ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup “ฮุน เซน” แย้ม “ฮุน มาเนต” นั่งนายกฯ ใน 4-5 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง 23 ก.ค.

ASEAN Roundup “ฮุน เซน” แย้ม “ฮุน มาเนต” นั่งนายกฯ ใน 4-5 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง 23 ก.ค.

23 กรกฎาคม 2023


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 16-22 กรกฎาคม 2566

  • ฮุน เซน แย้ม ฮุน มาเนต อาจนั่งนายกฯใน 4-5 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง 23 ก.ค.
  • เวียดนามกิโยตินกฎระเบียบธุรกิจกว่า 2,300 รายการ
  • บั๊กซาง ในเวียดนามวางแผนเพิ่ม 5 นิคมอุตสาหกรรม
  • เวียดนามลงนามซื้อถ่านหินลาว 5 ปี
  • ลาวออกคำสั่งควบคุมเงินตราต่างประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
  • อินโดนีเซียขึ้นภาษีส่งออกทองแดง สังกะสี และเหล็ก
  • ธนาคารกลางเมียนมาเร่งดันระบบชำระเงินดิจิทัล
  • ฮุน เซน แย้ม ฮุน มาเนต อาจนั่งนายกฯใน 4-5 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง 23 ก.ค.

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501328557/prime-minister-hun-sen-hints-that-manet-may-become-prime-minister-in-4-5-weeks/

    นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาแย้มเป็นนัยว่า ฮุน มาเนต อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแทนเขาในอีก “4-5 สัปดาห์” ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Phoenix TV ของจีนที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ค.) จากการรายงานของKhmer Times

    “ในอีก 3 หรือ 4 สัปดาห์ ฮุน มาเนต ก็น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ขึ้นอยู่กับว่าฮุน มาเนต จะทำได้หรือไม่” สมเด็จฮุน เซนกล่าว

    นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้ทำนายชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) แม้ยังไม่ถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ (23 ก.ค.) นี้ และยังกำหนดให้วันที่ 29 สิงหาคม เป็นวันที่รัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดย CPP จะเข้าพิธีถวายสัตย์

    ที่มาภาพ : https://www.khmertimeskh.com/501328615/timeline-revealed-for-hun-manets-potential-rise-to-power-in-cambodia/

    Khmer Times ยังรายงานอีกด้วยว่า การแย้มเป็นนัยของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาที่บริหารประเทศมานาน ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่ว เพราะจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาหลังฮุน มาเนต ซึ่งจบการศึกษาจากเวสต์พอยต์ เสร็จสิ้นการรณรงค์หาเสียงของพรรคประชาชนกัมพูชา

  • Khmer Times สื่อกัมพูชา ยก “ฮุน มาเนต” ลูกชายคนโตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน “The Hope of Cambodia”
  • ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Phoenix TV ของจีนด้วยการบันทึกเทปวีดีโอ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน เปิดเผยว่า มีผู้สมัครแถวหน้าอยู่สองคนคือตัวเขาเองและฮุน มาเนต และเชื่อว่า ฮุน มาเนต ลูกชายของเขาอาจมีความสามารถมากกว่าเขาและจะรับใช้ประชาชนได้ดีกว่า การถ่ายโอนอำนาจที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้มาจากสายสัมพันธ์ในครอบครัว แต่เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพภายในประเทศ

    การแสดงความเห็นล่าสุดของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน นับเป็นครั้งแรกที่มีการระบุระยะเวลาของการถ่ายโอนอำนาจ ก่อนหน้านี้ในปี 2564 เขาเคยแสดงจุดยืนว่า การรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฮุน มาเนต จะไม่เกิดขึ้นก่อนปี 2571 โดยกล่าวว่า “ผมยังอยู่ แล้วทำไมลูกชายของผมถึงต้องเป็นนายกรัฐมนตรี” อย่างไรก็ตาม คำพูดล่าสุดของเขาบ่งชี้ว่าการถ่ายโอนอำนาจอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด 3 หรือ 4 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งที่จะมาถึง

    ฮุน มาเนต เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง เขาสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการทหารสหรัฐอันทรงเกียรติที่เวสต์พอยต์ในปี 2541 และได้รับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในปี 2545 ตามด้วยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบริสตอลในปี 2551

    ในฐานะผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของพนมเปญ โอกาสของฮุน มาเนตในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของกัมพูชาดูเหมือนว่าจะไม่ยาก

    พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพลิงเทียน (Candlelight Party) ถูกตัดสิทธิ์จากการลงแข่งขันในการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของประเทศ โดยอ้างว่าไม่มีเอกสาร

    ในวันสุดท้ายของการหาเสียง ฮุน มาเนต แสดงความมั่นใจว่าพรรคของเขา หรือพรรคประชาชนกัมพูชาที่ปกครองประเทศ จะชนะอย่างถล่มทลาย เขาเน้นย้ำถึงบทบาทของ CPP ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในประเทศหลังสงครามหลายทศวรรษ ฮุน มาเนต เน้นย้ำว่า แนวทางของพวกเขาเป็นไปตามหลักนิติธรรมและอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรมและโปร่งใส

    การสืบทอดอำนาจที่อาจเกิดขึ้นในกัมพูชาได้ก่อให้เกิดการวางแผน การคบคิดและการเก็งผล การที่นายกรัฐมนตรีฮุน เซน รับรองความสามารถของลูกชายและระยะเวลาที่เป็นไปได้สำหรับการถ่ายโอนอำนาจทำให้ตกตะลึง เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา ทุกสายตาจับจ้องที่ฮุน มาเนต เพื่อดูว่าเขาจะรับบทบาทนายกรัฐมนตรีและนำประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้นำรุ่นใหม่รุ่นที่สองตามที่ต้องการหรือไม่

    นายกฯ ฮุน เซน ซึ่งครองอำนาจมาเป็นเวลา 38 ปี และจะมีอายุครบ 71 ปีในเดือนหน้า กล่าวว่า “ก็ต้องดูกันว่าคนเขาจะคิดอย่างไร” “ผมเชื่อว่ามาเนตมีความสามารถมากกว่าผม เขาจะรับใช้ประชาชนได้ดีกว่าผม”

    ที่มาภาพ: https://www.khmertimeskh.com/501328444/hun-manet-rallies-cpp-faithful-on-last-day-of-national-election-campaign/
    รายงานขา่วอีกชิ้นหนึ่งของKhmer Timesระบุว่า ฮุน มาเนต ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคตของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ได้กล่าวปราศรัยต่อผู้ที่ชื่นชอบและศรัทธาในพรรค ในระหว่างการเดินหาเสียงกับผู้สนับสนุนพรรค CPP เกือบ 60,000 คนในใจกลางกรุงพนมเปญ

    ในวันสุดท้ายของการหาเสียงตามที่กำนดไว้สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป 2566 เขากล่าวว่า มีเพียงพรรค CPP เท่านั้นที่มีความสามารถและประสบการณ์มากพอ ที่จะนำพากัมพูชาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตและนำความสงบสุขมาให้กับประชาชน

    ฮุน มาเนต ปราศรัยว่า “พรรค CPP มีความสามารถเพียงพอที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง สันติภาพ และการพัฒนาในทุกที่ พรรค CPP ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนไปข้างหน้าในกัมพูชามาโดยตลอด”

    นโยบายของพรรคกำหนดชัดเจนในการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาของประชาชนในทุกสถานการณ์ ตอบสนองความต้องการของประชาชนและทุกสถานการณ์

    ฮุน มาเนต กล่าวอีกว่า แม้กลุ่มฝ่ายค้านจะพยายามขัดขวางการพัฒนาและสร้างความไม่สงบในสังคม ด้วยการขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง แต่พรรค CPP ก็เดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่นและได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก

    ในวันสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งระดับประเทศในเช้าวันศุกร์ (21 ก.ค.) ฮุน มาเนต พร้อมด้วย ควง เซร็ง ประธานคณะกรรมการพรรคประจำกรุงพนมเปญ นำสมาชิกพรรค CPP เกือบ 60,000 คน เดินขบวนหาเสียงทั่วกรุงพนมเปญ

  • พรรคประชาชนกัมพูชา หนุน “ฮุน มาเนต” ลูกชายคนโตฮุนเซน ตัวแทนชิงนายกรัฐมนตรี
  • พิธีปิดการรณรงค์หาเสียงมีผู้เข้าร่วม 60,000 คน รวมทั้งผู้ที่ชื่นชมในพรรค 40,000 คนที่เรียงรายไปตามถนนเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเกาะเพชร ขบวนเคลื่อนตัวไปทางเหนือตามถนนนโรดมไปยังอนุสาวรีย์เอกราช และขึ้นเหนือผ่านใจกลางเมืองไปยังพื้นที่บึงกัก พร้อมวงดนตรีประมาณ 10 วง บรรเลงดนตรีไปตามขบวนแห่

    ผู้ที่ร่วมเดินหาเสียงเรียกร้องให้ประชาชนลงคะแนนให้พรรค CPP พรรคนี้เป็นพรรคลำดับที่ 18 ตามรายชื่อในบัตรลงคะแนน การรณรงค์หาเสียงของพรรค CPP เป็นการลงเลือกตั้งครั้งที่ 7 สำหรับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และสำหรับฮุน มาเนต ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต

    เวียดนามกิโยตินกฎระเบียบธุรกิจกว่า 2,300 รายการ

    ฝ่าม ทิ ทันห์ จ่า รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเวียดนาม ที่มาภาพ:https://en.baochinhphu.vn/over-2300-business-regulations-streamlined-111230719214354525.htm

    ฝ่าม ทิ ทันห์ จ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเวียดนาม เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2564 ได้มีการแก้ไขจัดระเบียบกฎข้อบังคับทางธุรกิจมากถึง 2,352 รายการในเอกสารทางกฎหมาย 191 ให้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการในการยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น

    รัฐมนตรีฝ่ามประกาศในการประชุมที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธ (19 ก.ค.) เพื่อทบทวนความคืบหน้าการปฏิรูปการบริหารในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และกำหนดภารกิจในช่วงที่เหลือของปี

    ในช่วงครึ่งปีแรก นายกรัฐมนตรีอนุมัติการยกเลิกกฎระเบียบทางธุรกิจ 47 ฉบับ ขณะที่กระทรวงต่างๆ ยกเลิก 210 ฉบับ

    นายกรัฐมนตรีฝ่าม มินห์ จิ๋งห์ ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงการคลัง และธนาคารกลางของเวียดนาม จัดการหารือและติดต่อกับสมาคมและองค์กรต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อ กิจกรรมนำเข้าและส่งออก ตลอดจนการชำระเงิน

    กระทรวงแรงงาน ผู้ทุพพลภาพ และกิจการสังคม ถูกมอบหมายให้เสนอแก้ไขกฎข้อบังคับฉบับที่ 152/2020/ND-CP ที่กำกับการจัดการแรงงานต่างชาติในเวียดนาม และการจัดหาและการจัดการชาวเวียดนามที่ทำงานให้กับองค์กรและบุคคลต่างด้าวในเวียดนามในเดือนกรกฎาคม

    โง ไห่ ฟาน ผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักงาน Administrative Procedures Control Agency ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การลดความซับซ้อนของกฎระเบียบทางธุรกิจยังไม่ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล

    ภายใต้มติฉบับที่ 68/NQ-CP ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะลดความซับซ้อนของกฎระเบียบทางธุรกิจอย่างน้อย 20%ในช่วงปี 2563-2568

    โงกล่าวว่า กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ควรต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการดำเนินการตามมติที่ได้จากการหารือสมาคมและองค์กรธุรกิจ ตามแผนที่จะยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจ

    บั๊กซาง ในเวียดนามวางแผนเพิ่ม 5 นิคมอุตสาหกรรม

    ที่มาภาพ : https://vir.com.vn/bac-giang-to-add-five-new-industrial-zones-103612.html
    จังหวัดบั๊กซาง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามกำลังวางแผนเพิ่มนิคมอุตสาหกรรมอีก 5 แห่ง โดยมีพื้นที่รวม 1,100 เฮกตาร์

    นิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกในบั๊กซางคือ Duc Giang Industrial Zone (IZ) ซึ่งมีพื้นที่ 288 เฮกตาร์ แห่งที่สองคือ Hoa Phu IZ-เฟส 2 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 222 เฮกตาร์ ในเขต Yen Dung อีกนิคมอุตสาหกรรมหนึ่งคือ Nghia Hung IZ ซึ่งมีพื้นที่ 152 เฮกตาร์

    นิคมอุตสาหกรรมแห่งที่สี่คือ Tien Son – Ninh Son IZ มีพื้นที่ทั้งหมด 223 เฮกตาร์ การก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะมีพื้นที่ทั้งหมด 90 เฮกตาร์ ส่วนแห่งที่ 5 คือ Xuan Cam-Huong Lam IZ ในเขต Hiep Hoa ซึ่งกินพื้นที่ 224 เฮกตาร์

    ปัจจุบัน จังหวัดมีนิคมอุตสาหกรรม 8 แห่งที่ได้รับอนุมัติให้ลงทุน โดยมีพื้นที่รวมเกือบ 2,000 เฮกตาร์

    ในช่วงปี 2564-2573 จังหวัดจะมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 29 แห่ง ซึ่งแผนการขยายจะได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี

    การเพิ่มนิคมอุตสาหกรรม จะทำให้จังหวัดมีเงื่อนไขที่ดีขึ้นในการดึงดูดนักลงทุน จังหวัดบั๊กซางกำลังดำเนินการเพื่อคัดเลือกโครงการลงทุนที่จะดึงดูดมากขึ้น โดยเน้นไปที่โครงการขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง และโครงการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ มีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก และมีส่วนในงบประมาณของรัฐและสวัสดิการสังคมอย่างมีนัยสำคัญ

    ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 แม้ว่าโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้มากมาย แต่การลงทุนในบั๊กซางก็ยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะในโครงการใหม่ๆ ที่ต่างชาติลงทุน

    ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน จังหวัดสามารถดึงดูดโครงการลงทุนจากต่างชาติได้ 34 โครงการ ด้วยทุนจดทะเบียนรวม 1.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึง 4 เท่า ติดอันดับ 2 ของประเทศในแง่ของการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ รองจากฮานอย

    เวียดนามลงนามซื้อถ่านหินลาว 5 ปี

    ที่มาภาพ : https://english.thesaigontimes.vn/vietnam-to-import-20-million-tons-of-coal-from-laos-every-year/
    เวียดนามจะซื้อถ่านหินจากลาวประมาณ 20 ล้านตันต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นหลักความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าว VnExpress

    เมื่อบ่ายวันที่ 20 กรกฎาคม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามและกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ของลาว ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในภาคถ่านหินเป็นเวลา 5 ปี

    ตาม MOU เวียดนามวางแผนที่จะนำเข้าถ่านหินประมาณ 20 ล้านตันต่อปีจากลาว ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและสภาวะของประเทศ

    การลงนาม MOU คาดว่าจะเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและรับประกันความมั่นคงด้านพลังงานในเวียดนาม รวมทั้งสนับสนุนลาวในการใช้ประโยชน์และส่งเสริมศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมถ่านหิน

    ลาวเป็นผู้จัดหาถ่านหิน สินแร่ และแร่ธาตุที่สำคัญให้แก่เวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวียดนามนำเข้าสินแร่และแร่ธาตุจำนวน 1.8 ล้านตัน มูลค่า 78.2 ล้านเหรียญสหรัฐจากลาวในปี 2565

    ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เวียดนามใช้จ่ายเงินประมาณ 31.6 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อสินแร่และถ่านหินจำนวน 900,000 ตันจากลาว

    ทั้งสองประเทศยังได้ดำเนินโครงการลงทุนและความร่วมมือมากมายในภาคพลังงาน เช่น โครงการไฟฟ้าพลังน้ำและโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าจากลาวไปยังเวียดนาม

    นายกรัฐมนตรีเวียดนามเพิ่งอนุมัติข้อเสนอนำเข้าไฟฟ้าจากโครงการพลังงานต่างๆ ในลาว ขนาดกำลังการผลิตรวม 2,689 เมกะวัตต์ เวียดนามมีสายส่งไฟฟ้า 220 กิโลวัตต์ หลายสายเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

    ลาวออกคำสั่งควบคุมเงินตราต่างประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

    ที่มาภาพ: https://laotiantimes.com/2023/05/31/explainer-amended-lao-law-on-foreign-currency-management/
    นายกรัฐมนตรีลาวได้สั่งให้ดำเนินการเพื่อควบคุมเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้เงินตราต่างประเทศที่ได้จากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการใช้เงินกีบลาว

    คำสั่งเจ็ดหน้าซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอุปทานของเงินตราต่างประเทศ นำไปสู่การลดการใช้เงินดอลลาร์ และสร้างความต้องการเงินกีบลาว

    คำสั่งมีเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ลาวได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและหนี้สาธารณะที่สูง ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินกีบลาว ปัจจุบันกว่า 30% ของรายได้จากส่งออกเข้าสู่ลาวผ่านระบบธนาคาร

    ภายใต้คำสั่งใหม่ ธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้รับคำสั่งให้ยกระดับระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน และควบคุมการใช้เงินตราต่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษ

    กระทรวงการคลังได้รับคำสั่งให้จัดเก็บภาระภาษีและรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจากผู้ส่งออกหรือหน่วยธุรกิจที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ

    กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ได้รับคำสั่งให้พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเชื่อมโยงหรือแบ่งปันข้อมูลกับธนาคารแห่ง สปป. ลาว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการนำเข้าและส่งออก

    ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกต้องมีบัญชีธนาคารเฉพาะในลาวเพื่อดำเนินการธุรกรรมทางการเงิน และต้องลงทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์และโอนเงินที่ได้จากการส่งออกผ่านระบบธนาคารและเข้าบัญชีเฉพาะ

    ผู้ส่งออกที่ต้องการเก็บเงินตราต่างประเทศไว้ในต่างประเทศเพื่อชำระคืนเงินกู้ในประเทศอื่น จะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่ง สปป.ลาว

    กระทรวงการวางแผนและการลงทุนได้รับการร้องขอให้ทำงานร่วมกับธนาคารแห่ง สปป.ลาว และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและแบ่งปันข้อมูลเพื่อควบคุมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ

    นอกจากนี้ ได้กำชับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ควบคุมและตรวจสอบการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการลงทุนในต่างประเทศ และรายงานสถานการณ์ต่อธนาคารแห่ง สปป.ลาว อย่างสม่ำเสมอ

    หนึ่งในความท้าทายหลักสำหรับลาวคือ การลงทุนจากต่างประเทศจริงที่ไหลเข้าระบบธนาคารนั้น ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนจดทะเบียนที่ตกลงกันไว้มาก ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลของการชำระเงินโดยรวมในประเทศ

    กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ยังได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบและกำหนดโครงสร้างราคาและเพื่อให้มั่นใจว่า การซื้อขายยานยนต์และโลหะมีค่าและการชำระค่าบริการที่ปรึกษาเป็นเงินกีบลาวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

    การซื้อและขายที่ดินและที่อยู่อาศัย การชำระค่าบริการขนส่ง ค่าธรรมเนียมสัญญาก่อสร้าง ค่าบริการการศึกษา ค่ากีฬา ค่ายาและค่ารักษา ค่าบริการสื่อ ค่าบริการไกด์นำเที่ยว และการชำระเงินสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และสินค้าอื่นๆ ในตลาดท้องถิ่น (ราคาสินค้าและบริการจำนวนมากเหล่านี้กำหนดราคาเป็นสกุลเงินต่างประเทศ) จะต้องดำเนินการในสกุลเงินท้องถิ่น

    นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ยังถูกขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจต่างๆ แสดงราคาสินค้าและบริการของตนเป็นกีบ รวมถึงธุรกิจที่ดำเนินการทางออนไลน์ด้วย

    การจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างจะต้องจ่ายเป็นเงินกีบลาวด้วย ยกเว้นในกรณีของแรงงานต่างด้าวและผู้เชี่ยวชาญที่จ่ายค่าจ้างเป็นเงินตราต่างประเทศได้

    อินโดนีเซียขึ้นภาษีส่งออกทองแดง สังกะสี และเหล็ก

    ที่มาภาพ: https://www.thestar.com.my/aseanplus/aseanplus-news/2023/07/18/indonesia-hikes-export-taxes-for-copper-zinc-and-iron—finmin

    อัตราภาษีส่งออกของอินโดนีเซียสำหรับทองแดงเข้มข้นจะเพิ่มขึ้นป็นช่วง 5% ถึง 10% ตามกฎระเบียบใหม่ เนื่องจากรัฐบาลพยายามผลักดันให้เหมืองแปรรูปโลหะในประเทศมากกว่าส่งออกแร่ดิบ

    การปรับขึ้นภาษีเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอของรัฐบาลในการผลักดันการก่อสร้างโรงถลุงแร่ในอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการแปรรูปในประเทศเพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรแร่ของประเทศ นอกจากนี้ยังห้ามการส่งออกแร่ดิบในเดือนมิถุนายน

    อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียอนุญาตให้หลายบริษัทที่มีการก่อสร้างโรงถลุงมากกว่า 50% ยังส่งออกแร่เข้มข้นต่อไปได้จนถึงกลางปี ​​2567 หากจ่ายเสียภาษีส่งออก บริษัทเหมืองที่มีอัตราการหลอมสำเร็จสูงสุดจะถูกเรียกเก็บเงินในอัตราที่ต่ำกว่า

    ภายใต้กฎใหม่ บริษัทเหมืองที่มีอัตราการหลอมสำเร็จอยู่ที่ 50% หรือมากกว่า แต่น้อยกว่า 70% จะต้องเสียภาษีส่งออกในอัตรา 10% บรรดาโรงหลอมที่มีความสมบูรณ์ 70% ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 90% จะจ่ายภาษี 7.5% และโรงหลอมที่มีความสมบูรณ์ 90% ขึ้นไปจะจ่ายภาษี 5% กฎระเบียบที่เผยแพร่โดยกระทรวงการคลัง ระบุ

    ก่อนหน้านี้ภาษีสูงสุดของบริษัทเหมืองทองแดงสำหรับการส่งออกคือ 5%

    อัตราภาษีของแร่เหล็ก สังกะสี และตะกั่ว จะเพิ่มขึ้นเป็นช่วง 2.5% ถึง 7.5% ตามอัตราเดียวกันของการหลอมโลหะ

    อัตราใหม่นี้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมถึงธันวาคม 2566 และจะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

    อัตราภาษีส่งออกสำหรับทองแดงเข้ข้นจะเพิ่มขึ้นเป็นช่วง 7.5% ถึง 15% ขึ้นอยู่กับความสำเร็ของการหลอมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ในขณะที่ช่วงสำหรับคเหล็ก สังกะสี และตะกั่วmujg-h,-hoจะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 5% ถึง 10%

    ธนาคารกลางเมียนมาเร่งดันระบบชำระเงินดิจิทัล

    ที่มาภาพ: https://www.mdn.gov.mm/en/2c2p-partners-kbzpay-expand-digital-payments-network-myanmar

    ธนาคารกลางแห่งเมียนมา (Central Bank of Myanmar หรือ CBM) จะเร่งผลักดันระบบการชำระเงินดิจิทัลในประเทศ ตามประกาศที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม

    CBM กำลังพยายามปรับปรุงแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการชำระเงินที่ให้บริการธุรกรรมดิจิทัลทั่วประเทศ รักษาความปลอดภัยระบบการชำระเงินดิจิทัล และลดการใช้เงินสดของประชาชน

    CBM ได้อนุญาตให้ธนาคารให้บริการธนาคารดิจิทัล ทั้ง ไอแบงกง, โมบายแบงกิง, โมบายเพย์ และบริการทางการเงินผ่านมือถือ และยังได้เปิดตัว MMMQR เวอร์ชัน 1.0 สำหรับการชำระเงินด้วย QR Code ในเดือนมกราคม 2562 และทำให้สามารถมีการทำงานร่วมกันข้ามระบบการชำระเงิน รวมไปถึงได้ออกใบอนุญาตให้บริการแก่ผู้ค้าเพื่อให้ธนาคารผู้รับสามารถดำเนินการชำระเงินจากลูกค้าในนามของผู้ค้าได้

    เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์การชำระเงินแห่งชาติ (พ.ศ. 2563-2568) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลระบบการชำระเงินแห่งชาติซึ่งประกอบด้วย CBM และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและดำเนินการประสานงาน

    ด้วยการดำเนินการต่อเนื่องในการส่งเสริมการชำระเงินดิจิทัล (i-banking, m-banking, mobile pay และ mobile wallet services) ภาคการชำระเงินดิจิทัลจึงเติบโตเป็น 31.666 พันล้านจั๊ตในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปี 2564

    CBM ได้ให้แนวทางแก่ธนาคารและบริการทางการเงินบนมือถือเพื่อเปลี่ยนกรุงเนปิดอว์ ให้เป็นเมืองดิจิทัล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 โดย CBM ได้นำการจ่ายเงินเดือนแบบดิจิทัลมาใช้กับเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการชำระเงินแบบดิจิทัลในเมืองหลวง

    ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศลดลง เหลือ 29% ในปี 2565 และ 11% ณ เดือนพฤษภาคม 2566 จาก 48%ในปี 2564

    CBM จะดำเนินการเพื่อลดการใช้เงินสด สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับระบบการชำระเงินดิจิทัลในหมู่ประชาชน และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล