ThaiPublica > สู่อาเซียน > สำรวจสถานะกองกำลังว้า : จากนักล่าหัวมนุษย์สู่ราชายาเสพติดของภูมิภาค

สำรวจสถานะกองกำลังว้า : จากนักล่าหัวมนุษย์สู่ราชายาเสพติดของภูมิภาค

3 มิถุนายน 2023


ศรีนาคา เชียงแสน

ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/United_Wa_State_Party#/media/File

เป็นเวลากว่าสามสิบปี ในเวลานั้นเมื่อได้ยินชื่อของ “ว้า” เราก็จะนึกถึงภาพของคนเถื่อนชนเผ่านักรบที่ดุร้าย จนเผ่าอื่นไม่กล้าที่จะประกาศศึกด้วย พวกว้าเถื่อนจะออกล่าหัวมนุษย์ในราวเดือนเมษายน แต่ต่อมาคนรู้เข้าก็ไม่ยอมผ่านเขตว้า พวกว้าเลยต้องออกล่าหัวมนุษย์ตลอดปี และถือโอกาสปล้นชิงทรัพย์สินไปด้วย คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในเขตป่าเขาพื้นที่สูงชายแดนพม่า-จีน สถานที่ซึ่งมีภูมิประเทศแห้งแล้ง ขาดแคลนทรัพยากร ประชากรส่วนใหญ่มีฐานะยากจน อดยาก แร้นแค้น เคยมีเรื่องเล่าขานว่าดินแดนของว้าเป็นดินแดนต้องคำสาป จะปลูกพืชหรือทำการเกษตรอะไรก็ไม่ค่อยได้ผล มีเพียง “ดอกไม้ของเทวดา” (เทวดาของชนเผ่าว้า) ที่เจริญงอกงาม ออกดอกสีขาวบานสะพรั่งเต็มทุ่งหญ้าและหุบเขาทั่วทั้งพื้นที่ ดอกไม้ของเทวดาเหล่านี้สามารถเจริญงอกงามและให้ผลผลิตดีโดยไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเลย

ในเมื่อภูมิประเทศแห้งแล้งปลูกอะไรก็ไม่ได้ผล เมื่อเทพยดาอารักษ์ประทานดอกไม้จากสวรรค์หรือต้นฝิ่นมาให้ว้า พวกเขาจึงใช้พรสวรรค์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีพสืบต่อมา ในที่สุดบรรดาผู้นำของกลุ่มว้าต้องตัดสินใจพลิกโลก หันมาส่งเสริมให้ผู้คนปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก เพื่อนำฝิ่นดิบมาผลิตเป็นสินค้าส่งขายไปทั่ว โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และเป็นเส้นทางกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

จากการค้าขายฝิ่นดิบ ว้าพัฒนามูลค่าสินค้าจนกลายมาเป็นเฮโรอีน ต่อมาก็มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดคือทิ้งภาคการเกษตร (ทำไร่ฝิ่น) มาเป็นการผลิตแบบอุตสาหกรรม โดยใช้สารเคมีมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นยาเสพติดแทนการใช้ฝิ่น พัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นยาบ้า และยาเสพติดหลากหลายชนิด จนทำให้ว้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งราชายาเสพติดที่ถูกจับตาไปทั่วทั้งโลก โดยทุกวันนี้ว้ากลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่มั่งคั่ง ร่ำรวย สามารถสร้างและพัฒนาบ้านเมืองจากพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดารจนกลายเป็นเมืองใหม่ที่มีความเจริญทันสมัยได้ และปัจจุบันมีการขยายบทบาทและอิทธิพลลงมาทางใต้ของรัฐฉานมากขึ้น และกำลังจะขอแยกตัวเองออกมาเป็นรัฐว้าอิสระ แยกการปกครองออกจากรัฐฉาน โดยขอขึ้นตรงกับรัฐบาลกลางเมียนมาโดยตรงเท่านั้น

หากมองแบบนักการศาสนา ต้องบอกว่า ว้าคือเผ่าพันธุ์ของคนเถื่อนคนบาป ที่สร้างบ้านแปงเมืองมาจากความตายและความพินาศฉิบหายของเพื่อนมนุษย์ แต่หากมองแบบนักยุทธศาสตร์หมากล้อม ก็ต้องยอมรับว่าผู้นำว้าเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด และเป็นวีรบุรุษของชนชาติว้าที่ช่วยรักษาเผ่าพันธุ์ของพวกเขาเอาไว้ ไม่ให้ถูกกลืนหายไปในท่ามกลางสถานการณ์ที่พลิกผันของสถานการณ์บ้านเมืองในเมียนมา และท่ามกลางความยากแค้นขัดสนสารพันที่ชนเผ่านี้ประสบมาตลอดกาล

ดังนั้น ในวันนี้จึงอยากจะชวนผู้อ่านมาสำรวจบทบาทและสถานะของกลุ่มว้าในปัจจุบันว่า พวกเขาก้าวเดินมาถึงจุดไหนแล้ว ยังคงทำมาหากินสร้างรายได้จากธุรกิจยาเสพติดอยู่หรือไม่ และทำไมถึงยังทำอย่างนั้นอยู่ได้ ท่ามกลางกระแสการประณามและกดดันจากคนทั้งโลก

จากตำนานล่าหัวมนุษย์สู่ว้าในโลกปัจจุบัน

ชนชาติ “ว้า” เป็นชนชาติดั้งเดิมของพม่า มีพื้นเพอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน มีตำนานเล่าว่าชนชาติว้าคู่แรก “ตาลีและยานำ” ถือกำเนิดมาจากถ้ำแห่งหนึ่งในดินแดนต้องคำสาป ตาลีและยานำอยู่กินกันมาจนก่อกำเนิดเป็นลูกหลานมากมายและกลายเป็นเผ่าพันธุ์ว้า วันหนึ่งลูกชายคนหนึ่งของทั้งคู่ได้นั่งลับมีดที่ใช้ล่าสัตว์ เมื่อลับจนได้ที่ลูกคนนี้ก็นำมีดไปทดสอบความคมด้วยการตัดผมของแม่ แต่เกิดพลาดไปปาดคอของยานำขาด ทุกคนในครอบครัวนั้นต่างเชื่อว่าเกิดจากอำนาจของภูตผีที่ต้องการและอยากจะได้หัวของมนุษย์เป็นเครื่องเซ่นไหว้ของตน นับตั้งแต่นั้นมาชาวว้าจึงมีพิธีกรรมของเผ่าที่จะต้องออกล่าหัวมนุษย์ในห้วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพื่อจะนำมาใช้ประกอบในการทำพิธีเซ่นไหว้ภูตผี เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองทุกคนในเผ่าให้มีแต่ความสุขไร้โรคภัย และทำให้ฝนตกตามฤดูกาล พืชผลอุดมสมบูรณ์

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนเถื่อน แต่กฎการล่าหัวของพวกว้านั้นเคร่งครัดมาก โดยว้าจะไม่ออกล่าเหยื่อนอกอาณาเขตของตนเด็ดขาด ในการล่าแต่ละครั้งจะมีการระดมผู้ชายในเผ่า 10-12 คน ไปซุ่มตามจุดที่น่าจะมี “เหยื่อ” หลงเข้ามา ว้าจะใช้การโจมตีในจังหวะที่เป้าหมายไม่ทันระวังตัว จู่โจมด้วยความรวดเร็วจนเหยื่อเสียชีวิตและจะตัดเฉพาะหัวกลับมา เมื่อได้หัวมนุษย์มาแล้วก็จะผ่านกรรมวิธี คือ การต้มให้เนื้อหนังหลุดออกให้หมดจนเหลือแต่กะโหลก แล้วนำไปขัดให้เงางามด้วยเปลือกไม้และขี้ผึ้ง จากนั้นก็จะนำกระโหลกไปแขวนที่เสาใหญ่หน้าหมู่บ้าน เพื่อประกาศให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าพวกเขาล่าเหยื่อมาได้กี่รายแล้ว แต่ต่อมาคนรู้และเกิดความเกรงกลัวไม่ยอมผ่านเขตว้า พวกว้าเลยต้องออกล่าหัวมนุษย์ตลอดปี และถือโอกาสปล้นชิงทรัพย์สินไปด้วย

