ThaiPublica > สู่อาเซียน > ผู้นำอาเซียนรายไหนบ้าง คว้าดีลกลับประเทศจากเวที APEC

ผู้นำอาเซียนรายไหนบ้าง คว้าดีลกลับประเทศจากเวที APEC

18 พฤศจิกายน 2023


การประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) หรือ Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) summit ที่มีขึ้นในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 12-18 พฤศจิกายน มีประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าร่วม ทั้งบรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม เข้าร่วมในฐานะสมาชิกเอเปคด้วย

ในห้วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากได้พบปะหารือกับผู้นำประเทศอื่นๆ รวมทั้งผู้นำสหรัฐที่เป็นเจ้าภาพแล้ว ยังเป็นโอกาสในการแถลงข่าว หรือร่วมกิจกรรมอื่นๆ เพื่อแสดงมุมมองในเรื่องต่างๆ ตลอดจนได้พบปะกับหารือกับกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ พร้อมนำเสนอโครงการต่างๆเพื่อชักชวนให้ขยายธุรกิจและการลงทุนมายังประเทศของตนเอง

มาเลเซียน่าจะเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากกว่าสมาชิกอาเซียนรายอื่น เพราะได้ลงนามในข้อตกลงกับ Google กับ Blackberry ขณะที่ฟิลิปปินส์ลงนามในข้อตกลงพลังงานนิวเคลียร์กับสหรัฐ และอินโดนีเซียผู้นำสองประเทศได้ออกแถลงการณ์ร่วมกระชับความร่วมมือที่ครอบคลุม

สำหรับรายละเอียดดีลที่ผู้นำแต่ละประเทศนำกลับประเทศ มีอะไรบ้างมาดูกัน

รัฐบาลมาเลเซียและ Google ประกาศความร่วมมือเพื่อยกระดับทักษะ

ที่มาภาพ:https://www.bernama.com/en/news.php?id=2244902
รัฐบาลมาเลเซียและ Google ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในวันที่ 15 พ.ย. เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตแบบทั่วถึงให้กับชาวมาเลเซียและบริษัทในประเทศภายใต้เศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

โดยนายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม ได้เป็นพยานในการแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจระหว่างประธานเจ้าหน้าที่บริหารของหน่วยงานพัฒนาการลงทุนแห่งมาเลเซีย(Malaysian Investment Development Authority) ดาโต๊ะ วิรา อารัม อับดุล ราห์มาน และประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน รูธ โพรัท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของอัลฟาเบท และกูเกิลในซานฟรานซิสโก

ความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย จะช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลผ่านโปรแกรมทักษะ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรับผิดชอบ (AI) และนโยบายที่เน้นระบบคลาวด์เป็นหลัก กูเกิล ระบุในแถลงการณ์

“ความมุ่งมั่นครั้งนี้ของกูเกิล ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเร่งสร้างนวัตกรรมในประเทศและการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในด้าน AI จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งสอดคล้องกับกรอบเศรษฐกิจ Madani(Madani Economy Framework) และแผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ปี 2030 (New Industrial Master Plan 2030-NIMP 2030)” นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม กล่าว

Madani Economy Framework ของมาเลเซียมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขนาดทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย รวมทั้งดูแลให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด โดยเฉพาะ ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็ก ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ตามมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าว

กูเกิลกล่าวว่า โครงการริเริ่มล่าสุดพัฒนาขึ้นจากการลงทุนในมาเลเซียในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา

เฉพาะในปี 2022 เพียงปีเดียว ผลิตภัณฑ์และโปรแกรมของบริษัทมีส่วนสนับสนุนงานมากกว่า 47,900 ตำแหน่ง และยังมีส่วนสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ธุรกิจในมาเลเซีย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ (13.1 พันล้านริงกิตมาเลเซีย)

“ความร่วมมือที่เราประกาศในวันนี้กับรัฐบาลมาเลเซีย คือการทำให้ภารกิจในมาเลเซียของกูเกิล ในการผลักดันความก้าวหน้าของมาเลเซียสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนนวัตกรรมที่ครอบคลุมโอกาสในการทำงานที่มีประโยชน์และเท่าเทียมกันมากขึ้น” รูธ โพรัท ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ของอัลฟาเบท(Alphabet บริษัทแม่กูเกิล) และกูเกิลกล่าว

ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรม เต็งกู ดาโต๊ะ สรี ซาฟรุล อาซิส ชื่นชมการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องของ กูเกิล ที่มีต่อประชาชนและธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะผ่านโครงการที่บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่มีทักษะและช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กของมาเลเซียขยายขนาดในระดับภูมิภาค

“นอกเหนือจากการสนับสนุนภารกิจของ NIMP 2030 ให้สำเร็จแล้ว ความริเริ่มนี้ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกโดยรวมของมาเลเซียในสายตานักลงทุนต่างชาติ กระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรม และหน่วยงานของหน่วยงานอย่าง Malaysian Investment Development Authority (MIDA) จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแผนการลงทุนในมาเลเซียของ กูเกิล”

ความริเริ่มนี้หมายถึงโอกาสด้านทักษะแบบทั่วถึงสำหรับชาวมาเลเซีย 300,000 คนภายในปี 2569

เพื่อให้ชาวมาเลเซียจากทุกภูมิหลังได้รับโอกาสในการฝึกอบรมทางดิจิทัลมากขึ้น Google Cloud, CloudMile และ Trainocate จึงจัดทำโปรแกรมการเรียนรู้ดิจิทัล 5 โปรแกรมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“การเรียนรู้ทักษะนี้สามารถเข้าถึงได้ผ่านโปรแกรม Go Cloud ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มทักษะให้กับชาวมาเลเซีย 300,000 คนภายในปี 2569 โปรแกรมการเรียนรู้ประกอบด้วยหลักสูตรออนไลน์เพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถนำ AI เชิงสร้างสรรค์ (gen AI) การวิเคราะห์ข้อมูล และเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานบนคลาวด์มาใช้ได้ดียิ่งขึ้น”

ผู้เรียนที่สำเร็จโปรแกรมการเรียนรู้ทั้ง 5 โปรแกรมจะได้รับป้ายทักษะดิจิทัลสำหรับนำไปแชร์ในข้อมูลประวัติส่วนบุคคล(resumes )ของตัวเอง และได้รับการขยายเวลาการเข้าถึงโปรแกรมการเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นเวลา 30 วันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

กูเกิลกล่าวว่า โปรแกรมการเรียนรู้พัฒนาขึ้นจาก Gemilang ซึ่งเป็นโปรแกรมการฝึกอบรมดิจิทัลที่มอบทุนการศึกษา Google Career Certificate จำนวน 31,000 ทุนแก่ผู้ด้อยโอกาสโดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร

“โครงการนี้ช่วยให้ชาวมาเลเซียได้รับใบรับรองวิชาชีพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับงานระดับเริ่มต้นในสาขาที่มีความต้องการสูง เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การสนับสนุนด้านไอที ตลอดจนอีคอมเมิร์ซและการตลาดดิจิทัล”

นอกจากนี้ รัฐบาลและ Google Cloud จะเริ่มดำเนินการริเริ่ม AI Launchpad ร่วมกันเพื่อสร้างงานใหม่ ปรับปรุงการให้บริการสาธารณะ และช่วยให้บริษัทในท้องถิ่นเจาะตลาดโลก

Google จะสนับสนุนรัฐบาลในการปรับนโยบาย Cloud First First Policy ที่มีอยู่ของมาเลเซีย โดยสนับสนุนความเชี่ยวชาญด้านนโยบายและกรอบการทำงานของ AI ที่ปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าล่าสุดในระบบคลาวด์(cloud computing)และ AI

ซึ่งตอกย้ำความพยายามของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการใช้บริการคลาวด์ที่ยืดหยุ่น คุ้มค่า และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เหนือระบบภายในองค์กรที่ต้องใช้เงินทุนสูง ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลกในด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล

Blackberry-รัฐบาลมาเลเซียลงนามข้อตกลงความปลอดภัยทางไซเบอร์

ที่มาภาพ: https://themalaysianreserve.com/2023/11/18/blackberry-malaysian-govt-sign-cybersecurity-deal/

บริษัทแบล็กเบอร์รี่ (BlackBerry Ltd) บริษัทซอฟต์แวร์ของแคนาดาซึ่งเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ลงนามข้อตกลงซอฟต์แวร์และบริการระยะยาวกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อเสริมสร้าง “สถานะด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์”(cybersecurity posture) ของประเทศ ที่ซานฟรานซิสโกในวันที่ 17 พ.ย.

โดยฟาห์มี ฟอาดซิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและดิจิทัล เป็นประธานในพิธีลงนามระหว่าง ตัน สรี โมฮาหมัด ซาลิม ฟาเตะห์ ดิน ประธานบริหาร คณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) และจอห์น กีอาแมททีโอ ประธาน BlackBerry Cybersecurity

แบล็กเบอร์รี่กล่าวว่าข้อตกลงครั้งสำคัญนี้จะช่วยให้รัฐบาลมาเลเซียสามารถใช้ประโยชน์จากโซลูชั่นความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เชื่อถือได้อย่างครบถ้วน และสนับสนุนบูรณภาพของคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียของมาเลเซีย (Malaysian Communications and Multimedia Commission-MCMC) ในขณะเดียวกันก็ยกระดับทักษะแรงงานของประเทศด้วยเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ขั้นสูงและการฝึกอบรม

“ภาครัฐของมาเลเซียจะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงซอฟต์แวร์และบริการของแบล็กเบอร์รี่ แบบเรียลไทม์ที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ ที่อยู่ในระบบคลาวด์แบบ sovereign cloud ” บริษัทแบล็คเบอร์รีกล่าวในแถลงการณ์ในวันนี้

Sovereign cloud คือ บริการ Cloud ภายในประเทศที่มีความมั่นคงและเสถียรภาพสูงอยู่ภายใต้ขอบเขตข้อบังคับทางกฎหมายของประเทศหรือภูมิภาค นั้นๆ

นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ สรี อันวาร์ อิบราฮิม กล่าวว่า มาเลเซีย “ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่นำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่ามาเลเซียจะเติบโต เจริญรุ่งเรือง และรักษาข้อมูลของประเทศและพลเมืองให้ปลอดภัยต่อไป”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาเลเซียควรเชื้อเชิญการลงทุนจากต่างประเทศที่สามารถขยายขนาดได้อย่างรวดเร็ว และฝึกอบรมบุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก

“เรายินดีที่จะร่วมมือกับแบล็กเบอร์รี เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของมาเลเซียในการเป็นตัวอย่างชั้นนำของความยืดหยุ่นทางไซเบอร์ ด้วยคำมั่นด้าน data sovereignty สำหรับสารสนเทส ข้อมูล และการสื่อสารของรัฐบาลของเรา” นายอันวาร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังด้วย กล่าวในแถลงการณ์เดียวกัน

(Data Sovereignty คือ สิทธิของการเป็นเจ้าของข้อมูล ซึ่งต้องได้รับการปกป้องคุ้มครอง และต้องไม่ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับการอนุญาต)

นายกรัฐมนตรีแคนาดา จัสติน ทรูโด กล่าวว่า ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเสาหลักสำคัญของยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกของแคนาดา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือในภูมิภาค

“ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นความท้าทายร่วมกันที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ เราสนับสนุน Cybersecurity Center of Excellence ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ของ BlackBerry ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรทวิภาคีที่สำคัญของแคนาดา” นายทรูโดกล่าว

