ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เตรียม ‘พักผ่อน’ ขอบคุณ ครม.-ข้าราชการ – มติ ครม. อนุมัติ 998 ล้าน อุดหนุนเด็กแรกเกิด 2.2 ล้านคน

นายกฯ เตรียม ‘พักผ่อน’ ขอบคุณ ครม.-ข้าราชการ – มติ ครม. อนุมัติ 998 ล้าน อุดหนุนเด็กแรกเกิด 2.2 ล้านคน

30 สิงหาคม 2023


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
  • นายกฯ เผยประชุม ครม. ครั้งสุดท้าย ขอบคุณ รัฐมนตรี ข้าราชการ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน
  • เปรยถึงเวลาพักผ่อน ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น เหมือนประชาชนคนหนึ่ง
  • เคาะเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 998 ล้าน
  • อนุมัติร่างกฎกระทรวง เพิ่มความปลอดภัยในอาคาร
  • โซนนิ่ง สถานบริการขายแอลกอฮอลล์ 24 ชม. เขตส่งเสริมการบินภาคตะวันออก

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น พลเอก ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และมอบหมายให้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานตามที่รับมอบหมาย

ครม.ครั้งสุดท้าย แต่ยังทำหน้าที่รัฐบาลรักษาการ

พลเอกประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ครั้งสุดท้าย ว่า “ถ่ายรูปอย่างเดียวดีกว่า เพราะพูดมาเยอะแล้ว”

แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้วันสุดท้ายแล้ว ไม่กล่าวอะไรหน่อยหรือ พลเอกประยุทธ์ บอกว่า “สุดท้ายอะไร ฉันยังอยู่ตรงนี้ ยังอยู่อีกหลายวัน รีบเร่งฉันไปไหน…วันนี้ยังคงต้องดูแลอยู่ตามหน้าที่รัฐบาลรักษาการ นายกรัฐมนตรีรักษาการ ในส่วนที่ทำได้ตามกฎหมาย นะจ๊ะ”

“ขอบคุณทุกคน สื่อมวลชนทุกคนที่รักทุกคน เราไม่ได้มีอะไรกันแล้ว เราก็รักกันตั้งหลายปีที่ผ่านมา อยู่ด้วยกันมา เข้าใจนะ ในการทำงานของสื่อ ผมก็พยายามไม่เข้าไปก้าวล่วงท่านอยู่แล้ว นะจ๊ะ ก็ขออภัยถ้าหากดุไปสักนิด นิดเดียวเนอะ”

พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การประชุมวันนี้ไม่มีอะไร เป็นการเสนอมาตามปกติ เรื่องค่อนข้างจะน้อยลง และเป็นเรื่องที่ต้องระวังในการใช้อำนาจของครม.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169

นายกฯ เตรียมพักผ่อน-ให้เวลากับครอบครัว

ถามว่า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรัฐบาลใหม่จะฝากอะไร หรือห่วงอะไรมากที่สุด พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “คงไม่ต้องฝาก เป็นมารยาท ซึ่งต้องปล่อยให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ นายกรัฐมนตรีก็มีและครม.ก็มีใหม่อยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องของคนต่อไป เป็นเรื่องของมารยาทนะ ผมคิดว่าผมไม่ควรจะพูดอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเข้ามาแล้วและอยู่ในกระบวนการก็เป็นเรื่องของท่านที่จะดำเนินการต่อไป ก็ฝากพวกเราทุกคนด้วย ช่วยกันดูแลก็แล้วกัน”

ถามต่อว่า ห่วงอะไรมากที่สุด พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “ไม่มี”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลังเกษียณจากนายกรัฐมนตรีจะไปทำอะไร พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “พักผ่อน ให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น

เมื่อถามว่า ได้อะไรจากการเมืองที่ผ่านมาบ้าง พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “คงไม่ได้อะไร แต่ต้องถามว่าประเทศชาติได้อะไร ผมทำมาทุกวันก็เพื่อตรงนั้น ประเทศชาติและประชาชน นะจ๊ะ ก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด วันหน้าก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อไปที่ต้องดำเนินการ”

