเขียนไว้ในหนังสือขายดีที่เขาเขียนเอง In the Fog และเขาเชื่อว่าด้วยความสูงไม่ถึง 5 ฟุต เขาจึงน่ารังเกียจเกินกว่าจะดึงดูดความใกล้ชิดทางกายที่จะลดทอนความปรารถนาอยากกินของเขาได้

แม้ว่า ซากาวะ จะเคยพยายามไปพบจิตแพทย์ แต่เขาก็พบว่ามันไม่ช่วยอะไรเลยและถอยกลับไปอยู่ในจิตใจที่แยกตัวออกมา จากนั้นในปี พ.ศ. 1981 หลังจากเก็บกดความปรารถนาเป็นเวลา 32 ปี ในที่สุดเขาก็ได้ลงมือทำตามนั้น เขาย้ายไปปารีสเพื่อศึกษาวรรณคดีที่ Sorbonne ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยของรัฐ เมื่อไปถึงที่นั่น เขากล่าวว่า ความต้องการกินเนื้อคนของเขาเข้าครอบงำ

“เกือบทุกคืนผมจะพาโสเภณีมาที่บ้านแล้วพยายามยิงพวกเขาจากด้านหลัง” เขาเขียนในIn the Fog “ความอยากกินลดน้อยลง แต่กลายเป็นความหมกมุ่นกับความคิดที่ว่าฉันแค่ต้องทำ ‘พิธีกรรม’ ในการกินผู้หญิงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

ในที่สุดเขาก็พบเหยื่อที่สมบูรณ์แบบ เรอเน่ ฮาร์ทเวลต์ เป็นนักเรียนชาวดัตช์ที่เรียนคลาสเดียวกับ ซากาวะ เขาผูกมิตรกับเธอ โดยบางครั้งก็ชวนเธอไปทานอาหารเย็นที่บ้านของเขา เมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาได้รับความไว้วางใจจากเธอ

เขาพยายามฆ่าเธอเพียงครั้งเดียว แต่ไม่สำเร็จ ก่อนที่จะลงมือฆ่าเธอจริง ๆ ครั้งแรกปืนพลาดเมื่อเธอหันหลัง “มันทำให้ผมคลั่งไคล้มากยิ่งขึ้นและผมรู้ว่าผมแค่ต้องกินเธอ” เขากล่าว

ในคืนถัดไปเขาทำอีก คราวนี้ปืนลั่นและ ฮาร์ทเวลต์ถูกฆ่าตายทันที ซากาวะรู้สึกสำนึกผิดเพียงชั่วครู่ก่อนที่เขาจะร่าเริง “ผมคิดจะเรียกรถพยาบาล” เขาเล่า “แต่แล้วผมก็คิดว่า ‘เดี๋ยวก่อน อย่าโง่ แกฝันถึงเรื่องนี้มาตลอด 32 ปี และตอนนี้มันกำลังเกิดขึ้นจริง!’” ทันทีหลังจากฆ่าเธอ เขาข่มขืนศพของเธอและเริ่มผ่าท้องเธอ “สิ่งแรกที่ฉันทำคือตัดบั้นท้ายของเธอ กรีดลึกแค่ไหนก็เห็นแต่ไขมันใต้ผิวหนัง มันดูเหมือนข้าวโพด และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะได้เนื้อแดงจริง ๆ” ซากาวะเล่า

“ตอนเห็นชิ้นเนื้อ ผมฉีกชิ้นเนื้อนั่นด้วยนิ้วมือแล้วโยนมันเข้าปาก มันเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์สำหรับผมอย่างแท้จริง” ในท้ายที่สุด เขาบอกว่าสิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือเขาไม่ได้กินเธอในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่

สองวันหลังจากฆ่า ฮาร์ทเวลต์ ซากาวะก็กำจัดสิ่งที่เหลืออยู่ในร่างกายของเธอ เขาแช่แข็งบริเวณอุ้งเชิงกรานของเธอ ดังนั้นเขาจึงใส่ขา ลำตัว และศีรษะของเธอลงในกระเป๋าเดินทางสองใบและเรียกรถแท็กซี่ แท็กซี่ไปส่งเขาที่สวน Bois de Boulogne ที่มีทะเลสาบเงียบสงบอยู่ข้างใน เขาวางแผนที่จะทิ้งกระเป๋าเดินทางลงในนั้น แต่หลายคนสังเกตเห็นว่ากระเป๋าเดินทางมีเลือดไหลจึงแจ้งตำรวจฝรั่งเศส เมื่อตำรวจพบซากาวะและซักถามเขา คำตอบของเขาคือยอมรับง่ายๆ ว่า “ผมฆ่าเธอเพื่อกินเนื้อเธอ” เขากล่าว

ซากาวะ รอการพิจารณาคดีเป็นเวลาสองปีในเรือนจำฝรั่งเศส เมื่อถึงเวลาพิจารณาคดีในที่สุด ฌอง-หลุยส์ บรูกีแยร์ ผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสประกาศว่าเขาวิกลจริตตามกฎหมายและไม่เหมาะที่จะขึ้นศาล ถอนข้อกล่าวหาและสั่งให้เขาถูกคุมขังในสถานบำบัดจิตอย่างไม่มีกำหนด จากนั้นเขาก็ถูกเนรเทศกลับญี่ปุ่น ซึ่งเขาควรจะใช้เวลาที่เหลือในโรงพยาบาลจิตเวชของญี่ปุ่น แต่เขาไม่ได้ทำ เนื่องจากข้อกล่าวหาในฝรั่งเศสถูกยกเลิก เอกสารของศาลจึงถูกปิดผนึกและไม่สามารถเปิดเผยต่อทางการญี่ปุ่นได้ ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงไม่มีคดีกับซากาวะ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาเป็นอิสระ

ซากาวะ ได้ละเว้นจากการกินเนื้อคน แต่นั่นไม่ได้หยุดเขาจากการใช้ประโยชน์จากอาชญากรรมของเขา เขาเขียนรีวิวร้านอาหารให้กับนิตยสารญี่ปุ่นSpa และประสบความสำเร็จในการบรรยายเกี่ยวกับความอยากอาหาร และอาชญากรรมของเขา จนถึงทุกวันนี้เขาได้ตีพิมพ์หนังสือไปแล้ว 20 เล่ม หนังสือเล่มล่าสุดของเขามีชื่อว่า Extremely Intimate Fantasies of Beautiful Girls ที่เต็มไปด้วยรูปภาพที่วาดโดยตัวเขาเอง ร่วมกับศิลปินชื่อดัง ๆ อีกหลายคน

“ผมหวังว่าอย่างน้อยคนที่อ่านมันจะเลิกคิดว่าผมเป็นสัตว์ประหลาด” เขากล่าว