ASEAN Roundup ประจำวันที่ 17-23 ธันวาคม 2566
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียหนุนใช้เงินริงกิตในการค้า ลดพึ่งพาดอลลาร์

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า ในปีนี้ค่าเงินริงกิตมาเลเซียอ่อนค่าลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 ปีในช่วงปลายเดือนตุลาคม เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกค้าขายโดยใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก การอ่อนค่าของสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละประเทศจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าในประเทศนั้นเพิ่มขึ้น และเพิ่มภาระให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ที่มีหนี้ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Nikkei Asia ในโตเกียวเมื่อวันอาทิตย์ (17 ธ.ค.) นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวว่า เงินริงกิตมาเลเซียยังคงอ่อนค่าลง แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในประเทศมาเลเซียจะดีขึ้นก็ตาม
“เศรษฐกิจมีการเจริญเติบโตดี การว่างงานต่ำ อัตราเงินเฟ้อต่ำ การลงทุนเริ่มเข้ามา แล้วริงกิตอ่อนค่าลงอย่างไร? สิ่งนี้ขัดแย้งกับพื้นฐานของเศรษฐกิจ แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้” นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าว และว่า “ใช่ สาเหตุมาจากเฟด”
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ยอมรับว่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีความสำคัญ และมาเลเซียไม่ได้ตั้งใจที่จะเลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐโดยสิ้นเชิง “ผมไม่ได้ตั้งใจให้มาเลเซียหยุดใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีความสำคัญในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ แต่เราต้องการค่อยๆ ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ”
รายงานระบุว่ามาเลเซียได้ส่งเสริมการใช้ริงกิตกับคู่ค้าในภูมิภาคบางส่วน ธนาคารกลางของมาเลเซียกล่าวว่า 19.7% ของการค้ากับไทยเป็นสกุลเงินท้องถิ่น ณ เดือนกันยายน ความร่วมมือทางการค้ากับอินโดนีเซียใช้เงินสกุลท้องถิ่น 17% และกับจีน 23.3%
อันวาร์ดึงการลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาเลเซีย 6.6 พันล้านริงกิต

มาเลเซียยังคาดว่า จะมีความเป็นไปได้ในการส่งออกไปยังญี่ปุ่นมูลค่า 700 ล้านริงกิต ตามที่กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียระบุ เมื่อรวมข้อผูกพันที่ได้จากการเดินทางของเจ้าหน้าที่การค้ามาเลเซียในเดือนมิถุนายน การลงทุนที่เป็นไปได้ทั้งหมดจากญี่ปุ่นในปีนี้จะสูงถึง 29.6 พันล้านริงกิต ในขณะที่การส่งออกที่คาดว่าจะมีมูลค่า 2.8 พันล้านริงกิต กระทรวงระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (19 ธ.ค.) .
ก่อนหน้านี้ นายอันวาร์คาดว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากญี่ปุ่นจะเกิน 30,000 ล้านริงกิตในปีนี้
การลงทุนครั้งใหม่จะมุ่งเน้นไปที่ “ภาคส่วนเป้าหมาย” ของมาเลเซีย รวมถึงพลังงานทดแทน ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจเคมีและดิจิทัล ดาโต๊ะซาฟรุล อาซิส รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของมาเลเซีย กล่าวในแถลงการณ์
นายอันวาร์ ได้พบกับผู้บริหารจาก ROHM Wako, NEC และ Mitsui ระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่นเป็นเวลา 5 วัน ตามรายงานของกระทรวง ซึ่งเป็นภารกิจล่าสุดพร้อมกับการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นในวาระครบรอบ 50 ปี
เวียดนาม-ไทย-ฟิลิปปินส์ตกลงร่วมมือส่งออกข้าว