จากแถลงการณ์ ข้อตกลงระหว่างมาเลเซียกับแบล็กเบอร์รี ประกอบด้วยโซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ชั้นนำของโลกของแบล็กเบอร์รี ที่ขับเคลื่อนโดย Cylance® AI เพื่อคาดการณ์และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์, BlackBerry® SecuSUITE® ที่ได้รับการรับรองจาก NATO สำหรับการสื่อสารที่ปลอดภัย, BlackBerry® UEM (Unified Endpoint Management) เพื่อปกป้องข้อมูลของรัฐบาลในกลุ่มพนักงานที่เคลื่อนที่ และ BlackBerry® AtHoc® ที่รัฐบาลทั่วโลกใช้ในการจัดการเหตุการณ์สำคัญและการตอบสนองต่อเหตุการณ์

แบล็กเบอร์รีเตรียมจัดตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในกัวลาลัมเปอร์

แบล็กเบอร์รี่ยังประกาศด้วยว่าจะจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (CCoE) ระดับโลกในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในปี 2567 ซึ่งถือเป็น CCoE แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วย “เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของมาเลเซียเป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์สำหรับ CCoE แรกของแบล็กเบอร์รีในภูมิภาค” ในแถลงการณ์ระบุ

โดย CCoE จะให้การฝึกอบรมเฉพาะทางเพื่อพัฒนาขีดความสามารถและความพร้อมด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ในประเทศที่ยังต้องการอีกถึง 12,000 คน

“รัฐบาลแคนาดายินดีต่อการจัดตั้ง CCoE และวางแผนที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับแบล็กเบอร์รี รัฐบาลมาเลเซีย และ CCoE เพื่อให้ความช่วยเหลือในการสร้างขีดความสามารถด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์แก่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามที่ภารกิจภายใต้ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิกของแคนาดา”

CCoE จะส่งเสริมการให้ความรู้และการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ เช่นเดียวกับการวิเคราะหเชิงลึก การตรวจจับ วิธีการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์(Cyber Threat Intelligence)และทีมตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ “ทำงานตลอดเวลา” เพื่อช่วยประเทศในการป้องกันกิจกรรมทางไซเบอร์ที่เป็นอันตราย และมีเป้าหมายไปที่ธุรกิจ รัฐบาล และโครงสร้างพื้นฐาน

“CCoE ยังจะยกระดับ Threat Intelligence Sharing หรือการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามอัจฉริยะ ระหว่างประเทศต่างๆ และขยายเครือข่ายThreat Intelligence ทั่วโลกของแบล็กเบอร์รี”

จอห์น กีอาแมททีโอ ประธานฝ่ายรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของแบล็กเบอร์รีกล่าวว่า CCoE ในมาเลเซียได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของนายกรัฐมนตรีในการเพิ่มบุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีทักษะ และวางตำแหน่งมาเลเซียให้เป็นศูนย์กลาง threat intelligence ที่สำคัญระดับภูมิภาค

ฟิลิปปินส์-สหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงพลังงานนิวเคลียร์

ที่มาภาพ: https://www.manilatimes.net/2023/11/18/news/national/philippines-us-sign-nuclear-energy-deal/1920274
เมื่อวันศุกร์(17 พ.ย.)ที่ผ่านมา ฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯสามารถส่งออกเทคโนโลยีและวัสดุนิวเคลียร์ไปยังฟิลิปปินส์ได้

นายราฟาเอล โลติลลา รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานฟิลิปปินส์ และนายแอนโทนี บลินเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงเพื่อความร่วมมือเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ(Cooperation Concerning Peaceful Uses of Nuclear Energy)หรือ “ข้อตกลง 123” นอกรอบการประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) 2023 ที่ซานฟรานซิสโก

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ซึ่งเดินทางไปร่วมการประชุม APEC ในสหรัฐอเมริกา เป็นพยานในการลงนามข้อตกลง ซึ่งฉายภาพว่าเป็น “อีกก้าวสำคัญสู่ฟิลิปปินส์ที่มีความมั่นคงด้านพลังงานและเป็นสีเขียวมากขึ้น”

ประธานาธิบดีมองว่า การลงนามข้อตกลงดังกล่าวจะกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในฟิลิปปินส์มากขึ้น โดยความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์จะช่วยให้ประเทศสามารถตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น และมอบ “สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับนักลงทุนและผู้บริโภคมากขึ้น”

“เรามองว่าพลังงานนิวเคลียร์เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งพลังงานของฟิลิปปินส์ภายในปี 2575 และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่อยู่บนเส้นทางนี้โดยมีสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของเรา” ประธานาธิบดีมาร์กอสกล่าว

การลงนามข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ “ความร่วมมือของเราในการสร้างขีดความสามารถก้าวไกลขึ้น และเป็นการเปิดประตูให้บริษัทสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนและมีส่วนร่วมในโครงการพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศ” นายมาร์กอสกล่าว

ข้อตกลงดังกล่าวเป็นพื้นฐานทางกฎหมายในการอนุญาตให้บริษัทอเมริกันส่งออกเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์ อุปกรณ์ และวัสดุนิวเคลียร์เฉพาะทาง อื่นๆ

ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรา 123 ของพระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูของสหรัฐอเมริกา( US Atomic Energy Act) ซึ่ง “โดยทั่วไปจะต้องมีการสรุปข้อตกลงความร่วมมือทางนิวเคลียร์อย่างสันติสำหรับการถ่ายโอนวัสดุหรืออุปกรณ์นิวเคลียร์ที่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา”

สหรัฐฯ มีข้อตกลงนิวเคลียร์พลเรือน 23 ฉบับกับประเทศอื่นๆ รวมถึงรัสเซีย จีน แคนาดา เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตุรกี ยูเครน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวียดนาม

นอกเหนือจากข้อตกลง 123 แล้ว นายมาร์กอสยังกล่าวอีกว่า Meralco และ Ultra Safe Nuclear Corp. ยังได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นเกี่ยวกับเตาปฏิกรณ์ผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Micro-Modular Reactors-MMRs) เพื่อสำรวจทางเลือกพลังงานสะอาดและยั่งยืนในประเทศ

การศึกษาความเป็นไปได้จะติดตามการติดตั้ง MMR ไปยังไซต์งาน Meralco เพื่อผลักดันวาระด้านพลังงานที่ยั่งยืน และจัดให้มีการเข้าถึงพลังงานในราคาที่จ่ายได้และเชื่อถือได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ด้อยโอกาสและนอกโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ

ภายใต้แผนพลังงานของฟิลิปปินส์ รัฐบาลกำลังมองหาที่จะเพิ่มพลังงานนิวเคลียร์ 1,200 เมกะวัตต์ (MW) ไว้ในแหล่งพลังงานภายในปี 2575 เป็น 2,400 เมกะวัตต์ภายในปี 2583 และเพิ่มเป็น 4,800 เมกะวัตต์ภายในปี 2593

นายโลติลลากล่าวว่า “นอกเหนือจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ข้อตกลงใหม่ยังอำนวยความสะดวกให้เกิดความร่วมมือในการใช้พลังงานปรมาณูอย่างสันติอื่นๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่างๆ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงพันธุ์พืช การผลิตปศุสัตว์ การควบคุมแมลงศัตรูพืช การจัดการดินและพืชผล ประสิทธิภาพการใช้น้ำ การกำจัดขยะพลาสติก ความปลอดภัยของอาหาร สุขภาพ และยารักษาโรค”

นอกจากนี้ในระหว่างการบรรยายสรุปเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมนอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกในซานฟรานซิสโก รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมนายไฆเม่ เบาติสตา ได้นำเสนอโครงการการขนส่งโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงคมนาคม แก่นักลงทุนชาวอเมริกัน โดยชี้ว่าโครงการต่างๆ ของกระทรวงฯ จะเขย่าภาคการขนส่ง และยกระดับการเชื่อมต่อและการเคลื่อนย้ายของฟิลิปปินส์