ปัจจุบันประเพณีล่าหัวของชาวว้าได้ถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากความเจริญได้เข้าถึง ชาวว้าจึงต้องหันมาเซ่นผีด้วยการฆ่าสัตว์ เช่น ควายและสุนัข แทนการสังเวยด้วยหัวมนุษย์ แต่หัวมนุษย์ที่ถูกล่ามาก็ยังถูกส่งต่อ สืบสานมาให้ลูกหลานเก็บรักษาไว้ และจะนำออกมาทำพิธีในห้วงวันสำคัญๆ ตามประเพณีของชนเผ่าว้าทุกปี ถึงแม้ว่าชาวว้าจะเลิกล่าหัวมนุษย์แล้ว แต่ชื่อเสียงในเรื่องความดุร้ายของพวกว้ายังถูกเล่าขาน และเป็นดั่งตำนานใช้ข่มขวัญชนกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่ได้ดีเสมอ

สำหรับว้าสมัยใหม่ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สหพรรครัฐว้า” (United Wa State Party หรือ UWSP) ก่อตั้งและปรากฏแก่ในสายตาของชาวโลกเมื่อ ค.ศ. 1989 โดยเกิดจากการรวมตัวของสภาแห่งชนชาติว้า กลุ่มชาวบ้านเชื้อสายว้า และอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (C0mmunist party of Burma หรือ CPB) มีกองกำลังเป็นของตนเอง ใช้ชื่อว่า กองทัพแห่งรัฐว้า (United Wa State Army หรือ UWSA) ปัจจุบันมีพื้นที่การปกครองแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

    1) รัฐว้าภาคเหนือ ตั้งอยู่ทางรัฐฉานภาคเหนือ ติดชายแดนจีน มีเมืองปางซางเป็นเมืองหลวง
    2) รัฐว้าภาคใต้ ตั้งอยู่ทางรัฐฉานภาคใต้ ติดชายแดนไทยด้าน จ.เชียงราย เชียงใหม่ และ แม่ฮ่องสอน มีเมืองหลักอยู่ที่ บ.โฮ่ง (ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บก.ควบคุม 46 )

จากข้อมูลปัจจุบัน ประมาณการณ์ว่าว้ามีประชากรประมาณ 250,000-300,000 คน มีกำลังพลประมาณ 30,000-35,000 นาย โดยมี เปาหยั่งเสียง (Bao You Xiang) เป็นผู้นำสูงสุด

มาถึงสมัยนี้ว้าไม่ต้องออกล่าหัวใครแล้ว แต่ใช้วิธีการส่งยาเสพติดไปจำหน่ายให้เหยื่อตายถึงที่ หรือว่านี่เป็นชะตากรรมที่ลิขิตเอาไว้สำหรับชนชาติว้าแต่ต้นแล้ว ไม่ว่าชาวโลกจะมองว้าอย่างไร จะมีมาตรการคว่ำบาตร หรือกดดันว้าอย่างไร ว้าก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขายังเป็นกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่ยังดำรงอยู่และยืนหยัดในสถานการณ์ปัจจุบันได้

หลังโลกยุคสงครามเย็นคลี่คลายลง บทบาทของชาติตะวันตกที่เคยพยายามเข้ามาแทรกแซงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในเมียนมาลดบทบาทลง ในห้วงเปลี่ยนผ่านเช่นนี้รัฐไทยได้ใช้กลุ่มกองกำลังไทยใหญ่ (Shan state Armmy หรือ SSA) เข้ามารับบทเป็นกองกำลังทำหน้าที่เหมือนรัฐกันชนระหว่างไทยกับเมียนมา ในครั้งนั้นผู้นำทหารของเมียนมา นำโดย พล.อ.อาสุโส ขิ่นยุ้น ได้เจรจาตกลงกับกองกำลังว้า เพื่อขอให้อพยพโยกย้ายชาวบ้านเชื้อสายว้าจากพื้นที่เมืองปางซาง และเมืองเล็กๆ ตามแนวชายแดนจีนให้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมืองสาด เมืองยอน เมืองโต๋น และพื้นที่ชายแดนตรงข้าม จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ ของไทย

ในครั้งนั้นมีชาวบ้านว้าถูกบังคับอพยพมาประมาณ 80,000 คน โดยมีกองกำลังติดอาวุธของว้าควบคุมและให้การคุมครอง สาเหตุลึกๆ ที่รัฐบาลทหารเมียนมาใช้นโยบายนี้ก็เพื่อจะใช้ให้กองกำลังของว้ามาคานอำนาจกองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ (RCSS/SSA) ของพลเอก เจ้ายอดศึก แต่สาเหตุลึกๆ กว่านั้นก็คือ ทหารเมียนมาก็ต้องการให้กองกำลังของว้ามาทำหน้าที่เป็นกองกำลังรัฐกันชนกับไทยโดยตรง เหมือนกับที่ไทยเคยใช้ไทยใหญ่นั่นเอง

อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลทหารเมียนมาให้สิทธิ์พิเศษแก่ว้าในการตั้งเขตปกครองตนเองพิเศษ เมื่อปี ค.ศ. 1989 เป็นต้นมา ว้าก็ได้อาศัยโอกาสและสิทธิ์พิเศษนี้ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อหล่อเลี้ยงประชากรและกองทัพ รวมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายอิทธิพลของกลุ่มเรื่อยมา จนกลายเป็นกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เข้มแข็งมากที่สุด จะเป็นรองก็แต่กับกองทัพเมียนมาเท่านั้น

บทบาทในฐานะผู้ผลิตยาเสพติดรายใหญ่ของภูมิภาค

ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ด้วยข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ทำให้พื้นที่ตั้งของว้า ทั้งว้าภาคเหนือและว้าภาคใต้ มีข้อจำกัดในเรื่องภูมิประเทศที่เป็นป่าเขา สภาพอากาศแห้งแล้ง และไม่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ที่จะนำมาเป็นฐานในการพัฒนาบ้านเมืองและเลี้ยงดูประชากรได้มากนัก แต่พื้นที่เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งที่สามารถปลูกและผลิตฝิ่นได้ดีแหล่งต้นๆ ของโลก ในที่สุดว้าก็เลือกจะเอาจุดอ่อนของตนมาสร้างเป็นจุดแข็ง หันมาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยาเสพติดโดยตรงแม้จะถูกประณามจากชาวโลกเพียงใดก็ตาม พัฒนาการในธุรกิจของว้าเป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยเริ่มจากฝิ่นดิบที่ปลูกในพื้นที่พัฒนามาเป็นเฮโรอีน จนกลายมาเป็นขาใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

แน่นอน การผลิตยาเสพติดย้อมถูกประณามและต่อต้านกดดันจากคนทั้งโลก ไม่นานนักจากการกดดันของชาติตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกาก็นำไปสู่การพยายามจำกัดและค่อยๆ ลดพื้นที่การปลูกฝิ่นลงเรื่อยๆ แต่มาถึงจุดนี้ การลดลงของวัตถุดิบจากฝิ่นไม่ใช่ปัญหาของว้าอีกต่อไป เพราะว้ามีการพัฒนาตัวเอง

มีการลงทุทางด้านเทคโนโลยี เช่น มีการสร้างห้องแล็บ การสร้างนักเคมีรุ่นใหม่ๆ จนในที่สุดการสามารถผลิตยาเสพติดชนิดใหม่ๆ ที่ใช้สารเคมีเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้มีราคาต้นทุนถูกลง และสร้างผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่หลากหลาย เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

มีข้อมูลยืนยันจากเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านยาเสพติดชายแดนบอกเล่าให้ฟังว่า การผลิตยาเสพติดของว้าปัจจุบันพัฒนาไปมาก มีเครือข่ายเป็นห่วงโซ่กระจายไปถึงระดับชุมชน เปรียบเทียบแล้วเหมือนกับการผลิตสินค้าโอท็อปในชนบทของบ้านเรา หรือหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ น้อยมากที่จะเจอชาวบ้านไปทำไร่ปลูกฝิ่น แต่ปัจจุบันชาวบ้านบางหมู่บ้านทำหน้าที่เหมือนคนงานรับช่วงต่อ คือรับสารตั้งต้นที่ผสมเสร็จสรรพแล้วมาใส่เครื่องตอกเม็ดยาที่มีอยู่ประจำบ้าน แล้วบรรจุแพ็กเกจใส่หีบห่อประทับตรารอพร้อมเตรียมส่ง เพื่อให้ฝ่ายกองกำลังรับจ้างลำเลียงนำไปส่งต่อในพื้นที่แหล่งพักยาต่างๆ ตามหมู่บ้านชายแดนไทย-เมียนมา เป็นต้น

จากข้อมูลล่าสุด นักวิเคราะห์สถานการณ์ด้านยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำระบุตรงกันว่า แหล่งผลิตยาเสพติดที่สำคัญๆ ในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่ออกมาจากแหล่งผลิตในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าทั้งสิ้น โดยสามารถแบ่งพื้นที่แหล่งผลิตออกเป็น 2 ส่วน คือ

โดยทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมของนายเหวย เซียะ หยิ่ง ผบ.รัฐว้าภาคใต้ (น้องชายของนายเหว่ย เซียะ กัง) โดยมี พันเอกจะลอโบ๊ะ รอง ผบ.พล. 171 กองกำลังว้า เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติการทั้งหมด

จากแหล่งผลิตยาเสพติดเหล่านี้ จะมีขบวนการรับจ้างลำเลียงยาเสพติด ที่เป็นกองกำลังชนกลุ่มน้อยอื่นๆ เช่น กลุ่มม้ง กลุ่มอาข่า กลุ่มมูเซอ เป็นผู้รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากแหล่งผลิต เข้ามายังหมู่บ้านพักยารอบๆ ชายแดนไทย ก่อนจะลักลอบนำเข้ามาภายใประเทศแล้วลำเลียงเข้าสู่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งผ่านไปยังหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งส่งไปยังประเทศที่สามอื่นๆ โดยมีเส้นทางลำเลียงยาเสพติดที่สำคัญ เช่น

1) จากแหล่งผลิตในพื้นที่อิทธิพลของว้าภาคเหนือ จะถูกลำเลียงผ่านเมืองกก เมืองสาด มายังบ้านโฮ่ง ที่ตั้ง บก.ควบคุมของว้าภาคใต้ (รู้จักกันในชื่อ เขต บก. 46)

2) หรืออาจจะใช้เส้นทางลำเลียงผ่านเมืองกก แล้วแยกเข้าพื้นที่บ้านปูนาโก่ บ้านน้ำปุง บ้านแม่โจ๊ก

โดยทั้งสองเส้นทางนี้ ผู้ลำเลียงจะเอายาเข้าสู่ชายแดนไทยตามช่องทางชายแดนในเขต อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน และ อ.แม่สาย จ.เชียงราย หรือเข้าทางช่องทางชายแดนด้าน อ.แม่อาย อ.ฝาง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่

อีกเส้นทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก คือ 3) ผ่านเมืองพยาค เมืองไฮ เมืองโก เข้าสู่พื้นที่ จ.ท่าขี้เหล็ก หรือใช้เส้นทางผ่าน บ้านป่าแดง บ้านป่ากุ๊ก เข้าสู่ไทยตามช่องทางชายแดนในพื้นที่ อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ. เชียงราย เป็นต้น

นักวิเคราะห์ประมาณการณ์ไว้ว่ายาเสพติดที่ผลิตมาจากแหล่งผลิตในการควบคุมของว้า คิดเป็นประมาณร้อยละ 80 ของยาเสพติดทั้งหมดที่ออกจากพื้นที่ภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ แม้ว่าจะไม่มีตัวเลขยืนยันที่แน่ชัดว่าแยกเป็นยาบ้ากี่ร้อยล้านเม็ด เฮโรอีนกี่กิโลกรัม ฯลฯ แต่จากพฤติกรรมที่ปรากฏเชื่อว่า แต่ละปี ปริมาณการผลิตยาเสพติดของว้ามีสูงมาก เฉพาะส่วนที่เป็นยาบ้า เชื่อกันว่าว้าสามารถผลิตได้ปีละมากกว่า 500 ล้านเม็ด และส่วนที่เป็นยาไอซ์ ผลิตได้สูงถึงปีละ 30 ล้านกิโลกรัม และด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีใหม่ๆ ยิ่งให้กำลังการผลิตยาเสพติดของว้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

แผนที่การวางกำลังของว้า (พื้นที่รัฐฉานใต้)
แหล่งผลิตยาเสพติดของว้า
เส้นทางการลำเลียงยาเสพติดของว้า

บทบาทและการปรับตัวของว้าในอนาคต

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มว้าในปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างมาก ว้ารู้ดีว่าลำพังการอาศัยแหล่งรายได้จากยาเสพติดมาเป็นหลักในการหล่อเลี้ยงประชากรและพัฒนาบ้านเมืองของตนคงไม่ใช่ทางออกที่มั่นคงและยั่งยืนได้ ปัจจุบันเราจึงพบว่าระดับนำของว้าเริ่มหันกลับมาหาการสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรและปัจจัยการผลิตในพื้นที่ครอบครองของตนเพิ่มมากขึ้น มีการพัฒนาด้านการเกษตรโดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเป็นฐานเลี้ยงประชากรของตน เหมือนที่ประเทศอิสราเอลพัฒนาทะเลทรายจนกลายเป็นพื้นที่การเกษตรสำเร็จมาแล้ว รวมทั้งมีการพัฒนาด้านการศึกษา การค้า และการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันมีข่าวสารยืนยันว่า บรรดาผู้นำรุ่นเก่าๆ ของว้ากำลังลดบทบาทของคนรุ่นเก่า แล้วหันมาสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี มีความรู้ความสามารถ (ซึ่งคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ของว้า ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาอย่างดีจากประเทศจีนเป็นหลัก) ให้เข้ามามีบทบาทในการบริหารบ้านเมืองมากยิ่งขึ้น เช่น ล่าสุด เปา อ้าย คำ บุตรชายของ เปา หยั่ง เสียง ได้รับการโปรโมทให้ขยับขึ้นมารับตำแหน่งเป็นเลขาธิการของกองทัพว้า หรือ เปา อ้าย ซาน หลานของเปา หยั่ง เสียง ขยับขึ้นมารับตำแหน่ง รองผู้บัญชาการสูงสุกคนที่ 1 ของกองทัพว้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีคนรุ่นใหม่อีกหลายๆ คนที่กำลังเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ทำหน้าที่ในด้านการบริหาร การปกครอง การทหาร และการพัฒนา อีกจำนวนมาก หลายปีก่อนผู้นำสูงสุดของว้าเคยประกาศวิสัยทัศน์ว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดภายในปี ค.ศ. 2020 แต่ผ่านมาแล้วสองปียังทำไม่สำเร็จ และคาดได้ว่าเรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากบทบาทในปัจจุบัน ว้ากลายเป็นชนกลุ่มน้อยติดอาวุธที่มีกองกำลังที่เข้มแข็ง มีขีดความสามารถและศักยภาพด้านอาวุธยุทโธปกรณ์สูงเป็นอันดับต้นๆ เหนือกว่ากองกำลังชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มในเมียนมา ทั้งนี้เนื่องจากว้าได้รับการสนับสนุนอย่างแนบแน่นและใกล้ชิดจากจีน อาวุธหลักๆ และมีความสำคัญๆ ล้วนมาจากจีนแทบทั้งสิ้น เช่น เฮลิคอปเตอร์ รุ่น Mil Mi-17 รถหุ้มเกราะล้อยาง PTL-02 ปืนใหญ่ Howitzer Type 122 mm รวมทั้งขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ จากอากาศสู่พื้น หรือแม้กระทั่งปืนต่อสู้รถถัง เป็นต้น

ถามว่าทำไมจีนถึงช่วยเหลือและสนับสนุนว้ามากเป็นพิเศษ สาเหตุสำคัญเกิดจากจีนเลือกใช้กองกำลังว้า ให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยกำลังหลักในการปกป้องผลประโยชน์ของจีน ในการปกป้องเส้นทางยุทธศาสตร์ 1 แถบ 1 เส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ซึ่งจีนใช้ตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ของเมียนมาเป็นเส้นทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียที่ใกล้ที่สุดของจีน และปัจจุบันจีนก็ได้ลงทุนลงแรงกับยุทธศาสตร์นี้ไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่อส่งก๊าซและน้ำมัน ถนนหนทาง ท่าเรือ หรือแม้แต่โครงการรถไฟความเร็วสูงที่กำลังจะเริ่มดำเนินการในอีกไม่นานนี้ ล้วนแต่ทำให้จีนจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดเหมือนเหตุการณ์ที่มีการสู้รบระหว่างกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือกับรัฐบาลเมียนมา โดยมีการเข้าโจมตีและทำลายสะพานเชื่อมต่อเส้นทางขนส่งสินค้าสายหลักของจีนที่เมืองกุ๋นโหลง เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1999 จนทำให้ระบบคมนาคมขนส่งบนเส้นทางสายการค้านี้หยุดชะงักไปนานหลายเดือน การที่จีนจะมีมิตรเป็นกองกำลังหลักในพื้นที่ ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของจีนในพื้นที่ให้ตลอดเวลา ย่อมสร้างหลักประกันให้กับจีนอุ่นใจได้มากขึ้น

เส้นทางสู่รัฐว้าอิสระ

ในช่วงปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 2022 ผู้นำระดับสองของว้าได้เข้าพบปะเจรจากับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย โดยมีประเด็นสำคัญคือ ว้าพยายามเจรจาต่อรองขอแยกเพื่อตั้งรัฐว้าของตนเองขึ้นมาเป็นอิสระไม่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลรัฐฉานแต่ขอขึ้นตรงกับเนปยีดอ แทน รวมทั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา เริ่มการปรากฏข่าวสารการเคลื่อนย้ายกำลังพลและมวลชน (ชาวบ้าน) จากพื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินข้ามไปยังฝั่งตะวันตก และยังมีการเคลื่อนพลต่อขึ้นไปทางทิศเหนือเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของรัฐฉาน ผ่านเมืองหนองแหลง เมืองต้างย่าน แล้วไปตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ตำบลเมืองหยอ จังหวัดล่าเสี้ยว เพื่อทำหน้าที่เป็นกองกำลังคุ้มกันจุดยุทธศาสตร์และการค้าที่สำคัญของจีน คือเมืองแสนหวี และเมืองล่าเสียวนั่นเอง ซึ่งการที่เมียนมายอมให้ว้ามีการเคลื่อนไหวของกำลังพลออกนอกเขตพื้นที่ได้อย่างอิสระเช่นนี้ เป็นผลมาจากการเจรจาผ่านทาง “เติ้ง ซีจุน” ทูตพิเศษฝ่ายกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศของจีนคนใหม่นั่นเอง

การทำหน้าที่กองกำลังผู้พิทักษ์ (ผลประโยชน์ของจีน) ในครั้งนี้ ฝ่ายรัฐบาลทหารเมียนมาได้รับประโยชน์ด้วย เพราะจะช่วยผ่อนปรนภาระในการทำศึกสงครามกับชนกลุ่มน้อยติดอาวุธในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือลงได้ ทำให้สามารถทุ่มเทกำลังพลมุ่งไปที่การทำศึกกับชนกลุ่มน้อยติดอาวุธและกลุ่มต่อต้านกลุ่มอื่นๆ ได้มากขึ้น

แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (ปี ค.ศ. 2008 ) จะยังไม่สามารถรับรองหรือเปิดช่องให้การแยกตัวตั้งเป็นรัฐว้าขึ้นมาใหม่ได้ แต่ผู้นำทหารระดับสูงอย่าง พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ก็เห็นด้วยในหลักการและไม่ขัดหากถึงเวลาที่เหมาะสม (หลังการเลือกตั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ โดยมีข้อแม้ว่าตนเองสามารถขึ้นเป็นผู้นำของประเทศได้สำเร็จ) หากถึงเวลานั้น มีพี่ใหญ่จีนคอยสนับสนุนและช่วยทวงสัญญากับฝ่ายกุมอำนาจในเมียนมา ก็เชื่อว่าการตั้งรัฐว้าขึ้นมาเป็นอิสระแยกออกจากรัฐฉานคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ที่ยากกว่าและยากสุดๆ คือ ทำอย่างไรจะทำให้ว้าเลิกผลิตหรือยุ่งเกี่ยวกับการผลิตยาเสพติดแล้วนำส่งมาขายในบ้านเราให้ได้เสียที อันนี้คงต้องมีกุศโลบายที่แยบยลมากกว่าการพูดคุยเจรจากันธรรมดาๆ