ASEAN Roundup ประจำวันที่ 16-22 กรกฎาคม 2566
ฮุน เซน แย้ม ฮุน มาเนต อาจนั่งนายกฯใน 4-5 สัปดาห์หลังเลือกตั้ง 23 ก.ค.
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาแย้มเป็นนัยว่า ฮุน มาเนต อาจดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแทนเขาในอีก “4-5 สัปดาห์” ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Phoenix TV ของจีนที่ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ (21 ก.ค.) จากการรายงานของKhmer Times
“ในอีก 3 หรือ 4 สัปดาห์ ฮุน มาเนต ก็น่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ขึ้นอยู่กับว่าฮุน มาเนต จะทำได้หรือไม่” สมเด็จฮุน เซนกล่าว
นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ได้ทำนายชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) แม้ยังไม่ถึงการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ (23 ก.ค.) นี้ และยังกำหนดให้วันที่ 29 สิงหาคม เป็นวันที่รัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดย CPP จะเข้าพิธีถวายสัตย์
Khmer Times ยังรายงานอีกด้วยว่า การแย้มเป็นนัยของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาที่บริหารประเทศมานาน ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่ว เพราะจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาหลังฮุน มาเนต ซึ่งจบการศึกษาจากเวสต์พอยต์ เสร็จสิ้นการรณรงค์หาเสียงของพรรคประชาชนกัมพูชา
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Phoenix TV ของจีนด้วยการบันทึกเทปวีดีโอ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน เปิดเผยว่า มีผู้สมัครแถวหน้าอยู่สองคนคือตัวเขาเองและฮุน มาเนต และเชื่อว่า ฮุน มาเนต ลูกชายของเขาอาจมีความสามารถมากกว่าเขาและจะรับใช้ประชาชนได้ดีกว่า การถ่ายโอนอำนาจที่อาจเกิดขึ้นไม่ได้มาจากสายสัมพันธ์ในครอบครัว แต่เพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพภายในประเทศ
การแสดงความเห็นล่าสุดของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน นับเป็นครั้งแรกที่มีการระบุระยะเวลาของการถ่ายโอนอำนาจ ก่อนหน้านี้ในปี 2564 เขาเคยแสดงจุดยืนว่า การรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฮุน มาเนต จะไม่เกิดขึ้นก่อนปี 2571 โดยกล่าวว่า “ผมยังอยู่ แล้วทำไมลูกชายของผมถึงต้องเป็นนายกรัฐมนตรี” อย่างไรก็ตาม คำพูดล่าสุดของเขาบ่งชี้ว่าการถ่ายโอนอำนาจอาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด 3 หรือ 4 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งที่จะมาถึง
ฮุน มาเนต เป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง เขาสำเร็จการศึกษาจากสถาบันการทหารสหรัฐอันทรงเกียรติที่เวสต์พอยต์ในปี 2541 และได้รับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กในปี 2545 ตามด้วยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบริสตอลในปี 2551
ในฐานะผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของพนมเปญ โอกาสของฮุน มาเนตในการเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของกัมพูชาดูเหมือนว่าจะไม่ยาก
พรรคฝ่ายค้านหลักอย่างพรรคเพลิงเทียน (Candlelight Party) ถูกตัดสิทธิ์จากการลงแข่งขันในการเลือกตั้ง โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติของประเทศ โดยอ้างว่าไม่มีเอกสาร