ขอบคุณ ครม. ตลอด 4 ปี

พลเอกประยุทธ์ ตอบคำถามเรื่องในอนาคตจะมีงานที่ใหญ่กว่านี้ให้ทำต่อหรือไม่ ว่า “ยังไม่รู้เลย ไม่ทราบทั้งสิ้น ผมก็เป็นประชาชน พลเมืองไทยธรรมดา ไม่ได้มียศอย่าง เจ้ายศเจ้าอย่าง เกียรติยศอะไรต่างๆ ผมก็กลายเป็นคนธรรมดาเหมือนท่าน ผมตั้งใจมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องพักผ่อน หรือหยุด ผมก็เป็นประชาชน พลเมืองไทยคนหนึ่งธรรมดา ไม่ได้มีอะไรสิทธิพิเศษอะไร ต้องมาเคารพยกย่องผม ไม่ต้อง”

เมื่อถามว่า ถ้าย้อนกลับไปได้อะไรที่อยากจะทำ พลเอกประยุทธ์ ตอบทันที…

“ไม่ๆ ถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่ต้องย้อนกลับไปแล้ว เดินหน้าอย่างเดียว ระมัดระวังในการเดินหน้าว่าไม่มีอันตราย ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมต้องรักษาทุกคนที่ร่วมทำงานกับผมมา ให้ปลอดภัย ไม่มีอันตรายต่าง ๆ เกิดขึ้นระหว่างทำงานร่วมกันมา”

“วันนี้ก็ขอบคุณครม.ทั้งหมดทุกคน ข้าราชการทุกคนที่ช่วยผมทำงานมาโดยตลอดด้วยความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันเพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกประการที่มีอยู่”

เมื่อถามว่า 9 ปีที่ผ่านมาประทับใจเรื่องใดมากที่สุด พลเอกประยุทธ์ บอกว่า “ประทับใจในส่วนของ…(เงียบ) พูดในภาพรวมมากกว่า เราก็อยู่กันมารัฐบาลนี้ก็ 4 ปีเต็มๆ ก็ให้ความร่วมมือ พูดจากัน ทักท้วงกัน ให้เหตุผลซึ่งกันและกัน และผมก็รับได้มาทั้งหมด คือความผูกพันในสิ่งที่เราทำร่วมกันมา ไม่ได้มุ่งหวังประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น และสามารถทำให้เดินหน้าได้มากพอสมควร นี่คือความประทับใจของผมกับครม. และสิ่งที่ผมวาดหวังจะเห็นว่า บ้านเมืองจะมีอนาคตอย่างไรต่อไป ผมก็พยายามเดินหน้าไปตามนั้น เดินหน้าเพื่ออนาคต ไม่ใช่อยู่ที่ผมคนเดียว ต้องถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ ทำต่อกันไป นะจ๊ะ ไปสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่ วันนี้ต้องสร้างความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้น นะจ๊ะ”

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า 9 ปีที่ผ่านมาถ้าย้อนกลับไปได้ ทำพลเอกประยุทธ์ แทรกทันทีว่า “ไม่ย้อน ไม่มีเวลาที่ไหนเขาย้อน ย้อนไม่ได้อยู่แล้ว นะจ๊ะ”

ถามต่อว่า ใจหายหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่หาย ทำไม เราก็ต้องพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็ผมบอกแล้วว่า ผมเข้ามาด้วยอะไร ผมไปด้วยอะไร ก็แค่นั้น”

ถามต่อว่า ในฐานะรมว.กลาโหมห่วงหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่ห่วง เป็นเรื่องของขั้นตอนทำเดินการตามกฎหมาย ผมไม่มีคนคำตอบเรื่องนี้ เป็นกระบวนการทางการเมือง ผมพูดอะไรไม่ได้ ไม่มีแนะนำ”

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เท่าที่ดูโผครม.หน้าตาดีกันหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ บอกว่า “ก็ดูหล่อดีทุกคนนะ หน้าตา”

สุดท้ายถามว่า ถ้าจะร้องเพลงจะร้องเพลงอะไร พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “เดี๋ยวนึกก่อน มีหลายเพลง”

นายกฯ ขอบคุณ ครม. ข้าราชการ – ขอจารึกการทำงานในความทรงจำ

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่า การประชุมในวันนี้ คาดว่าจะเป็นการประชุม ครม. ครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ และหลังจากสิ้นสุดวาระการประชุม นายกฯ กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีและข้าราชการทุกคนที่ได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจ ทำงานเพื่อประชาชนและบ้านเมืองตลอดระยะเวลา 4 ปี โดยนายกฯ แสดงความประทับใจและซาบซึ้งใจอย่างมาก

“ท่านพูดว่า ที่ผ่านมา ไม่มีช่วงเวลาใดที่ท่านรู้สึกหนักใจในทีมงาน ทั้งรัฐมนตรี สส. และข้าราชการ ท่านสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านจะขอจารึกไว้ในความทรงจำ” ดร.รัชดา กล่าว

ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า “ท่านได้กล่าวว่า ทุกอย่างทำให้ผมได้รู้จักคนดี มิตรดีๆ และถ้าหากมีโอกาสพบปะ ขอให้มีรอยยิ้มให้กัน โลกหมุนเปลี่ยนไป ทุกคนต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันกับกาลเวลา”

“ที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้สร้างรากฐานการพัฒนาบ้านเมืองในด้านต่างๆ ไว้เพื่อปูทางสู่เส้นทางความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนของประเทศชาติ สิ่งดีๆ เหล่านี้ท่านหวังว่าจะได้รับการสานต่อจากรัฐบาลชุดต่อไป จากนี้ขอเป็นผู้เฝ้าดูและผู้ให้กำลังใจทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการทุกคน ให้ช่วยได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป” ดร.รัชดา กล่าว

“ท่านขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทุกศาสนา พระบารมีแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ขอให้ปกป้องทุกคนให้มีความสุข ขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำงาน ทำในสิ่งที่ถูกต้องและท่านย้ำว่าสิ่งที่ถูกต้องเพื่อบ้านเมือง ประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์” ดร.รัชดากล่าว

นายกฯ ร่วมถ่ายภาพกับเจ้าหน้าที่ทุกคน

ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า ในการประชุมวันนี้ ยังมีการถ่ายภาพร่วมกันของผู้บริหาร นายกฯ กับคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักเลขารัฐมนตรี รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน เพราะเป็นองค์ประกอบในการประชุมทุกสัปดาาห์ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา

“บรรยากาศช่วงสุดท้ายก็เป็นไปอย่างประทับใจ นายกฯ เดินไปถ่ายรูปกับทุกคน ทุกโต๊ะด้วยรอยยิ้ม ข้าราชการน้องๆ ที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับสูงก็เข้มาถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก และมีความผูกพันและระลึกถึง มีทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความคิดถึงแฝงอยู่ ท่านย้ำอีกครั้งว่า ภาพที่ถ่ายวันนี้ ทุกคนจะอยู่ในความทรงจำและจะเป็นความผูกพันที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ดร.รัชดา กล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล, ดร.รัชดา ธนาดิเรก และนางสาวทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล (ซ้ายไปขวา) ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

อนุมัติงบกลาง 998 ล้าน เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

ดร.รัชดา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นในการจ่ายเงินงบอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 998.442 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อจ่ายเงินอุดหนุนสำหรับการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 2,254,534 คน ในเดือนกันยายน 2566

ดร.รัชดา กล่าวถึงความจำเป็นที่ขออนุมัติงบกลางฯ ว่า ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – สิงหาคม 2566 มีจำนวนเกินกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ ทำให้งบประมาณปี 2566 ที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อการเบิกจ่ายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีสิทธิ์ในเดือนกันยายน 2566

ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งจัดสวัสดิการพื้นฐานแก่เด็กแรกเกิดให้ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย โดยรัฐบาลมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กต่อเนื่องตั้งแต่แรกเกิด – 6 ปี ที่อยู่ในครัวเรือนยากจนซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในอัตราเดือนละ 600 บาทต่อคน

อนุมัติร่างกฎกระทรวง เพิ่มความปลอดภัยในอาคาร

ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. …) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535)) โดยมีสาระสำคัญ เพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อกำหนดด้านระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยในส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างและอุปกรณ์ ที่เป็นส่วนประกอบของอาคารสูง หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่าข้อกำหนดตามกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563 ให้เหมาะสม ทันสมัย มีมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านอัคคีภัยที่สูงขึ้น และอาคารมีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้อาคาร

สาระสำคัญ ดังนี้

1. กำหนดคำนิยามเพิ่มขึ้นให้ชัดเจน เช่น “เขตทาง” (ความกว้างรวมของทาง) เพื่อแก้ไขปัญหาการวัดความกว้างเขตทางที่มีความไม่ชัดเจน “การกันแยก” กำหนดกั้นแยกพื้นที่อาคารออกเป็นส่วนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามระหว่างแต่ละส่วนของอาคาร ช่วยให้ผู้คนหลบหนี และลดความเสี่ยงของอาคารที่พังทลายลงจากการแพร่กระจายของไฟ เรียกว่าการป้องกันอัคคีภัยแบบเชิงรับ (Passive Fire Protection) และ“ชั้นใต้ดิน” กำหนดพื้นที่ของอาคารชั้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับดิน มากกว่า 1.20 ม.

