ThaiPublica > ประเด็นร้อน > Research Reports > KKP Research > KKP Research วิเคราะห์…เมื่อจีนไม่โตเหมือนเดิม ไทยต้องรับมืออย่างไร

KKP Research วิเคราะห์…เมื่อจีนไม่โตเหมือนเดิม ไทยต้องรับมืออย่างไร

22 มิถุนายน 2023


KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ “ไทยเตรียมรับมือ จีนไม่โตเหมือนเดิม” โดยประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจจีนในปีนี้และในระยะต่อไป กำลังเผชิญความท้าทายอย่างมาก และการเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะไม่ได้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเหมือนทศวรรษที่ผ่านมา

การฟื้นตัวที่แผ่วบางของจีนไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวในระยะสั้นแต่สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานและเริ่มส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้

ประเด็นที่น่ากังวล คือโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนสูง ทั้งจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกทำให้การชะลอตัวของจีนในรอบนี้จะส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงในระยะยาว

สัญญาณเศรษฐกิจจีนแผ่วกว่าที่ตลาดคาด

เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจรายเดือนในแต่ละด้านของจีนสะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของจีนยังซบเซาและกระจุกอยู่เฉพาะการบริโภคในภาคบริการเท่านั้น

แม้ว่าตัวเลขยอดค้าปลีกและตัวเลขการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ทิศทางของการฟื้นตัวเริ่มมีทิศทางที่ชะลอลงต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นดัชนีการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจจีน โดยมีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจกว่า 30% ของ GDP กำลังหดตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตัวเลขการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ในเดือนพฤษภาคม หดตัวกว่า 21% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มีเพียงเครื่องชี้วัดภาคการบริการที่แนวโน้มขยายตัวสวนทางกับภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ของจีน

KKP Research ประเมินว่าการฟื้นตัวที่แผ่วบางของจีน ไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยชั่วคราวในระยะสั้น แต่สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานและเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจ หลายปัจจัยเชิงโครงสร้างกำลังสร้างแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ

1) ภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนกำลังประสบปัญหาจากความเสี่ยงที่โครงการหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้นได้ โดยมีสาเหตุจากผู้ประกอบการอสังหาฯในจีนมีการใช้รายรับจากยอด pre-sale หรือยอดขายก่อนที่โครงการจะสร้างเสร็จ จากโครงการใหม่ มาใช้จ่ายในโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เมื่อยอด pre-sale ในจีนมีทิศทางที่ชะลอตัวลง จากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้โครงการที่กำลังสร้างอยู่ต้องหยุดชะงัก และส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคถูกบั่นทอน จากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้อัตราการออมในภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนมีการลดสัดส่วนของการบริโภคและเพิ่มสัดส่วนของการออมมากขึ้น

2) ภาคการส่งออกที่กำลังถูกกดดันจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลกและผู้ประกอบการสหรัฐฯ กำลังลดสัดส่วนการนำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ ฯ และจีนในหลายประเด็นในช่วงที่ผ่านมา

3) อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มจบใหม่ จากการชะลอตัวในภาคอสังหาฯและกลุ่มอุตสาหกรรมที่เผชิญกับนโยบายภาครัฐที่เข้มงวดมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการศึกษา ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่รองรับการจ้างงานกลุ่มแรงงานจบใหม่

มาตรการกระตุ้นจะมีมากขึ้น แต่ไม่เพียงพอ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ ทำให้ตลาดคาดว่าทางการจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมามากขึ้น และจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องได้ แต่ KKP Research ประเมินว่ามาตรการกระตุ้นแบบเดิม โดยการอัดฉีดสภาพคล่องจะมีผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงเพราะปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง

โดยการชะลอตัวของการลงทุน เป็นผลมาจากการเติบโตของจีน ที่พึ่งพาการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานมากเกินความต้องการของเศรษฐกิจจริง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงเรื่อย ๆ และมีการสะสมปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าการอัดฉีดสภาพคล่องจะช่วยบรรเทาปัญหาความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ แต่แนวโน้มการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะไม่สามารถเติบโตได้ดีเหมือนในอดีต จากอุปสงค์ที่แท้จริงที่กำลังหายไป

KKP Research ประเมินว่านโยบายที่จะตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า คือนโยบายที่สนับสนุนให้ภาคการบริโภคเป็นเครื่องยนต์หลักของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านการยกระดับของรายได้ภาคครัวเรือนให้มากขึ้น ซึ่งภาครัฐจีนได้เห็นถึงปัญหาของการพึ่งพาการลงทุนที่มากเกินไป และได้ประกาศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับล่าสุดแล้วว่าจีนจะหันมาพึ่งพาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาคการบริโภคและการพัฒนานวัตกรรมมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการปรับสมดุล (rebalance)เศรษฐกิจจีน โดยการเพิ่มบทบาทของการบริโภคภาคครัวเรือน จะยังเผชิญกับความท้าทายที่สูงและทำให้สำเร็จได้ยากในระยะสั้นจากหลายเหตุผล คือ

    1)ปริมาณหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้นจากสัดส่วนรายได้ครัวเรือนที่ลดลง
    2)แรงกดดันต่อมูลค่าสินทรัพย์และรายได้ของครัวเรือนจากการชะลอตัวของภาคอสังหาฯและภาคการส่งออก
    3)นโยบายกระจายรายได้จะทำได้ยากหากเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวเพราะอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มความขัดแย้งทางการเมือง
    4) ภาคการบริโภคกำลังมีขนาดเล็กลงจากจำนวนประชากรหดตัว

ผลกระทบที่เลี่ยงไม่ได้

การเติบโตที่ชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ค่อนข้างมากจากการที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพาจีนในสัดส่วนที่สูง โดยในระยะสั้น ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในช่วงครึ่งหลังของปี คือภาคการท่องเที่ยวซึ่งแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะทยอยกลับเข้ามา แต่ยังฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงปี 2019 อยู่ค่อนข้างมาก

KKP Research ยังคงประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีน จะยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่หากสถานการณ์ภายในเศรษฐกิจจีนชะลอตัวต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ อาจต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ที่ 5 ล้านคน

นอกจากนี้ผลกระทบต่อไทยจะไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ผลลบในระยะสั้นเท่านั้นแต่จะสร้างความท้าทายในระยะยาวต่อธุรกิจไทยที่พึ่งพาตลาดของจีนสูงโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจไทยที่พึ่งพาภาคการลงทุนและภาคการส่งออกของจีนในสัดส่วนสูง หากเศรษฐกิจจีนไม่ได้เติบโตในระดับสูงเหมือนเดิมหรือมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป

[อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่https://media.kkpfg.com/document/2023/Jun/How-Thai-handle-China-slow-economic-growth.pdf]