ในวันสุดท้ายของการหาเสียง ฮุน มาเนต แสดงความมั่นใจว่าพรรคของเขา หรือพรรคประชาชนกัมพูชาที่ปกครองประเทศ จะชนะอย่างถล่มทลาย เขาเน้นย้ำถึงบทบาทของ CPP ในการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในประเทศหลังสงครามหลายทศวรรษ ฮุน มาเนต เน้นย้ำว่า แนวทางของพวกเขาเป็นไปตามหลักนิติธรรมและอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรมและโปร่งใส
การสืบทอดอำนาจที่อาจเกิดขึ้นในกัมพูชาได้ก่อให้เกิดการวางแผน การคบคิดและการเก็งผล การที่นายกรัฐมนตรีฮุน เซน รับรองความสามารถของลูกชายและระยะเวลาที่เป็นไปได้สำหรับการถ่ายโอนอำนาจทำให้ตกตะลึง เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา ทุกสายตาจับจ้องที่ฮุน มาเนต เพื่อดูว่าเขาจะรับบทบาทนายกรัฐมนตรีและนำประเทศเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้นำรุ่นใหม่รุ่นที่สองตามที่ต้องการหรือไม่
นายกฯ ฮุน เซน ซึ่งครองอำนาจมาเป็นเวลา 38 ปี และจะมีอายุครบ 71 ปีในเดือนหน้า กล่าวว่า “ก็ต้องดูกันว่าคนเขาจะคิดอย่างไร” “ผมเชื่อว่ามาเนตมีความสามารถมากกว่าผม เขาจะรับใช้ประชาชนได้ดีกว่าผม”
รายงานขา่วอีกชิ้นหนึ่งของKhmer Timesระบุว่า ฮุน มาเนต ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคตของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ได้กล่าวปราศรัยต่อผู้ที่ชื่นชอบและศรัทธาในพรรค ในระหว่างการเดินหาเสียงกับผู้สนับสนุนพรรค CPP เกือบ 60,000 คนในใจกลางกรุงพนมเปญในวันสุดท้ายของการหาเสียงตามที่กำนดไว้สำหรับการเลือกตั้งทั่วไป 2566 เขากล่าวว่า มีเพียงพรรค CPP เท่านั้นที่มีความสามารถและประสบการณ์มากพอ ที่จะนำพากัมพูชาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตและนำความสงบสุขมาให้กับประชาชน
ฮุน มาเนต ปราศรัยว่า “พรรค CPP มีความสามารถเพียงพอที่จะนำพาประเทศไปสู่ความก้าวหน้า โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพทางการเมือง สันติภาพ และการพัฒนาในทุกที่ พรรค CPP ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อตอบสนองการขับเคลื่อนไปข้างหน้าในกัมพูชามาโดยตลอด”
นโยบายของพรรคกำหนดชัดเจนในการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาของประชาชนในทุกสถานการณ์ ตอบสนองความต้องการของประชาชนและทุกสถานการณ์
ฮุน มาเนต กล่าวอีกว่า แม้กลุ่มฝ่ายค้านจะพยายามขัดขวางการพัฒนาและสร้างความไม่สงบในสังคม ด้วยการขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง แต่พรรค CPP ก็เดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่นและได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
ในวันสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งระดับประเทศในเช้าวันศุกร์ (21 ก.ค.) ฮุน มาเนต พร้อมด้วย ควง เซร็ง ประธานคณะกรรมการพรรคประจำกรุงพนมเปญ นำสมาชิกพรรค CPP เกือบ 60,000 คน เดินขบวนหาเสียงทั่วกรุงพนมเปญ
พิธีปิดการรณรงค์หาเสียงมีผู้เข้าร่วม 60,000 คน รวมทั้งผู้ที่ชื่นชมในพรรค 40,000 คนที่เรียงรายไปตามถนนเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร เริ่มต้นจากเกาะเพชร ขบวนเคลื่อนตัวไปทางเหนือตามถนนนโรดมไปยังอนุสาวรีย์เอกราช และขึ้นเหนือผ่านใจกลางเมืองไปยังพื้นที่บึงกัก พร้อมวงดนตรีประมาณ 10 วง บรรเลงดนตรีไปตามขบวนแห่
ผู้ที่ร่วมเดินหาเสียงเรียกร้องให้ประชาชนลงคะแนนให้พรรค CPP พรรคนี้เป็นพรรคลำดับที่ 18 ตามรายชื่อในบัตรลงคะแนน การรณรงค์หาเสียงของพรรค CPP เป็นการลงเลือกตั้งครั้งที่ 7 สำหรับนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และสำหรับฮุน มาเนต ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต
เวียดนามกิโยตินกฎระเบียบธุรกิจกว่า 2,300 รายการ
ฝ่าม ทิ ทันห์ จ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเวียดนาม เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2564 ได้มีการแก้ไขจัดระเบียบกฎข้อบังคับทางธุรกิจมากถึง 2,352 รายการในเอกสารทางกฎหมาย 191 ให้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการในการยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น
รัฐมนตรีฝ่ามประกาศในการประชุมที่จัดขึ้นเมื่อวันพุธ (19 ก.ค.) เพื่อทบทวนความคืบหน้าการปฏิรูปการบริหารในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และกำหนดภารกิจในช่วงที่เหลือของปี
ในช่วงครึ่งปีแรก นายกรัฐมนตรีอนุมัติการยกเลิกกฎระเบียบทางธุรกิจ 47 ฉบับ ขณะที่กระทรวงต่างๆ ยกเลิก 210 ฉบับ
นายกรัฐมนตรีฝ่าม มินห์ จิ๋งห์ ขอให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงการคลัง และธนาคารกลางของเวียดนาม จัดการหารือและติดต่อกับสมาคมและองค์กรต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อ กิจกรรมนำเข้าและส่งออก ตลอดจนการชำระเงิน
กระทรวงแรงงาน ผู้ทุพพลภาพ และกิจการสังคม ถูกมอบหมายให้เสนอแก้ไขกฎข้อบังคับฉบับที่ 152/2020/ND-CP ที่กำกับการจัดการแรงงานต่างชาติในเวียดนาม และการจัดหาและการจัดการชาวเวียดนามที่ทำงานให้กับองค์กรและบุคคลต่างด้าวในเวียดนามในเดือนกรกฎาคม
โง ไห่ ฟาน ผู้อำนวยการใหญ่ของสำนักงาน Administrative Procedures Control Agency ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การลดความซับซ้อนของกฎระเบียบทางธุรกิจยังไม่ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล
ภายใต้มติฉบับที่ 68/NQ-CP ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะลดความซับซ้อนของกฎระเบียบทางธุรกิจอย่างน้อย 20%ในช่วงปี 2563-2568
โงกล่าวว่า กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ควรต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการดำเนินการตามมติที่ได้จากการหารือสมาคมและองค์กรธุรกิจ ตามแผนที่จะยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจ
บั๊กซาง ในเวียดนามวางแผนเพิ่ม 5 นิคมอุตสาหกรรม
จังหวัดบั๊กซาง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนามกำลังวางแผนเพิ่มนิคมอุตสาหกรรมอีก 5 แห่ง โดยมีพื้นที่รวม 1,100 เฮกตาร์นิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกในบั๊กซางคือ Duc Giang Industrial Zone (IZ) ซึ่งมีพื้นที่ 288 เฮกตาร์ แห่งที่สองคือ Hoa Phu IZ-เฟส 2 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 222 เฮกตาร์ ในเขต Yen Dung อีกนิคมอุตสาหกรรมหนึ่งคือ Nghia Hung IZ ซึ่งมีพื้นที่ 152 เฮกตาร์
นิคมอุตสาหกรรมแห่งที่สี่คือ Tien Son – Ninh Son IZ มีพื้นที่ทั้งหมด 223 เฮกตาร์ การก่อสร้างจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสแรกจะมีพื้นที่ทั้งหมด 90 เฮกตาร์ ส่วนแห่งที่ 5 คือ Xuan Cam-Huong Lam IZ ในเขต Hiep Hoa ซึ่งกินพื้นที่ 224 เฮกตาร์
ปัจจุบัน จังหวัดมีนิคมอุตสาหกรรม 8 แห่งที่ได้รับอนุมัติให้ลงทุน โดยมีพื้นที่รวมเกือบ 2,000 เฮกตาร์
ในช่วงปี 2564-2573 จังหวัดจะมีนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 29 แห่ง ซึ่งแผนการขยายจะได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี
การเพิ่มนิคมอุตสาหกรรม จะทำให้จังหวัดมีเงื่อนไขที่ดีขึ้นในการดึงดูดนักลงทุน จังหวัดบั๊กซางกำลังดำเนินการเพื่อคัดเลือกโครงการลงทุนที่จะดึงดูดมากขึ้น โดยเน้นไปที่โครงการขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีสูง และโครงการที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ มีส่วนร่วมในห่วงโซ่คุณค่าระดับโลก และมีส่วนในงบประมาณของรัฐและสวัสดิการสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 แม้ว่าโลกจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและคาดเดาไม่ได้มากมาย แต่การลงทุนในบั๊กซางก็ยังคงขยายตัวดี โดยเฉพาะในโครงการใหม่ๆ ที่ต่างชาติลงทุน
ระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน จังหวัดสามารถดึงดูดโครงการลงทุนจากต่างชาติได้ 34 โครงการ ด้วยทุนจดทะเบียนรวม 1.05 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วถึง 4 เท่า ติดอันดับ 2 ของประเทศในแง่ของการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ รองจากฮานอย
เวียดนามลงนามซื้อถ่านหินลาว 5 ปี
เวียดนามจะซื้อถ่านหินจากลาวประมาณ 20 ล้านตันต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นหลักความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าว VnExpressเมื่อบ่ายวันที่ 20 กรกฎาคม กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามและกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ของลาว ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในภาคถ่านหินเป็นเวลา 5 ปี
ตาม MOU เวียดนามวางแผนที่จะนำเข้าถ่านหินประมาณ 20 ล้านตันต่อปีจากลาว ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและสภาวะของประเทศ
การลงนาม MOU คาดว่าจะเอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและรับประกันความมั่นคงด้านพลังงานในเวียดนาม รวมทั้งสนับสนุนลาวในการใช้ประโยชน์และส่งเสริมศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมถ่านหิน
ลาวเป็นผู้จัดหาถ่านหิน สินแร่ และแร่ธาตุที่สำคัญให้แก่เวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวียดนามนำเข้าสินแร่และแร่ธาตุจำนวน 1.8 ล้านตัน มูลค่า 78.2 ล้านเหรียญสหรัฐจากลาวในปี 2565
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เวียดนามใช้จ่ายเงินประมาณ 31.6 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อซื้อสินแร่และถ่านหินจำนวน 900,000 ตันจากลาว
ทั้งสองประเทศยังได้ดำเนินโครงการลงทุนและความร่วมมือมากมายในภาคพลังงาน เช่น โครงการไฟฟ้าพลังน้ำและโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าจากลาวไปยังเวียดนาม
นายกรัฐมนตรีเวียดนามเพิ่งอนุมัติข้อเสนอนำเข้าไฟฟ้าจากโครงการพลังงานต่างๆ ในลาว ขนาดกำลังการผลิตรวม 2,689 เมกะวัตต์ เวียดนามมีสายส่งไฟฟ้า 220 กิโลวัตต์ หลายสายเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน
ลาวออกคำสั่งควบคุมเงินตราต่างประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีลาวได้สั่งให้ดำเนินการเพื่อควบคุมเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้เงินตราต่างประเทศที่ได้จากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการใช้เงินกีบลาวคำสั่งเจ็ดหน้าซึ่งลงนามโดยนายกรัฐมนตรี สอนไซ สีพันดอน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอุปทานของเงินตราต่างประเทศ นำไปสู่การลดการใช้เงินดอลลาร์ และสร้างความต้องการเงินกีบลาว
คำสั่งมีเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ลาวได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและหนี้สาธารณะที่สูง ปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินกีบลาว ปัจจุบันกว่า 30% ของรายได้จากส่งออกเข้าสู่ลาวผ่านระบบธนาคาร
ภายใต้คำสั่งใหม่ ธนาคารแห่ง สปป.ลาว ได้รับคำสั่งให้ยกระดับระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน และควบคุมการใช้เงินตราต่างประเทศในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
กระทรวงการคลังได้รับคำสั่งให้จัดเก็บภาระภาษีและรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศจากผู้ส่งออกหรือหน่วยธุรกิจที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ได้รับคำสั่งให้พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ และเชื่อมโยงหรือแบ่งปันข้อมูลกับธนาคารแห่ง สปป. ลาว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการนำเข้าและส่งออก
ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกต้องมีบัญชีธนาคารเฉพาะในลาวเพื่อดำเนินการธุรกรรมทางการเงิน และต้องลงทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์และโอนเงินที่ได้จากการส่งออกผ่านระบบธนาคารและเข้าบัญชีเฉพาะ
ผู้ส่งออกที่ต้องการเก็บเงินตราต่างประเทศไว้ในต่างประเทศเพื่อชำระคืนเงินกู้ในประเทศอื่น จะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่ง สปป.ลาว
กระทรวงการวางแผนและการลงทุนได้รับการร้องขอให้ทำงานร่วมกับธนาคารแห่ง สปป.ลาว และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและแบ่งปันข้อมูลเพื่อควบคุมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
นอกจากนี้ ได้กำชับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ควบคุมและตรวจสอบการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการลงทุนในต่างประเทศ และรายงานสถานการณ์ต่อธนาคารแห่ง สปป.ลาว อย่างสม่ำเสมอ
หนึ่งในความท้าทายหลักสำหรับลาวคือ การลงทุนจากต่างประเทศจริงที่ไหลเข้าระบบธนาคารนั้น ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนจดทะเบียนที่ตกลงกันไว้มาก ซึ่งนำไปสู่ความไม่สมดุลของการชำระเงินโดยรวมในประเทศ
กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ยังได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบและกำหนดโครงสร้างราคาและเพื่อให้มั่นใจว่า การซื้อขายยานยนต์และโลหะมีค่าและการชำระค่าบริการที่ปรึกษาเป็นเงินกีบลาวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
การซื้อและขายที่ดินและที่อยู่อาศัย การชำระค่าบริการขนส่ง ค่าธรรมเนียมสัญญาก่อสร้าง ค่าบริการการศึกษา ค่ากีฬา ค่ายาและค่ารักษา ค่าบริการสื่อ ค่าบริการไกด์นำเที่ยว และการชำระเงินสำหรับโรงแรม ร้านอาหาร และสินค้าอื่นๆ ในตลาดท้องถิ่น (ราคาสินค้าและบริการจำนวนมากเหล่านี้กำหนดราคาเป็นสกุลเงินต่างประเทศ) จะต้องดำเนินการในสกุลเงินท้องถิ่น
นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ยังถูกขอให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าธุรกิจต่างๆ แสดงราคาสินค้าและบริการของตนเป็นกีบ รวมถึงธุรกิจที่ดำเนินการทางออนไลน์ด้วย
การจ่ายเงินเดือนและค่าจ้างจะต้องจ่ายเป็นเงินกีบลาวด้วย ยกเว้นในกรณีของแรงงานต่างด้าวและผู้เชี่ยวชาญที่จ่ายค่าจ้างเป็นเงินตราต่างประเทศได้
อินโดนีเซียขึ้นภาษีส่งออกทองแดง สังกะสี และเหล็ก
อัตราภาษีส่งออกของอินโดนีเซียสำหรับทองแดงเข้มข้นจะเพิ่มขึ้นป็นช่วง 5% ถึง 10% ตามกฎระเบียบใหม่ เนื่องจากรัฐบาลพยายามผลักดันให้เหมืองแปรรูปโลหะในประเทศมากกว่าส่งออกแร่ดิบ
การปรับขึ้นภาษีเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอของรัฐบาลในการผลักดันการก่อสร้างโรงถลุงแร่ในอินโดนีเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการแปรรูปในประเทศเพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรแร่ของประเทศ นอกจากนี้ยังห้ามการส่งออกแร่ดิบในเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียอนุญาตให้หลายบริษัทที่มีการก่อสร้างโรงถลุงมากกว่า 50% ยังส่งออกแร่เข้มข้นต่อไปได้จนถึงกลางปี 2567 หากจ่ายเสียภาษีส่งออก บริษัทเหมืองที่มีอัตราการหลอมสำเร็จสูงสุดจะถูกเรียกเก็บเงินในอัตราที่ต่ำกว่า
ภายใต้กฎใหม่ บริษัทเหมืองที่มีอัตราการหลอมสำเร็จอยู่ที่ 50% หรือมากกว่า แต่น้อยกว่า 70% จะต้องเสียภาษีส่งออกในอัตรา 10% บรรดาโรงหลอมที่มีความสมบูรณ์ 70% ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 90% จะจ่ายภาษี 7.5% และโรงหลอมที่มีความสมบูรณ์ 90% ขึ้นไปจะจ่ายภาษี 5% กฎระเบียบที่เผยแพร่โดยกระทรวงการคลัง ระบุ
ก่อนหน้านี้ภาษีสูงสุดของบริษัทเหมืองทองแดงสำหรับการส่งออกคือ 5%
อัตราภาษีของแร่เหล็ก สังกะสี และตะกั่ว จะเพิ่มขึ้นเป็นช่วง 2.5% ถึง 7.5% ตามอัตราเดียวกันของการหลอมโลหะ
อัตราใหม่นี้มีผลตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมถึงธันวาคม 2566 และจะปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567
อัตราภาษีส่งออกสำหรับทองแดงเข้ข้นจะเพิ่มขึ้นเป็นช่วง 7.5% ถึง 15% ขึ้นอยู่กับความสำเร็ของการหลอมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 ในขณะที่ช่วงสำหรับคเหล็ก สังกะสี และตะกั่วmujg-h,-hoจะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 5% ถึง 10%
ธนาคารกลางเมียนมาเร่งดันระบบชำระเงินดิจิทัล
ธนาคารกลางแห่งเมียนมา (Central Bank of Myanmar หรือ CBM) จะเร่งผลักดันระบบการชำระเงินดิจิทัลในประเทศ ตามประกาศที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม
CBM กำลังพยายามปรับปรุงแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการชำระเงินที่ให้บริการธุรกรรมดิจิทัลทั่วประเทศ รักษาความปลอดภัยระบบการชำระเงินดิจิทัล และลดการใช้เงินสดของประชาชน
CBM ได้อนุญาตให้ธนาคารให้บริการธนาคารดิจิทัล ทั้ง ไอแบงกง, โมบายแบงกิง, โมบายเพย์ และบริการทางการเงินผ่านมือถือ และยังได้เปิดตัว MMMQR เวอร์ชัน 1.0 สำหรับการชำระเงินด้วย QR Code ในเดือนมกราคม 2562 และทำให้สามารถมีการทำงานร่วมกันข้ามระบบการชำระเงิน รวมไปถึงได้ออกใบอนุญาตให้บริการแก่ผู้ค้าเพื่อให้ธนาคารผู้รับสามารถดำเนินการชำระเงินจากลูกค้าในนามของผู้ค้าได้
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของยุทธศาสตร์การชำระเงินแห่งชาติ (พ.ศ. 2563-2568) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลระบบการชำระเงินแห่งชาติซึ่งประกอบด้วย CBM และกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและดำเนินการประสานงาน
ด้วยการดำเนินการต่อเนื่องในการส่งเสริมการชำระเงินดิจิทัล (i-banking, m-banking, mobile pay และ mobile wallet services) ภาคการชำระเงินดิจิทัลจึงเติบโตเป็น 31.666 พันล้านจั๊ตในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปี 2564
CBM ได้ให้แนวทางแก่ธนาคารและบริการทางการเงินบนมือถือเพื่อเปลี่ยนกรุงเนปิดอว์ ให้เป็นเมืองดิจิทัล ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 โดย CBM ได้นำการจ่ายเงินเดือนแบบดิจิทัลมาใช้กับเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการชำระเงินแบบดิจิทัลในเมืองหลวง
ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศลดลง เหลือ 29% ในปี 2565 และ 11% ณ เดือนพฤษภาคม 2566 จาก 48%ในปี 2564
CBM จะดำเนินการเพื่อลดการใช้เงินสด สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับระบบการชำระเงินดิจิทัลในหมู่ประชาชน และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัล