ThaiPublica > คอลัมน์ > กระแสคิดบวกอาจกำลังสร้างความกดดันต่อวัยรุ่น

กระแสคิดบวกอาจกำลังสร้างความกดดันต่อวัยรุ่น

13 ตุลาคม 2023


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

ท่ามกลางกระแสสื่อที่ต่างบอกให้วัยรุ่นคิดบวก หรือมี Positive thinking นั้น อาจกำลังสร้างความกดดันให้วัยรุ่นเสียเองอยู่หรือเปล่า

การคิดบวกอาจเป็นกระแสที่ฝืนธรรมชาติของผู้คนในยุคสมัยนี้อย่างไร และเรากำลังแปะป้ายคนที่คิดลบว่า เป็น Toxic อยู่หรือไม่ มาสำรวจกระแสคิดบวกที่กำลังสร้างความคาดหวังกับวัยรุ่นอย่างรุนแรง

ถ้าได้เลื่อนฟีดตามโซเชียลมีเดีย เราน่าจะเคยผ่านตากับโพสต์ประเภท Positive thinking โพสต์พลังงานบวกต่าง ๆ มาบ้าง อ่านผ่าน ๆ ก็อาจจะรู้สึกว่ามันอุ่นอกอิ่มใจดี ยิ่งเวลาเจอโพสต์ที่พูดถึงลักษณะของคนที่ Positive เราก็อาจจะแอบคิดตามว่า เราเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า โดยที่เรามักจะละเลยคำถามง่าย ๆ ว่าอันที่จริงแล้วเราจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเป็นคน Positive

Positive thinking เป็นแนวคิดเรื่องการมองหาและคาดหวังต่อแง่มุมดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า ในทุกความล้มเหลวมีการเรียนรู้ ความเจ็บปวดตอกย้ำว่าเรายังมีชีวิต ฯลฯ เมื่อดูดี ๆ แล้วเราส่วนใหญ่แทบจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตกันอยู่แล้ว เราทุกคนต่างล้มเหลวและเรียนรู้ เราต่างร้องไห้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เราระบายความอ่อนแอเพื่อแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ถ้ามองในแง่หนึ่ง Positive thinking ไม่น่าจะเลวร้ายอะไร

ติดปัญหาตรงที่ว่าหลายต่อหลายครั้งเราคาดหวังให้คน Positive จนเกินไป

ยกตัวอย่าง เวลามีคนเศร้าเสียใจเราก็มักชอบเจอคำพูดประมาณว่า อย่าร้องไห้ไปเลย สุดท้ายแล้วคนเราก็ต้องจากกัน เหมือนกับคาดหวังให้คนที่เสียใจต้องหยุด Negative แล้วมองมันอย่าง Positive เสียเดี๋ยวนี้ เวลาที่เราโกรธเราก็ต้อง Positive ให้ได้ ห้ามโพสต์ห้ามพูดอะไรที่ Negative ออกมา เพราะไม่งั้นคุณจะกลายเป็น Toxic people ที่ส่งต่อพลังงานลบให้คนอื่นทันที

เช่นเดียวกันกับการเป็นคน Positive การเป็น Toxic people เองก็เป็นคอนเทนต์ที่เรามักจะมีโอกาสได้เห็นบ่อย ๆ คนมักจะแชร์อะไรเหล่านี้เพื่อสื่อสารออกไปถึงคนอื่น ๆ คล้ายเป็นการเตือนว่า “อย่ามาทำตัว Toxic ใส่ฉันนะ” และการเป็น Toxic people ในปัจจุบันก็ดูไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่เข้าข่าย “สิบสัญญาณ” “เจ็ดลักษณะ” “ห้าแนวคิด” ใด ๆ ก็ตามที่แชร์มา หมายความว่าเราพร้อมจะ “ตัดสิน” ผู้คนจากการกระทำหนึ่ง ๆ และผลักคนเหล่านั้นให้กลายเป็นคน Toxic ได้ทันที

เราแทบจะมองข้ามความซับซ้อนด้านอารมณ์ ด้านความเป็นมนุษย์ ลืมความ make sense ความเข้าใจได้ต่าง ๆ ไป เหมือนถ้าใครออกมาโกรธแค้นที่ถูกทำร้ายก็สามารถกลายเป็น Toxic people ได้เพราะไม่รู้จักอดทนและคิดบวกกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ขณะที่ Positive thinking ควรจะเป็นการส่งต่อแง่มุมและพลังบวกในการใช้ชีวิตแก่ผู้อื่น การคาดหวังให้คน Positive ตลอดเวลากลายเป็นการสร้างความกดดันให้ชีวิตผู้อื่นทางอ้อม เราต้องระวังทุกย่างก้าว ทุกการกระทำ แทนที่เราจะรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง กลายเป็นต้องมาถูกจำกัดการแสดงความรู้สึก ทำให้ความหมายและเป้าหมายตั้งต้นของ Positive thinking กลายเป็นให้ผลที่ตรงกันข้ามไปเสียอย่างงั้น

จนมีงานที่พูดถึงภาวะที่เรียกว่า Toxic positive หรือหมายถึง การคิดบวกจนเป็นพิษ ซึ่งส่งผลด้านลบไม่แพ้ Toxic people ที่เราไม่ชอบเลยทีเดียว

และเรามักจะลืมไปว่าการเป็นคน “คิดบวก” ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแอคชั่นในทางบวกเสมอ หรือพูดกลับกัน การที่เราแสดงออกแบบ Negative ไม่ได้แปลว่า เราไม่มี Positive thinking และเมื่อมองสวนกระบวนการ การจะสามารถ Positive thinking ได้ ล้วนแต่ต้องผ่านการเรียนรู้ต่อสถานการณ์ Negative ทั้งนั้น การคาดหวังให้คนข้ามกระบวนการ Negative แล้วเป็น Positive ไปเลย จึงสะท้อนความไม่เข้าใจในกระบวนการ Positive thinking อยู่พอควร

ยิ่งกับยุคสมัยปัจจุบัน Positive thinking ก็อาจจะไม่ได้มีความหมาย Positive ขนาดนั้น มองย้อนกลับไปเหตุผลที่เราจำเป็นต้องคิดบวก ในมุมหนึ่งคือภาพสะท้อนของการยินยอมต่อเหตุการณ์ ต่อสิ่งรอบตัวที่เรายอมรับว่า เราทำอะไรไม่ได้ ซึ่งมันผิดกันกับยุคสมัยนี้

คนสมัยนี้มองภาพของการยินยอมและความอดทน เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนมาก ด้วยโลกที่กว้างขึ้น ทุกคนเห็นทางเลือกและทางออก มากกว่าที่คนยุคก่อนเคยเห็น จึงไม่แปลกที่ท่าทีของคนสมัยนี้จะดูไม่ Positive เท่าที่ควร เช่น ในสมัยก่อนหากมีอุบัติเหตุกิ่งไม้หล่นใส่รถ คนสมัยก่อนก็อาจจะรู้สึกว่ามันทำอะไรไม่ได้ ก็ทำได้แค่เรียนรู้ที่จะระวังในครั้งหน้า แต่ปัจจุบันเราสามารถมองเชื่อมโยงไปถึงนโยบายการจัดการเมือง มองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และมองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นหรือปล่อยให้ผู้ประสบภัยทำได้แค่คิดในแง่บวก เพราะทุกคนเชื่อว่าเราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา มากกว่าการยินยอมและทำได้แค่มองหาด้านดี ๆ ของมัน

ทำให้เมื่อมองภาพรวมแล้ว Positive thinking เองก็มีแง่มุมและรายละเอียดที่ซับซ้อน ไม่สามารถตัดสินว่าใคร Positive หรือ Negative จากการสังเกตอย่างคร่าว ๆ ได้ตั้งแต่ต้น และผู้คนคงไม่สามารถเป็นคน Positive ได้เลย ถ้าเพียงแค่ทำอะไรผิดพลาดเล็กน้อยก็ต้องกลายเป็น Toxic people ในทันที

การพยายามตัดสินว่าใคร Positive หรือ Negative ก็เลยกลายเป็นการสร้างความกดดันในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้อื่น ซึ่งนั่นอาจจะทำให้คุณกลายเป็น Toxic people สำหรับคนอื่น ๆ ไปเสียเองด้วย

แม้สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องมีเรื่องที่เราทำอะไรไม่ได้ และ Positive thinking ก็ยังเป็นแนวทางที่เราต้องนำมาปรับใช้อยู่ดังเดิม แต่เมื่อมองในแง่การเรียนรู้ การทำความเข้าใจ และให้เวลาในการได้บทเรียนจากเรื่องราวที่ Negative ก็ดูจะให้ผลดีมากกว่าการไปกดดันและตัดสินด้วยแนวคิดเรื่องพลังบวก หรือ Toxic เราคงไม่คาดหวังให้ทุกคนเอาแต่คิดบวกและยินยอมให้สังคมเป็นในแบบที่เป็นอยู่ตลอดไปไม่ได้หรอก