เวียดนามได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับไทยและฟิลิปปินส์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการส่งออกข้าว เป็นหลักประกันความมั่นคงด้านอาหารในระดับภูมิภาคและระดับโลก
การบรรลุฉันทามติดังกล่าวมีขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์จิ่ง ของเวียดนามหารือกับนายกรัฐมนตรีไทย นายเศรษฐา ทวีสิน และประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ นอกรอบการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์(17 ธ.ค.) ที่กรุงโตเกียว
นายกรัฐมนตรีเวียดนามและไทยตกลงที่จะยกระดับการค้าสองทางระหว่างทั้งสองประเทศเป็น 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเร็วๆ นี้ โดยการสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากขึ้นสำหรับการนำเข้าและส่งออกสินค้า รวมถึงข้าว
ปัจจุบันประเทศไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนามในอาเซียน โดยมีมูลค่าการนำเข้าและส่งออกสูงถึง 21.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปีที่แล้ว ขณะเดียวกันก็เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่อันดับที่ 9 ในเวียดนาม
เวียดนามและไทยจะดำเนินโครงการริเริ่ม “สามการเชื่อมต่อ” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่พื้นที่ใหม่ๆ เช่น การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงสีเขียว และเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายกรัฐมนตรีเวียดนามและประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ตกลงที่จะยกระดับความร่วมมือในการส่งออกข้าว เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระดับภูมิภาคและระดับโลก เพราะทั้งสองประเทศส่งออกข้าวไปยังหลายประเทศ และฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวเวียดนาม
ในบรรดาผู้นำเข้าข้าวของเวียดนาม ปัจจุบันฟิลิปปินส์นำเข้ามากที่สุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าว 2.4 ล้านตัน มูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจากเวียดนาม
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทแสดงให้เห็นว่าในช่วง 11 เดือนแรก เวียดนามมีรายได้ 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯจากการส่งออกข้าว 7.75 ล้านตันไปยังหลายประเทศทั่วโลก
ราคาเฉลี่ยของข้าวเวียดนามอยู่ที่ 568 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และอาจสูงถึงเกือบ 650 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
อินโดนีเซียซื้อข้าวอินเดีย-ไทย

ประธานาธิบดีโจโกวี กล่าวว่า แม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของอินโดนีเซียจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังคงกังวลเกี่ยวกับราคาอาหารและการนำเข้าจะช่วยรักษาอุปทานในประเทศ
“ผมยังคงกังวลเมื่อพูดถึงสินค้าโภคภัณฑ์อาหาร ซุปเปอร์เอลนิโญในปีนี้ทำให้การผลิตข้าวของเราลดลง และในปี 2567 เราคาดการณ์ว่าจะไม่กลับสู่ระดับปกติ” เขากล่าวในงานเสวนาแนวโน้มเศรษฐกิจในกรุงจาการ์ตา
ประธานาธิบดีโจโกวีกล่าวว่า เขาได้พบกับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ของไทยในระหว่างการประชุมผู้นำญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และขอนำเข้าข้าวจากไทย
อินโดนีเซียเล็งใช้ CPTPP รุกตลาดละตินอเมริกา

นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีอาวุโส อินโดนีเซียกล่าวเมื่อวันศุกร์(22 ธ.ค.)ว่า ข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าของกลุ่มการค้าสำหรับหุ้นส่วนภาคพื้นแปซิฟิก หรือที่รู้จักในชื่อ Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership(CPTPP) อาจเป็นประตูสู่ตลาดละตินอเมริกาของอินโดนีเซีย
นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวว่า อินโดนีเซียควรพิจารณาที่จะขยายการส่งออกเพื่อเป็นแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ CPTPP อาจเป็นกุญแจสำคัญเนื่องจากกลุ่มการค้าประกอบด้วยเศรษฐกิจละตินอเมริกาหลายแห่ง เช่น เม็กซิโก ชิลี และเปรู สมาชิก CPTPP อื่นๆ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไนดารุสซาลาม แคนาดา ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และเวียดนาม
“เราจำเป็นต้องพิจารณาเจาะตลาดละตินอเมริกานอกเหนือจากแอฟริกา CPTPP กลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่เราสามารถเข้าสู่ตลาดละตินอเมริกาได้อย่างรวดเร็ว” นายแอร์ลังกากล่าวในการประชุมในกรุงจาการ์ตาเมื่อวันศุกร์
“[CPTPP] สามารถเปิด [การเข้าถึงตลาด] ไปยังแคนาดา เม็กซิโก ชิลี และเปรู ได้พร้อมกัน” นายแอร์ลังกากล่าว
เมื่อไม่นานมานี้ อินโดนีเซียค่อนข้างเปิดกว้างต่อแนวคิดในการเป็นส่วนหนึ่งของ CPTPP โดยเมื่อเดือนที่แล้ว นายแอร์ลังกาได้พบกับดาเมียน โอคอนเนอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการค้าของนิวซีแลนด์ในขณะนั้น นอกรอบการประชุมกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ในซานฟรานซิสโก
“… (อินโดนีเซีย) กำลังศึกษาโอกาสในการเข้าร่วม CPTPP” นายแอร์ลังกาบอกกับโอคอนเนอร์
แถลงการณ์ของรัฐมนตรีอีกฉบับรายงานว่า CPTPP กลายเป็นประเด็นสำคัญเมื่อริชาร์ด เกรแฮม ทูตการค้าของนายกรัฐมนตรีอังกฤษประจำอินโดนีเซียพูดคุยกับนายแอร์ลังกาในกรุงจาการ์ตาเมื่อเดือนพฤศจิกายน อังกฤษได้ลงนามในระเบียบการเพื่อเข้าร่วม CPTPP ขณะนี้กำลังรอกระบวนการทางกฎหมายก่อนที่จะสามารถเข้าเป็นสมาชิกได้ในที่สุด
ข้อตกลงการค้านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดภาษีและลดอุปสรรคสำหรับ 98% ของการส่งออกไปยังประเทศสมาชิก CPTPP ยังกำหนดให้สมาชิกปฏิบัติต่อซัพพลายเออร์ต่างประเทศอย่างยุติธรรมเมื่อแข่งขันเพื่อให้ได้สัญญากับรัฐบาล
หอการค้าอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า การค้าของอินโดนีเซียกับประเทศในละตินอเมริกาและแคริบเบียนมีมูลค่ารวม 11.16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2565 การส่งออกของอินโดนีเซียไปยังภูมิภาคเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้น 16.5%ในปีที่แล้ว
ธนาคารกลางกัมพูชาร่วม UnionPay เปิดตัวการชำระเงินด้วย QR Code ข้ามแดน

นางเจีย เสร็ย ผู้ว่าการธนาคารกลางกัมพูชากล่าวว่า การเปิดตัวการชำระเงินด้วย QR Code ข้ามแดนระหว่างระบบบากอง(Bakong) ของธนาคารกลางกัมพูชา ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินผ่านมือถือและธนาคาร และ UnionPay International จะช่วยยกระดับความร่วมมือทางการเงินระหว่างทั้งสองสถาบัน ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ในกัมพูชา จีน และ ทั่วโลก
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ถือบัตร UnionPay ที่มาเยือนจะสามารถใช้วอลเล็ตที่เปิดใช้งาน UnionPay ได้ เช่น แอป UnionPay และแอปธนาคารพาณิชย์ที่เปิดใช้งานสำหรับการชำระเงินด้วย UnionPay QR Code เพื่อสแกนรหัส KHQR เพื่อทำธุรกรรมการชำระเงินที่ร้านค้าประมาณ 1.8 ล้านราย ในกัมพูชา” นางเจียกล่าวในงานเปิดตัวในกรุงพนมเปญ
นอกจากนี้ ภายในต้นปี 2567 ชาวกัมพูชาจะสามารถใช้บากองวอลเล็ตชำระเงินด้วย QR code ของ UnionPay ได้ที่ร้านค้าในจีนและทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ได้รับความพอใจในการชำระเงินผ่านมือถือในระหว่างการเดินทางระหว่างประเทศ” นางเจียกล่าว
นางเจีย กล่าวว่า ความร่วมมือนี้จะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการส่งเสริมการค้า กิจกรรมการท่องเที่ยว และการเข้าถึงบริการทางการเงินในกัมพูชา
ปัจจุบันธนาคารกลางกัมพูชาประสบความสำเร็จในการเปิดตัวการชำระเงินด้วย QR code ข้ามแดนกับประเทศไทย ลาว และเวียดนาม
การชำระเงินด้วย QR Code ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้ส่งเสริมการทำงานร่วมกันของ QR Code ภายในภูมิภาคแห่งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นายไช่ เจียนป๋อ ประธาน China UnionPay และประธาน UnionPay International กล่าวว่า ความพยายามร่วมกันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรองรับนักเดินทางจากประเทศจีนและตลาดโลกที่อื่นๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในกัมพูชา
“ภายใต้การแนะนำของธนาคารประชาชนจีน ยูเนี่ยนเพย์มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ QR code ในประเทศอาเซียน” นายไช่ เจียนป๋อกล่าวในพิธีเปิดตัวผ่านลิงก์วิดีโอ
“ปัจจุบัน UnionPay กำลังร่วมมือกับระบบสวิตชิ่งท้องถิ่นใน 15 ประเทศและภูมิภาค นอกเหนือจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยมี 16 โครงการที่เปิดตัวหรืออยู่ระหว่างดำเนินการ โครงการบากองในกัมพูชาถือเป็นก้าวสำคัญในความพยายามนี้” นายไช่ เจียนป๋อกล่าว
ด้วยการยอมรับใน 181 ประเทศและภูมิภาค ยูเนี่ยนเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงให้บริการชำระเงินข้ามแดนที่มีคุณภาพ คุ้มค่า และปลอดภัยแก่ฐานผู้ถือบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก และรับประกันบริการในท้องถิ่นที่สะดวกสบายแก่ผู้ถือบัตรและร้านค้า UnionPay ทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ UnionPay International ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์
ในอาเซียน ยูเนี่ยนเพย์ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เปิดใช้งานเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ระบบรับ ณ จุดขาย (POS) การออกบัตร และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ใน 10 ประเทศ
เกาะกงเตรียมเปิดเขตเศรษฐกิจสีเขียวปี 2567

โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสีเขียว(SEZ) ซึ่งมีเงินลงทุนตั้งแต่ 400-800 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะเปิดตัวในจังหวัดเกาะกงในปี 2567
ขณะนี้หน่วยงานระดับชาติและระดับจังหวัดกำลังระบุพื้นที่ที่อาจเป็นไปได้สำหรับการลงทุนขนาด 300 เฮกตาร์ขึ้นไป ตามรายงานของสำนักงานสารนิเทศจังหวัดเกาะกง
มิถุนา พูทอง ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้แทนจากกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia-CDC)) สถานทูตอังกฤษในกรุงพนมเปญ และกระทรวงและสถาบันอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับแผนดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ใน้กาะกง ที่เป็นจังหวัดชายฝั่งทะเล
ในการประชุม CDC เน้นย้ำว่าโครงการ SEZ สีเขียวมีเป้าหมายเพื่อสร้างศูนย์กลางการผลิตสินค้าส่งออกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับตลาดต่างประเทศ
โครงการริเริ่มนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประเทศสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนของตลาดโลก ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่สำคัญ และช่วยในการกระจายเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการนี้จะมุ่งเน้นไปที่พลังงานทดแทน การจัดการขยะอย่างยั่งยืน และการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อมในภาคส่วนที่สำคัญ เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ
จังหวัดนี้ได้รับเลือกให้ร่วมลงทุนเนื่องจากมีที่ดินเปล่าที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาระยะยาวมากกว่า 300 เฮกตาร์ และมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์บริเวณชายแดนของประเทศและอ่าวไทย จึงถูกมองว่าเป็นประโยชน์ต่อการใช้ประโยชน์จากการค้าในภูมิภาค และสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนโดยตรง
นอกจากนี้ CDC ยังได้เรียกร้องหลายด้านต่อฝ่ายบริหารของจังหวัด รวมถึงการเสนอทางเลือกสำหรับทำเลที่มีศักยภาพ เช่น การเลือกสถานที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ และการหลีกเลี่ยงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ และเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารดำเนินการประสานงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จทั้งในระดับจังหวัดและในประเทศโดยรวม
มอม มัลลิกา ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลจังหวัด กล่าวว่า จังหวัดนี้มีศักยภาพในการลงทุนในพื้นที่สำคัญ เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ ท่าเรือ ศูนย์กลางธุรกิจ และรีสอร์ทท่องเที่ยว
สัม โสนัน ซีอีโอของ Sam SN Realty Co Ltd ซึ่งวางแผนจะลงทุนในเขตเศรษฐกิจภายใน 2-3 ปีข้างหน้า กล่าวว่า SEZ มีความสำคัญมากขึ้นในการดึงดูดนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะขั้นตอนที่ง่ายขึ้นสำหรับเอกสารการส่งออก-นำเข้าและภาษีในเขตเศรษฐกิจพิเศษ และอธิบายเพิ่มเติมว่า SEZไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการสร้างงานและรายได้ให้กับครอบครัวและประเทศชาติอีกด้วย
สัมระบุว่า เกาะกงเป็นสถานที่ที่น่าลงทุนใน SEZ โดยเฉพาะสำหรับการเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่าย
“การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นกลยุทธ์ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ อันที่จริง ในระหว่างการเยือนญี่ปุ่นของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ได้สนับสนุนให้นักลงทุนญี่ปุ่นเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมหรือลงทุนในเขตเศรษฐกิจที่มีอยู่”
สัมกล่าวว่า การลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการส่งออกและลดการนำเข้า
เจีย วุธี รองเลขาธิการ CDC กล่าวก่อนหน้านี้ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลเริ่มร่างกฎระเบียบและกฎหมายในปี 2548 และภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2566 ประเทศมีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 24 แห่ง และเน้นย้ำว่า SEZ มีบทบาทสำคัญในการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และแหล่งการลงทุนของกัมพูชาจากประเทศต่างๆ
วุธีให้ข้อมูลว่ากว่า 90% ของการลงทุนในภาคเสื้อผ้า รองเท้า และสินค้าการเดินทางในประเทศตั้งอยู่ภายในโซนเหล่านี้
CDC รายงานว่าภายในครึ่งแรกของปี 2566 เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดำเนินงานอยู่ของกัมพูชามุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ผลิตภัณฑ์การเดินทาง ชิ้นส่วนรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ยางรถยนต์ รวมถึงการประกอบรถยนต์และจักรยาน ในบรรดาโซนดังกล่าว มีโรงงานและบริษัทจดทะเบียนมากถึง 655 แห่ง คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