2. เพิ่มเติมข้อความ/ข้อกำหนดบางประการ เพื่อให้สอดคล้องกับกฏหมายที่มีการบังคับในปัจจุบัน และตามมาตรฐานสากล เช่น

  • เพิ่มเติมรายละเอียดถนนสาธารณะ เพื่อให้รถดับเพลิงวิ่งสวนกันได้ ซึ่งเดิมไม่ได้กำหนดถนนสาธารณะต้องมีผิวจราจรไว้
  • เพิ่มเติมข้อกำหนดบันไดหนีไฟชั้นใต้ดิน 1-2 ชั้น ต้องจัดให้มีบันไดหนีไฟที่มีทางเข้าออกได้โดยสะดวก ซึ่งเดิมกำหนดชั้นใต้ดินตั้งแต่ 3 ชั้นลงมา
  • เพิ่มเติมข้อกำหนดให้มีการติดตั้งแบบแปลน แผนผังของอาคารแต่ละชั้น ไว้ในตำแหน่งที่เห็นชัดเจน เช่น บริเวณห้องโถง หรือ หน้าลิฟต์ทุกแห่งของทุกชั้น
  • เพิ่มเติมข้อกำหนดให้มีการติดตั้งเครื่องดับเพลิง แบบมือถือหรือเครื่องดับเพลิงแบบยกหิ้ว (แบบมือถือ) ให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงมหาดไทย เรี่องการติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือหรือเครื่องดับเพลิงยกหิ้ว
  • แก้ไขการกำหนดอัตราการทนไฟของผนัง ประตู หรืออุปกรณ์อื่นที่ทำด้วยวัสดุทนไฟ เดิมไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง เป็นไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง สำหรับอาคารสูง และไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง สำหรับอาคารขนาดใหญ่พิเศษซึ่งไม่ใช่อาคารสูง แก้ไขข้อกำหนดรายละเอียดของบันไดหนีไฟ เพิ่มข้อบังคับเรื่องป้ายบอกทางหนีไฟ เพิ่มเติมวัสดุที่ใช้เป็นผนังภายนอกอาคาร ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีกำหนด

นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดบทเฉพาะกาล เพื่อให้อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ หรือที่ได้รับใบอนุญาตหรือใบรับแจ้งการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร และยังก่อสร้างหรือดัดแปลงไม่แล้วเสร็จ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้

จัดพื้นที่ สถานบริการ 24 ชม. ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการในท้องที่จังหวัดระยอง (ฉบับที่…) พ.ศ…. โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ เป็นการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (Zoning) ภายในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง

นางสาวไตรศุลี ให้ข้อมูลว่า เขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ (Zoning) ตั้งอยู่ในเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก มีพื้นที่รวมประมาณ 2,662 ไร่ สามารถจัดตั้งกิจกรรมสันทนาการที่เข้าข่ายสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และพื้นที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการจำหน่ายและช่วงเวลาการจำหน่าย และจะอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมและกำกับดูแลความสงบ

“ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ จะกำหนดพื้นที่ที่จะอนุญาตให้ตั้งสถานบริการภายในเขตส่งเสริมเมืองการบินให้ชัดเจน ส่วนกฎกระทรวงฯ จะเป็นการอนุญาตให้สถานบริการที่ตั้งในพื้นที่ที่กำหนดนี้สามารถเปิดบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพเมืองการบินภาคตะวันออก สามารถรองรับนักธุรกิจ ผู้เดินทาง นักท่องเที่ยว และผู้ใช้บริการสนามบินได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันก็เป็นการบริหารจัดการพื้นที่ให้สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน” นางสาวไตรศุลี กล่าว

ตั้งคณะแพทยศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบร่างกฎกระทรวงจัดตั้งส่วนราชการในสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขพ.ศ…. โดยมีสาระสำคัญเป็นจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ เป็นส่วนราชการภายในสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งขาดแคลน รวมถึงเป็นการสนับสนุนโครงการผลิตแพทย์ (Project to Increase Production of Rural Doctor : CPIRD)

ทั้งนี้ ครม. ได้มีมติเห็นชอบโครงการนี้เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2565 เรื่อง โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ.2561-2570 และร่างกฎกระทรวงฯได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 65 และได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เมื่อวันที่ 10 ม.ค.