“โครงการขนส่งของเราเน้นย้ำถึงความพยายามของรัฐบาลของเราในการผลักดันวาระโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ที่ต้องการให้เรายกระดับการเคลื่อนย้ายและการเชื่อมต่อ” นายเบาติสตากล่าวและว่า โครงการขนส่ง 11 โครงการได้รับการอนุมัติเมื่อเร็วๆ นี้ มีมูลค่ารวมประมาณ 6.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง 8 โครงการได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ในขณะที่ส่วนที่เหลือใช้เงินผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน(public-private partnerships)

ส่วนแผนสำหรับแพ็คเกจสัญญาที่ได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างน้อย 29 แพคเกจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่กำลังอยู่ในขั้นตอนสรุป

นายเบาติสตายังกล่าวถึงการแปรรูปสนามบินนานาชาตินินอย อากีโน (NAIA) การก่อสร้างสนามบินนานาชาตินิวมะนิลา และการปรับปรุงสนามบินภูมิภาค อื่นๆ อีก 11 แห่งให้ทันสมัย ​​ว่าเป็นการพัฒนาที่สำคัญในภาคการบินของประเทศ

นายเบาติสตายังพูดถึงโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น ได้แก่ MRT-4, MRT-10, MRT-11, LRT-6 และโครงการรถไฟมินดาเนาสองเฟส และให้ความมั่นใจว่าหน่วยงานกำลังปรับปรุงการขนส่งทางบกของประเทศผ่านโครงการปรับปรุงยานพาหนะสาธารณูปโภคให้ทันสมัย ​​(Public Utility Vehicle Modernization Program-PUVMP) และรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเซบูและดาเวา (BRTs) ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการขนส่งเชิงรุกด้วยการสร้างเลนจักรยานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ผู้นำอินโดนีเซีย-สหรัฐแถลงการณ์ร่วมยกระดับความร่วมมือ

ที่มาภาพ: https://id.usembassy.gov/joint-statement-from-the-leaders-of-the-united-states-and-the-republic-of-indonesia-elevating-relations-to-a-comprehensive-strategic-partnership/
ด้านอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีโจโกวีเชิญชวนนักธุรกิจเอเปคลงทุนในอินโดนีเซีย

ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด หรือโจโกวี เชิญนักธุรกิจที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดซีอีโอแห่งความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้คว้าโอกาสการลงทุนในอินโดนีเซียในเชิงรุกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยบอกว่า “นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนในอินโดนีเซีย และผมหวังว่าพวกคุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ในเชิงรุกและรวดเร็วยิ่งขึ้น” Jokowi กล่าวในการประชุมสุดยอดเมื่อวันพฤหัสบดี(16 พ.ย.)

ระธานาธิบดีโจโกวีระบุว่า อินโดนีเซียเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและมีอนาคตสำหรับนักลงทุนในการลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคาดว่าจะเติบโตได้ดีและมีศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก

“IMF (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะเติบโตสูงถึง 5% ในปี 2566 และในปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 5.1%”

นอกเหนือจากการมีศักยภาพมหาศาล ตั้งแต่ทรัพยากรธรรมชาติไปจนถึงทรัพยากรมนุษย์แล้ว ประธานาธิบดีโจโกวี ยังกล่าวอีกว่าอินโดนีเซียยังมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวยและมีการแข่งขัน อินโดนีเซียมีภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญหลายด้านที่สามารถเป็นโอกาสในการลงทุนได้ เช่น อุตสาหกรรมปลายน้ำ โดยอินโดนีเซียเป็นแหล่งแร่นิกเกิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันอินโดนีเซียกำลังสร้างระบบนิเวศของรถยนต์ไฟฟ้าแบบบูรณาการ โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 600,000 คันในปี 2573

อีกภาคส่วนที่มีความสำคัญอันดับแรกสำหรับอินโดนีเซียคือการเปลี่ยนผ้่านด้านพลังงาน ประธานาธิบดีชี้ว่าปัจจุบัน อินโดนีเซียมีศักยภาพด้านพลังงานใหม่และหมุนเวียนได้ 3,600 กิกะวัตต์ และกำลังสร้างนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวที่ครอบคลุมพื้นที่ 30,000 เฮกตาร์

อีกด้านหนึ่งที่อินโดนีเซียให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การพัฒนาเมืองหลวงใหม่นูซันทาราให้สอดคล้องกับแนวคิดเมืองอัจฉริยะที่อิงจากป่าและธรรมชาติและยังมีศักยภาพในการลงทุนที่เปิดกว้างในหลายภาคส่วน

“(นูซานตรามี) พื้นที่สีเขียว 70% การขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานสีเขียว 80% ซึ่งเปิดในภาคส่วนต่างๆ โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง เทคโนโลยี การศึกษา พลังงาน การเงิน การท่องเที่ยว สุขภาพ และที่อยู่อาศัย”

ในการประชุมสุดยอดเมื่อวันพฤหัสบดี ประธานาธิบดีโจโควีเดินทางร่วมกับรัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า ซุลกิฟลี ฮาซัน และหัวหน้าหน่วยงานเมืองหลวงนูซันตารา บัมบัง ซูซานโตโน

นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำอินโดนีเซียได้เผยแพร่ แถลงการณ์ร่วมจากผู้นำสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เรื่องการยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุม(Comprehensive Strategic Partnership)

แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์วันที่ 13 พฤศจิกายน ระบุถึงความร่วมมือระหว่างสหรัฐและอินโดนีเซียครอบคลุม 6 ด้านประกอบด้วย

  • ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบทั่วถึงผ่านนวัตกรรม การพัฒนาที่ยั่งยืน การสาธารณสุข และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
  • ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด
  • กระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวให้ลึกยิ่งขึ้น
  • การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกและที่อื่นๆ
  • กระชับความร่วมมือด้านกลาโหมสหรัฐฯ-อินโดนีเซียให้ลึกซึ้งขึ้น
  • ส่งเสริมความร่วมมือระยะยาว
  • ในวันเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ได้เผยแพร่ Media Note บนเว็บไซต์ เรื่อง New Partnership with Indonesia to Explore Semiconductor Supply Chain Opportunities หรือความร่วมมือครั้งใหม่กับอินโดนีเซียเพื่อสำรวจโอกาสในห่วงโซ่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียในการสำรวจโอกาสในการเติบโตและกระจายระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ภายใต้กองทุนความปลอดภัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างประเทศ (International Technology Security and Innovation-ITSI) ซึ่งก่อตั้งโดย CHIPS Act of 2022 ความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างห่วงโซ่คุณค่าเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกที่มีความยืดหยุ่น ที่ปลอดภัยและยั่งยืน

    สหรัฐอเมริกามองว่าอินโดนีเซียเป็นพันธมิตรในการทำให้ห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ยานพาหนะไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์พึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้นซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจในปัจจุบัน ความร่วมมือนี้ตอกย้ำถึงศักยภาพที่สำคัญในการขยายอุตสาหกรรมนี้ในอินโดนีเซียเพื่อประโยชน์ของทั้งสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซีย

    ความร่วมมือนี้จะเริ่มต้นด้วยการทบทวนระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบันของอินโดนีเซีย กรอบการกำกับดูแล และความต้องการด้านแรงงานและโครงสร้างพื้นฐาน ผลลัพธ์ของการทบทวนนี้จะเป็นข้อมูลบ่งชี้ถึงความร่วมมือในอนาคตในการพัฒนาภาคส่วนที่สำคัญนี้

    ในเดือนสิงหาคม 2022 ประธานาธิบดีไบเดนได้ลงนามใน CHIPS Act of 2022 ซึ่งเป็นกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่จัดสรรเงินทุนใหม่เพื่อส่งเสริมการผลิตและการวิจัยเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา CHIPS Act of 2022 ได้กำหนดให้จัดตั้งกองทุน ITSI ซึ่งมอบเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (100 ล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วง 5 ปี เริ่มในปีงบประมาณ 2023 แก่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยเริ่มในปีงบประมาณ 2023) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและการนำเครือข่ายโทรคมนาคมที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มาใช้ และดูแลความปลอดภัยของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ และการกระจายความเสี่ยงผ่านโครงการและความริเริ่มใหม่ ๆ ร่วมกับพันธมิตรและพันธมิตร

    นายกรัฐมนตรี และผู้บริหาร AWS จับมือร่วมกันพัฒนา digital transformation

    ที่มาภาพ:https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/74728

    สำหรับประเทศไทย วันที่ 14 พ.ย. Amazon Web Services นำโดย นาย Michael Punke, Global Vice President, Public Policy ได้เข้าพบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    นายกรัฐมนตรี และผู้บริหาร AWS จับมือร่วมกันพัฒนา digital transformation เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับโลก

    AWS ชื่นชมนายกรัฐมนตรีในการผลักดันการเติบโตของประเทศไทยผ่านเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงและเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม AWS เดินหน้าให้การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลในทันที เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในเศรษฐกิจดิจิทัล และ innovation hub ผ่านการมาลงทุนของเทคโนโลยีคลาวนด์ (AI, ML, data analytics, IoT) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลที่สำคัญ และรากฐานในการพัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจและการเพิ่มโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ของคนรุ่นต่อไป

    นายกรัฐมนตรีขอบคุณและให้การสนับสนุน AWS ที่เป็น hyperscale data center ระดับโลกเจ้าแรกที่กำลังลงทุนก่อสร้าง AWS Asia Pacific (Bangkok) Region ในประเทศไทย ด้วยงบประมาณกว่า 1.9 แสนล้านบาท (US$5 พันล้านบาท) ในระยะเวลากว่า 15 ปี

    นายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าการลงทุนของ AWS จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะยาว เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของภาครัฐ และช่วยสร้างแรงงานที่มีทักษะสูงที่ประเทศไทยกำลังขาดแคลน

    นายกรัฐมนตรีจะให้ความร่วมมือกับ AWS อย่างต่อเนื่องในการมาลงทุนครั้งนี้ ทั้งในการสนับสนุนให้เกิดการใช้คลาวน์ให้ครบทุกภาคส่วนต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพการพัฒนาบริการทางดิจิทัลให้แก่ประชาชนทั้งของรัฐและเอกชน อาทิ การเงิน อุตสาหกรรมการผลิต สาธารณสุข การค้าปลีก และ SMEs, การสร้างรัฐบาลดิจิทัลของทุกหน่วยงานให้เป็นรูปธรรมด้วยนโยบาย Cloud First Policy, การผลักดันความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียน สอดรับกับความเป็นผู้นำระดับโลก ในการก่อตั้งคำปฏิญาณ​ Climate Pledge ของ AWS ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกด้วยพลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025 รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะเรื่องคลาวน์เทียบเท่ามาตรฐานโลกและได้รับการจ้างงานหลังจบหลักสูตรทันทีผ่านโครงการ AWS re/Start และอื่นๆ เป็นต้น

    ต่อมา วันที่ 16 พ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสมาชิกองค์กร U.S.-APEC Business Coalition ซึ่งเป็นองค์กรพันธมิตรประกอบด้วย U.S.-ASEAN Business Council, U.S. Chamber of Commerce และ NC-APEC

    ในโอกาสดังกล่าว นายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับผู้บริหารอาวุโสเกือบ 50 รายจากบริษัทในสหรัฐฯ อาทิ Boeing, Amazon, FedEx, Pfizer, Visa, Citi, Airbnb, Delta Airlines โดยได้ย้ำชัดเจนว่าประเทศไทยเปิดกว้างต่อภาคธุรกิจ โดยมุ่งเน้นส่งเสริมความโปร่งใสและความสะดวกในการทำธุรกิจ รัฐบาลไทยกำลังส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจและผลักดันนโยบายเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพร้อมอำนวยความสะดวกการลงทุนให้กับภาคเอกชนสหรัฐฯ ที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทย