ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup คนหนุ่มสาวลาวมองหางานในไทยหลังค่าครองชีพพุ่งสูง

ASEAN Roundup คนหนุ่มสาวลาวมองหางานในไทยหลังค่าครองชีพพุ่งสูง

21 พฤษภาคม 2023


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 14-20 พฤษภาคม 2566

  • คนหนุ่มสาวลาวมองหางานในไทยหลังค่าครองชีพพุ่งสูง
  • รัฐบาลเวียดนามส่งมอบสนามบินหนองค้างให้ทางการลาว
  • เวียดนามเตรียมเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนปี 2571
  • เวียดนามอนุมัติแผนPDPเพิ่มพลังงานหมุนเวียนกว่า 70%
  • CMTV รอดภาษีแผงโซลาร์เซลล์จากสหรัฐหลังประธานาธิบดีไบเดน veto กฎหมาย
  • ซีไอเอ็มบี ไทย จับมือ Positive Thinking ตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในเวียดนาม
  • คนหนุ่มสาวลาวมองหางานในไทยหลังค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น

    ที่มาภาพ: https://www.vientianetimes.org.la/freeContent/FreeConten_Low63.php
    อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในลาวและการอ่อนค่าของเงินกีบ ซึ่งส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น เป็นแรงจูงใจสำคัญให้คนหนุ่มสาวของลาวมองหางานทำในประเทศไทย จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่แรงงาน

    ไทยเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับประชากรลาวที่มองหางาน รองลงมาคือ สาธารณรัฐเกาหลี

    ปัจจุบันมีชาวลาวอย่างน้อย 2,800 คนทำงานในเกาหลีโดยทำสัญญาระยะสั้น พวกเขาทำงานในฟาร์มของเกาหลีและพื้นที่อื่น ๆ ภายใต้ระบบใบอนุญาตการจ้างงาน(Employment Permit System)และโครงการคนงานตามฤดูกาล( Seasonal Worker Programme ) ที่ตกลงกันระหว่างรัฐบาลของลาวและเกาหลี

    ตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้ แรงงานมีฝีมือจำนวน 31,394 คนออกจากลาวเพื่อไปทำงานต่างประเทศ โดยมากกว่า 30,200 คนไปประเทศไทย สถิติยังแสดงให้เห็นว่าแรงงานลาวมากกว่า 246,000 คนเดินทางกลับจากประเทศไทยในปีที่แล้ว จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม

    เจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยนามจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและการจ้างงานของกระทรวงกล่าวว่า ทางการลาวและไทยวางแผนที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าการโยกย้ายไปทำงานมีความปลอดภัย ซึ่งน่าจะรวมถึงแรงงานที่สามารถเข้าถึงการจ้างงานถาวรในประเทศไทย

    ทุกปี ทางการลาวและไทยที่รับผิดชอบด้านการจัดการแรงงานจะประชุมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาของแรงงานที่ไม่มีเอกสาร โดยมีวัตถุประสงค์คือ ให้ความช่วยเหลือแรงงานผิดกฎหมายที่ต้องการกลับบ้านหรือทำงานในประเทศไทยต่อไปอย่างถูกกฎหมาย

    ค่าครองชีพที่สูงขึ้นและค่าแรงต่ำในลาวทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องหางานทำในประเทศอื่น เพื่อให้พวกเขามีรายได้มากขึ้นและยกระดับมาตรฐานการครองชีพให้ดีขึ้น เจ้าหน้าที่กล่าว

    ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 2.2 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา กัมพูชา และลาว แต่ยังมีแรงงานอีกจำนวนมากที่ทำงานอย่างไม่เป็นทางการในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การประมง เกษตรกรรม การก่อสร้าง และอุตสาหกรรม

    ปีที่แล้ว มีชาวลาวจำนวนมากถึง 500,712 คนทำงานในต่างประเทศ รวมถึงผู้หญิง 27,176 คน ตามสถิติของทางการ ส่วนใหญ่หางานได้ในประเทศไทย ในขณะที่มีเพียงกว่า 50 คนเท่านั้นที่ทำงานในญี่ปุ่น ตามข้อมูลของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม

    รัฐบาลเวียดนามส่งมอบสนามบินหนองค้างให้ทางการลาว

    ที่มาภาพ: https://www.mpi.gov.vn/en/pages/tinbai.aspx?idTin=57746&idcm=133
    รัฐบาลเวียดนามได้ส่งมอบ สนามบินหนองค้างในเมืองซำเหนือ แขวงหัวพันให้กับทางการลาว เมื่อวันจันทร์(15 พ.ค.) หลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้นโดยบริษัทเวียดนาม

    พิธีส่งมอบมีรัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและการขนส่งลาว นายงามปะสง เมืองมนี นาย Tran Quoc Phuong รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม และผู้ว่าราชการจังหวัดหัวพัน นายวันไซ เพ็งสุมมา

    สนามบินแห่งใหม่จัดอยู่ในประเภท 3C และสามารถรองรับเครื่องบินขนาด 70-100 ที่นั่ง เช่น ATR 72, Fokker 70, MA-60, Fokker-100 หรือเทียบเท่า

    ผู้จัดการโครงการ นายพูทอง อินทเส็ง กล่าวว่า “การก่อสร้างสนามบินหนองค้างเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาของภาคสาธารณูปโภคและการขนส่งในด้านการบินพลเรือน และสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการเปลี่ยนประเทศลาวไปสู่ความเชื่อมโยงระดับภูมิภาคและระดับโลก สนามบินสร้างขึ้นตามมาตรฐานของกรมการบินพลเรือนและองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)”

    การก่อสร้างสนามบินเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2556 โดยมีกรมการบินพลเรือน กระทรวงโยธาธิการและขนส่งเป็นเจ้าของโครงการ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนโดยเงินกู้จำนวน 82,041,562 ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก Hoang Anh Gia Lai Agricultural Joint Stock Company (HAGL Agrico) ของเวียดนาม มูลค่าเริ่มต้นของเงินกู้อยู่ที่ 74,006,320 ดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มขึ้นอีก 8,035,242 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นทุนในการทำงานเพิ่มเติม

    สนามบินมีทางวิ่งความยาว 2,400 เมตร กว้าง 30 เมตร โดยมีไหล่ทางกว้างด้านละ 3 เมตร และมีเขตปลอดภัย(safety zone)ที่สุดทางและด้านข้าง มีอาคารผู้โดยสาร 2 ชั้นครอบคลุมพื้นที่ 3,288 ตารารฃงเมตร และรองรับผู้โดยสารได้ 100,000 คนต่อปี อย่างไรก็ตามยังมีงานอีกมากที่ต้องทำที่สนามบิน ในแง่ของการตกแต่งภายในและการตกแต่ง อื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามการรับประกันโครงการ

    นายงามปะสงกล่าวในพิธีส่งมอบว่า การก่อสร้างสนามบินหนองค้างเป็นโครงการใหญ่ระดับชาติ

    รัฐบาลเวียดนามได้ช่วยเหลือ HAGL Agrico ในการให้เงินกู้แก่รัฐบาลลาวในการสร้างสนามบิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปลี่ยนประเทศลาวจากประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลไปสู่ประเทศที่เชื่อมโยงในระดับภูมิภาคและทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับแผนการพัฒนาของภาคสาธารณูปโภคและขนส่ง

    “ความสำเร็จของโครงการนี้เป็นอีกผลลัพธ์หนึ่งที่ยืนยันว่า ความแน่นแฟ้นอันพิเศษและความร่วมมือที่ครอบคลุมระหว่างทั้งสองฝ่าย รัฐบาลและประชาชนของลาวและเวียดนามกำลังทวีคูณและเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายงามปะสงกล่าว

    นาย Tran Quoc Phuong รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน เวียดนามกล่าวว่า สนามบินหนองค้างเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญระหว่างสองประเทศ และได้รับความสนใจอย่างมากและติดตามอย่างใกล้ชิดโดยผู้นำของทั้งสองฝ่ายและรัฐต่างๆ เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของการก่อสร้าง

    สนามบินมีส่วนช่วยในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและความทันสมัย ​​และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของลาวโดยทั่วไป และโดยเฉพาะแขวงหัวพัน

    สนามบินสร้างเสร็จและส่งมอบให้กับรัฐบาลลาวตามแนวทางของผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งมีบทบาทเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมความเชื่อมโยง ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และกระชับมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ ความเป็นปึกแผ่นอันพิเศษ และความร่วมมือที่ครอบคลุม ระหว่างสองประเทศ

    เวียดนามเตรียมเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนปี 2571

    ที่มาภาพ: https://hanoitimes.vn/vietnam-to-build-carbon-market-319879.html
    เวียดนามจะเปิดตลาดซื้อขายคาร์บอนอย่างเป็นทางการในปี 2571 ตามร่าง โครงการพัฒนาตลาดคาร์บอนในเวียดนามที่จัดทำโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งตลาดนี้จะเสริมสร้างกิจกรรมการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตระหว่างเวียดนามกับตลาดระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ

    ตามร่างดังกล่าว เวียดนามจะเปิดตลาดคาร์บอนเครดิตนำร่องในปี 2568 โครงการนี้พัฒนาขึ้นตามประกาศของรัฐบาลที่ครอบคลุมรายละเอียดเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปกป้องชั้นโอโซน และการพัฒนาตลาดคาร์บอน

    ตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นปี 2570 เวียดนามจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนากฎระเบียบในการจัดการคาร์บอนเครดิตและการแลกเปลี่ยนโควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งจะพัฒนากฎระเบียบในการดำเนินงานตลาดคาร์บอนเครดิต นำร่องการดำเนินการของกลไกการแลกเปลี่ยนและการและหักบัญชีคาร์บอนเครดิตในด้านที่มีศักยภาพตามกฎหมายในประเทศและบทบัญญัติของอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เวียดนามเป็นสมาชิก นอกจากนี้ยังจะดำเนินกิจกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความตระหนักในการพัฒนาตลาดคาร์บอน

    การดำเนินงานของตลาดซื้อขายคาร์บอนมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ข้อผูกพันด้านสภาพอากาศก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ในการประชุมภาคีว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP26) ครั้งที่ 26

    ตามโครงการดังกล่าว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะรับหน้าที่เป็นประธานและประสานงานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการกับการดำเนินงานนำร่องและการดำเนินการอย่างเป็นทางการของตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตและรวบรวมกฎระเบียบสำหรับการจัดการ ติดตาม และกำกับดูแลตลาดแห่งนี้

    Nguyen Tuan Quang รองผู้อำนวยการกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงได้ออกหนังสือเวียนฉบับที่ 17/2022/TT-BTNMT กำหนดวิธีปฏิบัติในการตรวจวัด รายงาน และประเมินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและ ก๊าซเรือนกระจกคงค้างในภาคการจัดการของเสีย

    กิจการในภาคของเสียต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาข้อมูลและสารสนเทศเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกคงค้าง ดำเนินการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจก และจัดทำรายงานสินค้าคงคลังเป็นระยะทุกสองปีตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

    ในขณะเดียวกัน สถานประกอบการเหล่านี้ต้องพัฒนาและดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วงปี 2566-2568 ให้สอดคล้องกับสภาพการผลิตและธุรกิจของตน

    ดังนั้น องค์กรต่างๆ ต้องพัฒนามาตรการลดผลกระทบในขณะนี้เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2569 มิฉะนั้นอาจมีผลให้การผลิตหยุดชะงัก และยังเป็นพื้นฐานสำหรับธุรกิจที่จะเข้าร่วมในตลาดคาร์บอนและมีแหล่งเงินเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนใหม่

    เวียดนามอนุมัติแผนPDPเพิ่มพลังงานหมุนเวียนกว่า 70%

    โครงการพลังงานลมที่นิญถ่วน ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/power-plan-one-step-closer-to-netzero-target/253233.vnp

    นายกรัฐมนตรีเวียดนามอนุมัติ แผนการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan VIII) ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาโรงไฟฟ้าและโครงข่ายใหม่ ระหว่างปี 2564-2573 โดยมีวิสัยทัศน์จนถึงปี 2593

    แผนฯมีเป้าหมายเพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของเวียดนาม โดยเป็นหลักประกันว่าจะมีไฟฟ้าเพียงพอเพื่อสนับสนุนอัตราการเติบโตของ GDP ต่อปีที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.0% ในช่วงเวลาดังกล่าว

    นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้เวียดนามเป็นประเทศที่อยู่ใน 4 อันดับแรกในอาเซียนในด้านความน่าเชื่อถือของพลังงาน นอกจากนี้ ครึ่งหนึ่งของอาคารสำนักงานและบ้านในประเทศจะใช้พลังงานจากแผงโซลาร์รูฟท็อปภายในปี 2573

    ส่วนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แผนนี้มุ่งมั่นที่จะเพิ่มส่วนแบ่งของพลังงานหมุนเวียนในแหล่งพลังงานของประเทศให้อยู่ระหว่าง 67.5-71.5 % ภายในปี 2593

    นอกจากนี้ยังพยายามสร้างพลังงานสีเขียวเพื่อการส่งออกโดยมีเป้าหมายระหว่าง 5-10 กิกะวัตต์(GW) ภายในปี 2573 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจะลดลงเหลือประมาณ 27 และ 31 ล้านตัน

    แผนดังกล่าวยังเน้นย้ำถึงการลดลงของแหล่งพลังงานที่ไม่เสถียรอีกด้วย ตัวอย่างเช่น สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ารวมจะลดลงเหลือ 5.3% ภายในปี 2593 เนื่องจากประเทศหยุดใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าภายในปีนี้

    ในขณะเดียวกัน ไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงคาดว่าจะสูงถึง 40.3 กิกะวัตต์ภายในปี 2578 และจะไม่มีการเพิ่มไฟฟ้าชนิดใหม่เข้าไปในระบบ สัดส่วนในแหล่งพลังงานจะอยู่ที่ 15.7% ในปี 2593

    แผนฯยังครอบคลุมการสร้างศูนย์กลางด้านพลังงาน(hub)ข้ามภูมิภาคสองแห่งภายในระยะเวลาของแผน ซึ่งล้อมรอบด้วยคลัสเตอร์โรงไฟฟ้า โครงข่ายไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ศูนย์กลางพลังงานนี้จะตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีตำแหน่งที่ดีบางแห่ง รวมทั้งภาคใต้ตอนกลาง

    แผนดังกล่าวต้องการเงินทุน 134.7 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าและโครงข่ายไฟฟ้าใหม่ระหว่างปี 2564 ถึง 2573 และจะเพิ่มขึ้นเป็นระหว่าง 399.2 พันล้านเหรียญสหรัฐถึง 523.1 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2593 โดยส่วนใหญ่จัดสรรให้กับโรงไฟฟ้าใหม่ และจัดสรรให้โครงข่ายไฟฟ้าไม่ถึง 40 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    รัฐบาลได้ออกมติฉบับที่ 500 เพื่อให้การอนุมัติของนายกฯ ถือเป็นกฎหมาย และการดำเนินการตามแผนจะอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า

    นอกจากนี้ กระทรวงยังได้รับมอบหมายให้จัดเตรียมร่างกฎหมายฉบับแก้ไขเกี่ยวกับไฟฟ้าและกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานทดแทน ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาในปี 2567

    กระทรวงฯยังต้องให้คำแนะนำด้านนโยบายต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการซื้อไฟฟ้าโดยตรงและเร่งรัดโครงการพลังงานที่อาจจะประสบปัญหา

    การอนุมัติแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติฉบับที่ 8 (แผน 8) นี้ได้รับการชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญ

    Ha Dang Son ผู้อำนวยการศูนย์ Centre for Energy and Green Growth Research ให้ความเห็นว่าแผน 8 จะช่วยให้เวียดนามขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่เป็นศูนย์สุทธิอีกก้าว เนื่องจากแผนนี้กำหนดให้ยุติโรงไฟฟ้าพลังความร้อนในปี 2573

    นอกจากนี้การกำหนดสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนไว้ที่ 70% ของแหล่งพลังงานของประเทศภายในปี 2593 เชื่อว่า จะเป็นแรงผลักดันใหม่ให้กับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานของประเทศ

    “กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าได้จัดทำแผนให้สอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของเวียดนามใน COP26 และความตกลง Just Energy Transition Partnership (JETP) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสองประการคือความมั่นคงด้านพลังงานและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

    นอกจากนี้ยังชื่นชมแผนการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าใหม่ในภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งจะทำให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามามีส่วนร่วมในระบบมากขึ้น

    Ngo Tuan Kiet ผู้อำนวยการ Institute for Energy Technologies ให้ความเห็นว่า แผน 8 จะช่วยเร่งโครงการพลังงานที่กำลังดำเนินอยู่ และลดความเสี่ยงของการขาดแคลนพลังงานระหว่างปี 2568 ถึง 2573

    ข้อดีอีกด้านหนึ่งของแผนนี้คือมีความยืดหยุ่นมากกว่าแผนก่อนหน้า ทำให้ผู้กำหนดนโยบายสามารถดำเนินการได้มากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายสองประการ

    Ngo Tuan Kiet เปิดเผยว่า สถาบันของเขาได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษาของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าในระหว่างการจัดทำแผน ตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 ถึงเดือนเมษายน 2566 กระทรวงฯ กำลังแก้ไขฉบับร่างอย่างแข็งขันเพื่อให้แผนสอดคล้องกับการพัฒนาล่าสุดของโลก

    “กระทรวงได้ผนวกวิสัยทัศน์สำหรับศูนย์กลางพลังงานที่จะผลิตไฟฟ้าสีเขียวสำหรับการบริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออกไว้ในแผนด้วย”

    Vo Tri Thanh นักเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า การอนุมัติแผน 8 ในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี ที่จะช่วยลดความไม่แน่นอนของนโยบายในมุมมองของนักลงทุน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

    “แผน 8 จะเปิดทางให้ตลาดพลังงานมีการแข่งขันมากขึ้น”

    นักวิเคราะห์จากนิตยสาร Vietnam Energy มีความเห็นว่ากลไกใหม่หลายอย่างที่นำเสนอโดยแผน 8 มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านของประเทศไปสู่พลังงานสีเขียว รวมถึงภาษีคาร์บอนและการปรับเปลี่ยนพลังงาน

    อย่างไรก็ตาม พวกเขาเชื่อว่ากลไกที่ระบุยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และเรียกร้องให้มีการเพิ่มกลไกอื่นในแผน ซึ่งจะเร่งพลังงานลมนอกชายฝั่งในประเทศ รวมทั้งยังเรียกร้องให้มีนโยบายที่เอื้ออำนวยโดยเฉพาะเพื่อเร่งโครงการที่คืบหน้าช้า เช่น Ca Voi Xanh และ Long Phu เพื่อให้เสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา

    “เราต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกการซื้อไฟฟ้าโดยตรง การไม่มีกลไกดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน”

    CMTV รอดภาษีแผงโซลาร์เซลล์จากสหรัฐหลังประธานาธิบดีไบเดน veto กฎหมาย

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มาภาพ: https://www.whitehouse.gov/administration/president-biden/

    ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันอังคาร(16 พ.ค.)ที่ผ่านมา ว่า เขาได้ใช้สิทธิ veto ยับยั้งกฎหมาย ที่รัฐสภาสหรัฐฯให้ความเห็นชอบเพื่อยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ของสหรัฐฯจากกลุ่มประเทศ CMTV ประกอบด้วย กัมพูชา มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม

  • ASEAN Roundup กัมพูชา มาเลเซีย ไทย เวียดนามเจอภาษีนำเข้าแผงโซลาร์จากสหรัฐรอบใหม่

  • ประธานาธิบดีไบเดนไดอนุญาตในเดือนมิถุนายน 2565 ให้ยกเว้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์จากกัมพูชา มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เป็นเวลา 2 ปีก การนำเข้าจากประเทศเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 80% ของแผงโซลาร์เซลล์ของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า การยกเว้นภาษีนี้เพื่อกันปัญหาในช่วงที่สหรัฐเพิ่มการผลิตให้มากพอ เพื่อตอบสนองโครงการในประเทศที่จำเป็ นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    ในแถลงการณ์ที่ชี้แจงเฉพาะการใข้สิทธิ vetro เป็นครั้ง 3 ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า การยับยั้งจะเป็นประกันได้ว่า “เรามีอุตสาหกรรมการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ที่เจริญรุ่งเรือง พร้อมที่จะติดตั้งผลิตภัณฑ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตในอเมริกาให้กับบ้าน ธุรกิจ และชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ” และกล่าวว่า เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะขยายการยับยั้งหลังจากการยกเว้นสิ้นสุดลง

    ผู้ผลิตในประเทศกล่าวว่า ภาษีเป็นสิ่งจำเป็นในขณะนี้เพื่อแข่งขันกับแผงราคาถูกที่ผลิตในต่างประเทศ

    สภาคองเกรสดูเหมือนจะไม่มีคะแนนเสียงมากพอที่จะลบล้างการยับยั้งของประธานาธิบดีไบเดน เพราะต้องใช้เสียงข้างมาก 2 ใน 3 ในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

    ซีไอเอ็มบี ไทย จับมือ Positive Thinking ตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในเวียดนาม


    ฮานอย เวียดนาม I 16 พฤษภาคม 2566 – ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด มหาชน (CIMBT) และบริษัท Positive Thinking (PTC) ผู้นำด้านดิจิทัลระดับโลกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้กลุ่มบริษัท CBTW ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ จัดตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทยขึ้น ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

    พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ในการก้าวไปสู่การเป็นธนาคารชั้นนำของอาเซียนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าเป็นพันธมิตรกับบริษัท Positive Thinking เป็นความร่วมมือที่จะช่วยเร่งให้ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ใกล้เป้าหมายการนำเสนอประสบการณ์ด้านธนาคารดิจิทัลที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้า การร่วมมือกับพีทีซีจะช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพของทรัพยากรด้านดิจิทัลของธนาคาร และช่วยขับเคลื่อนการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอันแข็งแกร่ง ปัจจุบัน ซีไอเอ็มบี ไทย มี digital hub อยู่แล้ว 2 แห่ง ที่กรุงเทพ และเชียงใหม่ การจัดตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ประจำประเทศเวียดนาม ณ กรุงฮานอย นับเป็น digital hub แห่งที่ 3 ของธนาคาร และจะเป็นไฮไลท์สำคัญล่าสุดในการพัฒนางานด้านดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วของธนาคาร โดย digital hub ทั้ง 3 แห่งจะทำงานร่วมกัน เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการบรรลุเป้าหมายด้านดิจิทัลในระยะยาวของธนาคาร”

    Pieter van Diermen ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Positive Thinking ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย และได้นำโมเดล Build Operate Transfer ของเราเข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในการสร้างและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์และผลิตภัณฑ์ในเวียดนาม เราได้รับรู้ถึงความเป็นไปของตลาดเวียดนาม ตลอดจนกลุ่มวิศวกรระบบซอฟต์แวร์ที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นและมีความสามารถรอบด้าน เราจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ประจำประเทศเวียดนามจะเป็นเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเสริมทัพทีมวิศวกรของซีไอเอ็มบี ไทย และจะช่วยสร้างผลงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านดิจิทัลของซีไอเอ็มบี ไทยเป็นอย่างดี”

    ศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ประจำประเทศเวียดนาม เริ่มต้นการดำเนินงานด้วยทีมงานประจำการที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยทีมงานดังกล่าวจะปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิดกับทีมวิศวกรในประเทศไทยเพื่อสร้างสรรค์ฟีเจอร์การใช้งานใหม่ ๆ และปรับปรุงระบบการให้บริการของ CIMB THAI Digital Banking Application ตลอดจนการใช้งานผ่านระบบดิจิทัล (digital touchpoints) ในรูปแบบอื่น ๆ

    ด้วยจำนวนวิศวกรที่จบการศึกษากว่า 55,000 รายในแต่ละปี ภาคส่วนด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ของประเทศเวียดนามนั้นนับว่าอยู่ในช่วงเฟื่องฟูและกำลังกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2568 ประเทศเวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ด้วยโมเดล Build Operate Transfer (BOT) อันยืดหยุ่นในราคาที่คุ้มค่า บริษัท Positive Thinking ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่า 15 ศูนย์ในประเทศเวียดนาม เพื่อให้การสนับสนุนลูกค้าระดับโลกในการเร่งพัฒนาการวางแผนด้านผลิตภัณฑ์และการเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานสู่รูปแบบดิจิทัล (digital transformation journeys)

    เกี่ยวกับบริษัท Positive Thinking
    บริษัท Positive Thinking เป็นหุ้นส่วนผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มบริษัท Collaboration Betters The World (CBTW) ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและระบบนิเวศทางธุรกิจ โดยมีทีมงานผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีกว่า 4,000 ราย ประจำการอยู่ในกว่า 35 เมืองทั่วภูมิภาคยุโรป อเมริกา เอเชีย และแอฟริกา สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน

    ผลิตภัณฑ์ด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ โดยได้นำกลวิธีอันยืดหยุ่น (agile methodology) ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เครื่องมือที่ใช้ทำงานร่วมกัน (collaborative tools) และทีมงานสหสาขาวิชาชีพมาพัฒนาเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ แอปพลิเคชันระดับองค์กร แพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจซื้อขายออนไลน์
    โมเดล Build Operate Transfer (BOT) ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นและตอบสนองความต้องการด้านการออกแบบซอฟต์แวร์และศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในระดับโลก เช่น บริษัท Atlassian ธนาคาร National Australia Bank บริษัท Magnolia บริษัท MessageMedia บริษัท Ansarada และอื่น ๆ อีกมากมาย
    เกี่ยวกับซีไอเอ็มบี ไทย

    ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จํากัด (มหาชน) ขับเคลื่อนองค์กรด้วยวิสัยทัศน์ในการก้าวไปสู่การเป็นธนาคารชั้นนำของอาเซียนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการด้านธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ธุรกิจบริหารเงิน ธุรกิจรายย่อย ธุรกิจขนาดใหญ่ และผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเซียน

    ซีไอเอ็มบี ไทย อยู่ภายใต้กลุ่มซีไอเอ็มบี ซึ่งเป็นธนาคารอาเซียนชั้นนำที่มุ่งเน้นและเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาระดับแนวหน้าขององค์กรในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการเงินอิสลาม โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินที่ครอบคลุมถึงบริการการธนาคารด้านธุรกิจรายย่อย พาณิชย์ธนกิจ
    วาณิชธนกิจ ธนาคารอิสลาม และการบริหารจัดการสินทรัพย์ โดยเป็นกลุ่มธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ในอาเซียน และ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 มีพนักงานรวมประมาณ 33,000 คนและลูกค้ากว่า 20 ล้านราย