คณะกรรมาธิการสธ. วุฒิสภา เสนอ “กรมทันตกรรมสุขภาพ”

นางสาวไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบผลการพิจารณารายงานการศึกษา เรื่อง การขับเคลื่อนเร่งรัดปฏิรูประบบทันตกรรมสาธารณสุขไทยและการเข้าถึงทันตกรรม ของคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา และให้แจ้งผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องนี้ ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป

นางสาวไตรศุลี กล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่าปัจจุบันงานด้านทันตสาธารณสุขไทยในกระทรวงสาธารณสุข ยังขาดหน่วยงานหลักในการกำหนดนนโยบายในองค์รวม ดังนั้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาและปฏิรูประบบงานให้ต่อสถานการณ์ปัญหาด้านทันตกรรมของประชาชน จึงเสนอให้ตั้ง “กรมทันตสุขภาพ” แบ่งโครงสร้างออกเป็น 6 กอง ได้แก่ กองสนับสนุนส่งเสริมทันตกรรมสุขภาพ, กองพัฒนาบริการรักษาทันตกรรมสุขภาพ, กองพัฒนาส่งเสริมคุณภาพบุคลากร, กองบริหารอำนวยการด้านทันตกรรมสุขภาพ, กองเทคโนโลยี นวัตกรรมและวิจัยด้านทันตกรรม และ กองทันตกรรมสาธารณสุขและปฐมภูมิ

ขยายเวลาจัดหาวัคซีนโควิด-19 ถึง มี.ค. 67

นางสาวไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.)ภายใต้พระราชกำหนด(พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ.2564)

โดยอนุมัติให้กรมควบคุมโรคขยายระยะเวลาการสิ้นสุดโครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 สำหรับประชากรในประเทศไทยจำนวน 60 ล้านโดส (AstraZeneca) ปี พ.ศ. 2565 และโครงการจัดหาวัคซีนโควิด-19 จำนวน 30 ล้านโดส (Pfizer) พ.ศ.2565 ไปสิ้นสุดโครงการในเดือนมี.ค. 2567 จากเดิมที่สิ้นสุดโครงการ ก.ย. 2566

เปลี่ยนรายละเอียดโครงการเศรษฐกิจฐานราก 7 จังหวัด

นางสาวไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. ยังอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากใน 7 จังหวัด รวม 9 โครงการ วงเงินรวม 74.136 ล้านบาทประกอบด้วย

  1. ยกเลิกดำเนินโครงการใน 2 จังหวัดได้แก่มหาสารคาม และนครราชสีมา รวม 3 โครงการ กรอบวงเงิน 2.137 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถจัดหาผู้รับจ้างและลงนามผูกพันทันภายในพ.ย. 2565
  2. ขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเป็นสิ้นสุด ก.ย. 66 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 2 โครงการ วงเงินรวม 16.453 ล้านบาท เนื่องจากดำเนินการแล้วเสร็จอยู่ระหว่างเบิกจ่ายเงินตามขั้นตอน
  3. ขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเป็น ธ.ค. 2566 ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด นครสวรรค์ และนราธิวาส รวม 3 โครงการ วงเงินรวม 52.865 ล้านบาท เนื่องจากลงนามผูกพันสัญญาแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ
  4. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการและขยายระยะเวลาสิ้นสุดเป็น ก.ย. 2566 ในจังหวัดสมุทรสาคร 1 โครงการ วงเงิน 2.68 ล้านบาท

รายงานงบเบิกจ่าย ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม. ได้รับทราบภาพรวมผลการดำเนินงานและเบิกจ่ายเงินกู้ของแผนงานหรือโครงการภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ราย 3 เดือนครั้งที่ 8 (พ.ค.-ก.ค. 66) ณ สิ้นเดือนก.ค. 2566 มีดังนี้

โครงการของส่วนราชการ จำนวน 85 โครงการ กรอบวงเงินอนุมัติ 494,760.93 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแล้วเสร็จ 79 โครงการ วงเงินอนุมัติ 455,233.34 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย 438,671.87 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 96.36โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 6 โครงการ กรอบวงเงินอนุมัติ 39,527.59 ล้านบาท มีผลการเบิกจ่าย 30,662.90 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.57

โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็ง จำนวน 2,285 โครงการ กรอบวงเงิน 4,762.87 ล้านบาท มีความก้าวหน้าแบ่งเป็น 4 สถานะ ได้แก่

  1. โครงการแล้วเสร็จ 2,224 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 4,526.06 ล้านบาท
  2. โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ 27 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 97.30 ล้านบาท
  3. โครงการที่สิ้นสุดระยะเวลาโดยไม่มีการเบิกจ่าย 28 โครงกา วงเงินอนุมัติรวม 67.51 ล้านบาท
  4. โครงการที่ขอขยายระยะเวลา  6 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 72 ล้านบาท

ปัญหาโครงสร้างประชากรเด็ก-เยาวชน

นางสาวทิพานัน กล่าวว่า ที่ประชุมครม. มีมติรับทราบรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2563 และ 2564 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยแนวโน้มสถานการณ์เด็กและเยาวชน พบว่า โครงสร้างประชากรเด็กและเยาวชน (อายุ 0-25 ปี) มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2563 มีจำนวน 20.18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 30.49 จากประชากรทั้งประเทศ 66.19 ล้านคน และปี 2564 มีจำนวน 19.73 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 29.81 จากประชากรทั้งประเทศ 66.17 ล้านคน ซึ่งปี 2564 เป็นปีแรกที่อัตราการเกิดลดต่ำจนน้อยกว่าอัตราการตายเนื่องจากแนวโน้มสภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลงเกิดจากผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มที่จะแต่งงานช้าลง

สาระสำคัญ ดังนี้

  1. ช่วงเด็กปฐมวัย 0-6 ปี เช่น น้ำหนักทารกแรกเกิด โดยในปี 2563 มีจำนวนทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 42,756 คน คิดเป็นร้อยละ 9.52 จากทารกเกิดมีชีพ 449,220 คน และในปี 2564 จำนวนทารกแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 40,098 คน คิดเป็นร้อยละ 9.87 จากทารกเกิดมีชีพ 406,345 คน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2563
  2. ช่วงเด็กวัย 7-12 ปี เกิดภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนในเด็กวัยเรียน โดยในปี 2563 จำนวน 575,442 คน (จากการสำรวจเด็กวัยเรียน 4.51 ล้านคน) และในปี 2564 จำนวน 456,747 คน (จากการสำรวจเด็กวัยเรียน 4.09 ล้านคน) เนื่องจากมาตรการล็อคดาวน์และปิดโรงเรียนในช่วงโควิด-19 ส่งผลต่อการเข้าถึงอาหารที่โรงเรียนและการเคลื่อนไหวร่างกายตามประสาวัยเด็กอาจเป็นส่วนทำให้มีจำนวนโรคอ้วนในเด็กมากขึ้นได้
  3. ช่วงเยาวชน 13-17 ปี พบสภาพการณ์ความขัดแย้งภายในครอบครัวและโรงเรียนจากการแสดงออกทางการเมือง ทำให้สังคมไทยได้เห็นภาพการแบ่งรุ่น แบ่งวัย และความต่างทางความคิดอย่างชัดเจน รวมถึงปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศและปัญหาการใช้สื่อออนไลน์โดยเฉพาะการติดพนันออนไลน์ที่ยังคงมีเพิ่มมากขึ้น
  4. ช่วงเยาวชน 18-25 ปี ถูกปลดออกจากงานและเผชิญกับปัญหาการว่างงานหลังเรียนจบ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการสำรวจในช่วงต้นปี 2563 พบว่า คนในช่วงอายุ 15-24 ปีถูกเลิกจ้างงานเป็นจำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลกและเป็นกลุ่มประชากรที่ตกงานมากกว่าคนในวัยอื่น ๆ โดยในปี 2564 มีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน
  5. เด็กและเยาวชนที่ต้องการการคุ้มครองเป็นพิเศษ เช่น เด็กพิการ โดยไทยมีจำนวนเด็กและเยาวชนที่พิการในปี 2563จำนวน 153,708 คน (จากประชากรเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ 19.21 ล้านคน) และในปี 2564 จำนวน 151,163 คน (จากประชากรเด็กและเยาวชนทั้งประเทศ 19.73 ล้านคน) ซึ่งเด็กและเยาวชนที่พิการส่วนใหญ่อยู่ในครอบครัวที่ยากจน ไม่ได้เข้าเรียน และเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสจากสถานการณ์โควิด-19 พบปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเรียนการสอนแบบออนไลน์ รวมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ การขาดแคลนอาหาร ที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายในครอบครัว
  6. เด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษ โดยเด็กและเยาวชนไทยได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางวิชาการระหว่างประเทศ (คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ) และได้รับเหรียญจากการเป็นนักกีฬาพาราลิมปิกทีมชาติไทย (นักวีลแชร์เรซซิ่งและนักกอล์ฟ)