นายกฯชี้แก้ ศก.ฐานรากให้ดูศักยภาพคลัง – ทำแล้วไม่มีผลต่อในอนาคต ปลื้มต่างชาติมั่นใจฐานะเงินการคลัง – ศก.ไทย อยู่ในเกณฑ์ดี ย้ำค่าไฟแพงให้ดู ตปท. แต่อย่าเทียบกับ ปท.เจ้าของแหล่งพลังงาน สั่งเพิ่มวุฒิฯให้ทหารเกณฑ์เรียน กศน. 1-2 ระดับ แจงซื้อ “เรือดำน้ำจีน” ยังอยู่ในขั้นเจรจา มติ ครม.เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมที่ประชุม รมว.คลังอาเซียน แจก “ผ้าอ้อม” ให้ผู้ป่วยติดเตียง 3 ชิ้น/วัน ดูแลคนกรุงใช้ “บัตรทอง รับยาต้านโควิดฯฟรี ผ่าน 4 แอป
เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2566 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุม ครม. เสร็จสิ้น พลเอก ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน รวมทั้งมอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการ
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า การประชุม ครม. ในวันนี้มีเรื่องไม่มากนัก แต่ก็เป็นหน้าที่ของ ครม. และรัฐบาลที่ต้องดำเนินการทุกอย่างให้เกิดความต่อเนื่อง โดยได้สั่งการในที่ประชุมไปให้เกิดการบูรณาการในหลายมิติ
เผยช่วงสงกรานต์อุบัติเหตุเพิ่ม แต่ยอดผู้เสียชีวิตลดลง
พลเอกประยุทธ์ กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดูแลประชาชนตามเส้นทางต่างๆ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ยังมีรายงานช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 ว่ามีอุบัติเหตุสูงขึ้น แต่ยอดผู้เสียชีวิตลดลง
“ผมไม่อยากให้มีการเสียชีวิตแม้แต่รายเดียว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร เพราะรถมันจำนวนมาก หลายคนไม่ค่อยเคารพกฎจราจร วันนี้ก็ดีใจที่ดื่มสุราแล้วขับรถกันน้อยลง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการขับเร็วเกินกำหนดในพื้นที่ที่ไม่ควรจะใช้ความเร็ว คงต้องขอความร่วมมือกับประชาชนต่อไป” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุด คือ การขับรถเร็ว พอถนนมันโล่ง ๆ ถนนดี ๆ ก็เร็วจนเกินไปจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ อุบัติเหตุที่สรุปมาทั้งหมดเกิดจากมอเตอร์ไซค์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งบิ๊กไบค์ สมอลไบค์ อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องยับยั้งชั่งใจกันบ้าง การดื่มสุราขับรถอันตรายอย่างยิ่งยวด การใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถอันตรายาที่สุดเลย แล้วผิดกฎหมายด้วย”
พลเอกประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า “ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสียสละเวลาอยู่กับครอบครัวมาดูแลประชาชน แต่ทำอย่างไร เราจะลดภาระเหล่านี้ให้ได้ เพราะทุกคนจะได้พักผ่อนกันบ้าง”
สั่งทหาร-ตำรวจ สกัดลักลอบขนยาเสพติด – อาวุธตามชายแดน
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจตามพื้นที่ชายแดนรอบประเทศ และสามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งภาคพื้นดินและอากาศ เพราะเจ้าหน้าที่ทำให้ประชาชนอยู่อย่างปลอดภัย ตนได้สั่งการในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เตรียมความพร้อมในพื้นที่ต่างๆ เพื่อป้องกันประเทศ แต่ไม่ได้ไปบุกรุกกับใคร ขณะเดียวกัน ก็ต้องระมัดระวังการลักลอบอาวุธและยาเสพติดตามแนวชายแดนด้วย
ปลื้ม “Agoda” ยก ‘ขอนแก่น’ ขึ้นอันดับ 1 แหล่งท่องเที่ยวคุ้มค่า
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า Agoda ได้จัดอันดับให้จังหวัดขอนแก่นเป็นอันดับ 1 ด้านการเป็น ‘จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่คุ้มค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก’ ประจำเดือน 2566 เพราะด้วยราคาห้องเฉลี่ย 1,030 บาทต่อคืน และมีสถานที่จัดเทศกาลสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทย
ทั้งนี้ Agoda ได้จัดให้เมือง Sibu ประเทศมาเลเซีย เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่คุ้มค่าที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอันดับ 2 และเมือง Surakarta ประเทศอินโดนีเซีย เป็นอันดับ 3
“ผมลงพื้นที่ ก็เห็นประชาชน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ห่วงอย่างเดียวคือเรื่องการตรวจสุขภาพตนเอง ผมได้ย้ำเตือนไปแล้วให้เตรียมความพร้อมไว้ด้วย ทั้ง PM2.5 และสุขภาพ ฝากพวกเราช่วยกันตรวจเช็ค ATK นักข่าวก็ต้องตรวจทุกคนนะ ตรวจด้วยตัวเองนั่นแหละ มันไม่ยากเลย จะได้ดูแลตัวเองได้ทันเวลา” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
คุมเข้มต้นเหตุ PM 2.5
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า จากรายงานของกรมควบคุมมลพิษ และคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ฝุ่น PM2.5 ยังมีสถิติสูงขึ้นในบางจังหวัด ตนได้ย้ำสั่งการและกำชับในที่ประชุม ครม. ทั้งเรื่องการจราจร ภาคอุตสาหกรรม การเผาวัชพืช เผาป่า ทั้งหมดต้องเข้มงวด พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนว่าอย่าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะเกิดการจับกุมและดำเนินคดีต่างๆ
“นอกจากประเทศเราแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านด้วย คือไม่โทษกัน เราไม่โทษกัน เราต้องร่วมมือกัน อย่างที่ผมคุยกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ทุกคนก็ดีใจที่ได้พูดคุยกันในประเด็นสำคัญ วันนี้มีข่าวว่าฝุ่นละอองต่างๆ จากอินเดียมามากในวันนี้ ก็ต้องระมัดระวังช่วยกัน ถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมก็เป็นปัญหา” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
วอน ปชช. ช่วยปลูกไม้ยืนต้น
พลเอกประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการปลูกป่าว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหลายหน่วยงาน ได้เร่งดำเนินการอย่างเต็มที่ในการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ โดยยกตัวอย่างประเทศสวีเดนที่สามารถเพิ่มพื้นที่ป่าจาก 25% เป็น 75% และยังส่งออกไม้ไปต่างประเทศเป็นอันดับ 3 ของโลก
“คงต้องฝากไปยังประชาชนช่วยกันปลูกต้นไม้ยืนต้นในพื้นที่ป่าชุมชน และในพื้นที่ที่คนอยู่ร่วมกันป่า ซึ่งเราก็ได้จัดให้ป่าอยู่ร่วมกับประชาชนได้ในบางพื้นที่ รวมถึงจัดที่ดินให้ไปแล้ว กรุณาปลูกต้นไม้ด้วยแล้วกัน คนละต้นสองคน ช่วยกันดูแลให้มันโต ก็จะได้ช่วยภาครัฐด้วยอะไรด้วย ทั้งหมด เพราะนี่คือประเทศไทยของเรา” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
เตือน “เอลนีโญ” ทำอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า “ผมดูข่าวจากสื่อต่างประเทศ สิ่งที่เขาเตือนมาให้ระมัดระวังเรื่อง ‘เอลนีโญ’ อากาศร้อนผิดปกติ อากาศในทะเล น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น ต้องระวังอย่างที่สุด นี่เป็นภาวะโลกร้อนในมหาสมุทร อาจทำให้เกิดภัยพิบัติด้านสภาพอากาศทั่วโลก โดยเฉพาะปลายปีนี้ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ถ้าเอลนีโญก็อุณหภูมิประมาณสูงขึ้นอย่างน้อย 0.8 องศาเซลเซียส ถ้าซุปเปอร์เอลนีโญจะมีอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 องศาเซลเซียส”
ปลื้มต่างชาติมั่นใจฐานะเงินการคลัง – ศก.ไทย อยู่ในเกณฑ์ดี
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รายงานในที่ประชุม ครม.วันนี้ว่า สถานการณ์การเงินการคลังของประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ได้เดินทางไปต่างประเทศหลายเวที ทุกคนยอมรับในเศรษฐกิจของประเทศ และมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการเงิน
“การบริหารหนี้สาธารณะอะไรก็ดี เราทำได้ตามนั้น การใช้จ่ายงบประมาณก็เป็นประโยชน์ หลายอย่างก็ลงทุนไปมากพอสมควร โดยเฉพาะทางกายภาพ มีหลายอย่างที่คิดว่าเป็นการศึกษาที่ทำให้เกิดความเชื่อมโยงมาก ก็เป็นการลงทุนระยะยาว ถ้าเราคิดแต่ระยะสั้นอย่างเดียว มันไปไม่ได้ ถ้าเราไม่มียุทธศาสตร์ ก็ไม่สามารถบูรณาการสิ่งเหล่านี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าจะมาอวดอ้าง เป็นข้อเท็จจริง” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พลเอกประยุทธ์ ยังกล่าวขอบคุณกระทรวงการคลัง และบอกต่อว่า ปัจจุบันเป็นช่วงรักษาการ แต่ก็ต้องทำหน้าที่ ไม่ได้นิ่งนอนใจ หยุดทำงานไม่ได้ แม้จะมีลาไปบ้าง แต่ก็ต้องทราบเรื่องเพราะเอกสารมันแจกจ่ายไปแล้ว
แนะแก้ ศก.ฐานรากให้ดูศักยภาพคลัง – ทำแล้วไม่มีผลต่ออนาคต
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า “วันนี้เศรษฐกิจภาพใหญ่ – มหภาคกำลังดีอยู่แล้ว เหลือแต่แก้ปัญหาจุลภาคและฐานรากให้ดีขึ้นตามมาตรการ แต่ต้องดูแลตามศักยภาพการเงินการคลังที่มีในปัจจุบันอย่างระมัดระวัง และไม่มีผลต่อในอนาคต”
“ขอให้ฟังรัฐบาลบ้าง แต่ผมก็เข้าใจดีว่าทุกคนไม่ได้มองไกลขนาดนั้น ทุกคนมองเศรษฐกิจของตนเอง และครอบครัวเป็นหลัก แน่นอนเป็นธรรมดา แต่ก็ต้องนึกในภาพรวมด้วย เพราะมันไปด้วยกันทั้งหมด มันต้องเติบโตไปด้วยกัน อะไรที่ยังบกพร่องอยู่ รัฐบาลก็พยายามแก้ไขและเดินหน้ายุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องมันถึงจะไปสู่ความสำเร็จ การทำอะไรที่ผลีผลามโดยไม่มีข้อมูลอย่างแท้จริง ไม่ถ่องแท้ มันก็บริหารไม่ได้อย่างนี้หรอก” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
“ขอให้เครดิตกับรัฐบาล และ ครม. ที่ทำให้สถานะการเงินของเรายังแข็งแกร่งในปัจจุบัน นี่เป็นมุมมองของต่างประเทศซึ่งเป็นตลาดใหญ่ การบริหารการเงินอย่างถูกวิธี ทำให้สถานการณ์การเงินอยู่ในเกณฑ์ระดับที่มีเสถียรภาพ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
เผยคดีทุจริตเพิ่ม เพราะรัฐเอาจริง ไม่ปล่อยปะละเลย
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีคดีความทุจริตคอรัปชันเพิ่มขึ้น เพราะวันนี้มีคนแจ้งมากขึ้น และมีคนได้รับผลกระทบมากขึ้นก็ร้องเรียนขึ้นมา ก็เข้าสู่การดำเนินคดีมากขึ้น แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่มีคดีแล้วไม่มีการทุจริต
“เรื่องมันเกิดมากขึ้น ก็ต้องมองในอีกมุมว่า ทำไมแต่ก่อนไม่ค่อยมี แล้วทำไมวันนี้ถึงมีมากขึ้น เพราะอะไร เพราะรัฐบาลเอาจริงเอาจังมากขึ้นหรือเปล่า หรือ แต่ก่อนรัฐบาลไม่สนใจ ไม่ใช่หรือครับ มันอยู่ที่ความร่วมมือของเรา…รัฐบาลผมไม่มีการปล่อยปละละเลย ถ้าไม่ร่วมมือกัน ไม่แจ้งกัน มันก็ลำบาก หลายอย่างมันสมยอมกันเป็นส่วนใหญ่ มันก็ต้องช่วยกันแจ้ง จะได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมไม่ปกปิดอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของทุกคนต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ผมได้ย้ำใน ครม. อยู่เสมอในเรื่องเหล่านี้” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ประเทศเราจะดีขึ้นได้่ เพราะคนทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องรักสามัคคีกัน และสร้างในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นความขัดแย้งก็ต้องเบาลงบ้าง บางทีก็ขัดแย้งกันในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขอให้ทุกคนเปิดใจให้กว้าง ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลทำเก่ง-ยอดเยี่ยม แต่เพียงบอกว่าอย่าตื่นตระหนก
แจงซื้อ “เรือดำน้ำจีน” ยังอยู่ในขั้นเจรจา
ผู้สื่อข่าวถามถึงการแก้ปัญหาโครงการจัดหาเรือดำน้ำจากประเทศจีน ที่ยังติดขัดปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ โดยพลเอก ประยุทธ์ ตอบว่า “ผมให้แนวทางปฏิบัติไปแล้ว ทุกอย่างมันเป็นสัญญาระหว่างกันว่าจะต้องใช้อะไร เมื่อมันไม่ได้มา เพราะมีปัญหาระหว่างกัน เขาก็ไม่ส่งเครื่องให้ ต้องมาดูว่ามีอะไรมาทดแทนได้หรือไม่”
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และเจรจาพูดคุยเพื่อให้ได้มาตรฐาน ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งทหารเรือไปศึกษาเรียนรู้ตั้งแต่ช่วงทำสัญญาครั้งก่อน ดูตั้งแต่การประกอบตัวเรือตั้งแต่ต้น แต่วันนี้ติดอย่างเดียว คือ เรื่องเครื่องยนต์
“หลายคนพูดว่าไม่มีความสำคัญ ไม่ต้องมีทหารก็ได้ ก็ลองคิดแล้วกันว่าสิ่งที่พูดกันทั้งหมด ไม่ว่าจะชายแดน หรือ ทั้งหมด มันต้องใช้กำลังทหารหรือเปล่า ถ้าเราไม่มีกำลังที่เพียงพอ ไม่มีอะไรที่ทันสมัยจะทำอย่างไร พื้นที่ทางบก ทะเลมันมีปัญหาหมด” พลเอกประยุทธ์ กล่่าว
เมื่อถามว่าจะมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “ต้องฟังเขาก่อนและหารือกัน ถ้าไม่ได้จะแล้วจะเอาเครื่องยนต์ที่ไหนมา มีมาตรฐานหรือเปล่า เป็นเรื่องสัญญาที่มีระหว่างกัน ทางจีนก็พร้อมที่จะพูดคุยในเรื่องนี้”
ถามอีกว่า นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนหรือยัง พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “คุยไปแล้ว ช่วงเอเปค ผมก็คุยหลายเรื่อง คุยกับผู้นำทุกประเทศ เพราะเราต้องสร้างความสมดุล ทุกคนต้องเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้มีศักยภาพเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ – กำลังทหาร ไม่ใช่มหาอำนาจ แต่เราต้องดูแลตัวเองให้ได้ ทั้งพื้นที่ทางบกและทะเล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนที่มีเขตติดต่อหลายประเทศด้วยกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีกำลังทหารที่เพียงพอ”
สั่งเพิ่มวุฒิทหารเกณฑ์ เรียน กศน. 1-2 ระดับ
พลเอกประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องการเกณฑ์ว่า บางพื้นที่บางเขตมีผู้สมัครเกินความต้องการ ทำให้ดีใจว่าทุกคนเริ่มเข้าใจ และสนใจเป็นทหาร แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับการเรียนนักศึกษาวิชาทหารและการผ่อนผัน
“การเกณฑ์ทหารมันเกณฑ์เท่าที่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นทหารทั้งหมด ก็มีการจับสลากบ้าง ขอให้ติดตามแล้วกัน ถ้าไม่มีก็จะเดือดร้อน เพราะการเอาคนมาเป็นทหารไม่ใช่ทั้งกองทัพมีเฉพาะนายสิบ มันต้องมีพลทหารด้วยที่อยู่ในชุดปฏิบัติการในหมู่ในหมวด การฝึกทหารช่วง 3 เดือนแรกเป็นการปรับพฤติกรรมให้รู้ระเบียบวินัยอะไรต่างๆ แต่รูปแบบยุทธวิธีมันต้องฝึกหลังจาก 3 เดือนไปแล้วอย่างต่อเนื่อง หมู่ตอนหมวด ฝึกภาคกองร้อย กองพัน ฝึกร่วมผสม มันต้องผสมทั้งหมดในการฝึกและทำงาน หน้าที่แตกต่างกัน มีเหล่าทั้ง 16 เหล่า ก็เรียนรู้บ้างแล้วกัน” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนให้นโยบายเรื่องการเพิ่มคุณวุฒิในการศึกษาให้มีการเรียน กศน. เพื่อให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นอย่างน้อย 1 – 2 ระดับ และทำให้มีระเบียบวินัย กลับบ้านก็เป็นผู้นำ หรือ หัวหน้าครอบครัว เพราะถ้าไม่มีระเบียบวินัย สังคมจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ วันหน้าจะวุ่นวาย
พลเอกประยุทธ์ เสริมว่า ปัจจุบันมีการฝึกวิชาชีพทหารก่อนปลดทหาร และการให้สิทธิการสมัครเป็นนายสิบต่อ ซึ่งมีผู้สนใจมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
“วันนี้ทุกคนมีความภาคภูมิใจ เมื่อเข้ามาแล้วก็รู้ว่าฝึกทหารแล้วได้อะไรกลับไป ถ้าไม่มีเลยมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีประเทศไหนไม่มีทหารหรอก” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ภาครัฐจะประชาสัมพันธ์อย่างไร พลเอกประยุทธ์ ตอบทันทีว่า “สื่อช่วยกันพูดหน่อย เราพูดกันเยอะไปหมดแล้ว สื่อหนังสือพิมพ์ก็มี สื่อโซเชียลก็มี ช่วยกันขยายสิครับ”
“ทุกเรื่องมันต้องสื่อสาร ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับสื่อ ถึงแม้หลายอย่างจะจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ผมก็รับได้ นี่คือประชาธิปไตยของประเทศไทย ผมก็ประชาธิปไตยกับท่านเต็มที่แล้ว กับสื่อผมก็เต็มที่แล้ว ประชาชนก็เต็มที่แล้ว เหลือแต่กฎหมายเท่านั้นเอง ถ้าทุกคนทำอะไรก็ได้ มันก็อยู่กันไม่ได้หรอก เราให้ประชาธิปไตยเต็มใบอยู่แล้ว มากกว่าเต็มใบอีก ใบครึ่งไปแล้วมั้ง” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ย้ำค่าไฟแพงให้ดู ตปท. แต่อย่าเทียบกับ ปท.เจ้าของแหล่งพลังงาน
ผู้สื่อข่าวถามเรื่องค่าไฟแพง และประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วย พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “ต้องไปดูสาเหตุว่าแพงเพราะอะไร หลายอย่างขึ้นกับต้นทุนการผลิต-การบริหาร มีอะไรที่ซับซ้อนหลายอย่าง ถ้ามองว่าค่าไฟ-ค่าแก๊สแพง แล้วขอให้ลดลงเท่านั้น เท่านี้ ต้องดูว่าทำได้หรือเปล่า อะไรที่จะทำได้ไม่ต้องห่วง ผมทำให้หมด”
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ค่าไฟเป็นเรื่องการประกอบการทางธุรกิจ มีสัญญาข้อผูกมัดหลายอย่าง รัฐบาลก็พยายามไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่ให้เสียเปรียบกันอยู่แล้ว
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานให้ถูกลง โดยจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น พลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทน ส่วนวันหน้าต้องดูทำอย่างไรให้ใช้แสงแดดตามบ้านหรือชุมชน
พลเอกประยุทธ์ กล่าวต่อว่า “ค่าพลังงาน ค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ต้องดูว่าต่างประเทศราคาเท่าไรกันตอนนี้ แต่อย่าไปเปรียบเทียบประเทศที่มีแหล่งพลังงานของตัวเอง ซึ่งเรายังต้องซื้อเขาเลย ก๊าซในอ่าวไทยก็ลดลงทุกวันๆ เราก็ได้จากพม่า มาเลเซีย ต้องเร่งหาพลังงานอื่นมาทดแทน”
เมินผลโพล “บิ๊กป้อม” ขึ้นอันดับ 1 หลังชูแก้ปมขัดแย้ง
เมื่อถามถึงผลการสำรวจสวนดุสิตโพล ที่ให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มาอันดับ 1 เพื่อช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้ง พลเอกประยุทธ์ ตอบว่า “ก็ฟังกันไป ดูกันไป แต่ก็เปลี่ยนทุกวันแหละโพล”
“มันอยู่ที่พวกเราจะมองว่าขัดแย้งหรือไม่ขัดแย้ง ต้องดูกันเอาเอง อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ผมไม่ขัดแย้งกับสื่อ ผมไม่ขัดแย้งกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเขาทำผิดกฎหมาย ก็ต้องตามกติกาเท่านั้นเอง นั่นคือประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ ประเทศประชาธิปไตยทุกประเทศ เขาก็มีกฎหมายของเขา ประเทศไหนไม่มีบ้าง และประเทศไหนไม่ใช้กำลังในกรณีที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น มีไหมหล่ะ เรานี่เบาที่สุดแล้ว ผมก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว ระมัดระวังอย่างที่สุด”
“เห็นใจเจ้าหน้าที่เขาบ้าง อันตรายก็เกิดกับเขา ลูกเมียเขาก็มี ครอบครัวเขาก็มี เขาอยากจะทะเลาะกับประชาชนหรือไง เข้าใจไหม ทุกอย่างเราต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมทั้งหมด ส่วนเจ้าหน้าที่ผมก็เตือนทั้งหมดว่าต้องทำหน้าที่ด้วยความโปร่งใส สุจริตและเป็นธรรมตามกฎหมายทุกประการ ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ต้องถูกลงโทษ ประเทศมันอยู่ด้วยคนหลายกลุ่มหลายฝ่าย ถ้าเราเกลียดกัน ไม่ไว้ใจกัน ประเทศมันไปไม่ได้อยู่ดี มันก็ติดอยู่ตรงนี้ ทั้งที่เรามีโอกาสมากมาย ศักยภาพเยอะแยะไปหมด” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ตัดพ้อคนรุ่นใหม่ไม่เห็นผลงาน ชี้ที่ผ่านมาเปลี่ยนไปมาก
พลเอกประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ช่วงนี้ก็เป็นช่วงการหาเสียง ก็ว่ากันไป ทุกอย่างขึ้นกับประชาชน ขอให้ดูว่าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ หลายคนอาจไม่สังเกต บางคนอาจไม่รู้ตัว บางคนก็เกิดไม่ทัน ก่อนหน้านี้เราลำบากแค่ไหน มีรถไฟฟ้าหรือเปล่า มีถนนแบบนี้หรือเปล่า แต่วันนี้อยากได้อะไรที่ดีกว่าเดิม แน่นอนเรามียุทธศาสตร์ว่าจะเดินอย่างไรสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ใช่หมายความว่า ทำให้คนนั้น คนนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่นักธุรกิจคนรวย ผมไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้ว”
เชิญชวนผู้สูงอายุ – กลุ่ม 608 รับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ด้านนายอนุชา ได้รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องแรกนายกรัฐมนตรีได้ฝากความห่วงใยไปถึงพี่น้องประชาชน หลังจากที่เดินทางกลับมาจากต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ขอให้เฝ้าระวัง และดูแลอาการของตนเองว่ามีอาการติดเชื้อไวรัส โควิด – 19 หรือไม่ หากมีอาการก็ขอให้ใช้ ATK ตรวจสอบเหมือนกับในอดีตช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส โควิดฯ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่าน รัฐบาลเองก็ไม่ได้เข้มงวดในเรื่องของการใส่หน้ากากอนามัยต่าง ๆ มากนัก เพราะทราบกันดีว่าเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ต้องเปิดโอกาสให้ทุกท่านทำกิจกรรมรดน้ำ ดำหัว และก็มีการเล่นน้ำสงกรานต์กัน จึงไม่สะดวกที่จะใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งในตอนนี้อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้น จึงอยากให้ทุกท่านได้เฝ้าระวังอาการของตนเอง หากรู้ตัวเองว่ามีอาการติดเชื้อ ก็ขอให้หลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปในที่ที่มีประชาชนหนาแน่น พยายามใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หรือ หลีกเลียงพบปะพูดคุยทำกิจกรรมกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญาติผู้ใหญ่ในบ้าน หรือ ในชุมชนต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้ ไม่ให้เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา
นอกเหนือจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้เข้าไปรับวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันสำหรับใครที่มีญาติผู้ใหญ่ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบโดส หรือ ห่างเหินจากการฉีดวัคซีนมานาน ก็ขอให้เข้ามารับการฉีดวัคซีนเหมือนที่เคยดำเนินการมาในช่วงที่มีการแพร่ระบาดมาก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรค หรือ “กลุ่ม 608”
ขอบคุณ ขรก.ทุกคนอำนวยความสะดวก ปชช.ช่วงสงกรานต์
นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีขอบคุณข้าราชการ ทั้งในส่วนของฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร และภาคประชาชนต่างๆที่ได้ดำเนินการดูแลความสงบเรียบร้อย อำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนในช่วงงานฉลองสงกรานต์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีขอขอบคุณที่หลายท่านไม่ได้หยุดพัก แต่ได้ทำงานเพื่อที่จะทำให้ประชาชนมีความสุข และฉลองเทศกาลสงกรานต์ไปได้อย่างเรียบร้อย
นอกเหนือจากนั้นต้องขอขอบคุณข้าราชการที่ทำงานอยู่บริเวณชายแดนทาง อาสาสมัครพลเรือน ข้าราชการตำรวจ ทหาร ที่ทำงานป้องกันประเทศ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันอยู่ว่า มีสถานะการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นบางจุดในบริเวณประเทศเพื่อนบ้านเรา ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เสียสละที่ได้ดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย และเป็นกำลังใจให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
ตั้งเป้าลดผู้เสียชีวิตเหลือ 12 คนต่อ ปชช. 1 แสนคน ในปี’70
ส่วนการรายงานเรื่องอุบัติเหตุตรงวันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รายงานและได้ตั้งข้อสังเกตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยเฉพาะช่วง 7 วันอันตรายที่ผ่านมา ปรากฎว่ามีผู้ที่เสียชีวิตลดลงประมาณ 10% แต่จำนวนอุบัติติเหตุที่เกิดขึ้น ปรากฏว่ามีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ก็ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการแก้ปัญหา และสามารถกำกับดูแลจำนวนอุบัติเหตุใหม่ไม่ให้สูงขึ้นกว่านี้ แต่อย่างไรก็ดีในส่วนของตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่ลดลงไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวถึงมาตรฐาน หรือ เป้าหมายที่เรากำลังจะกำหนด ก็คือ ภายในปี 2570 จะต้องมีจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกิน 12 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 คน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานที่มีความเข้มข้นจริง ๆ เนื่องจากสหประชาชาติ หรือ “ยูเอ็น” เคยกำหนดเป้าหมายในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจะต้องไม่เกิน 12 คนต่อประชากร 100,000 คน ภายในปี 2573 แต่สำหรับประเทศไทย เรากำหนดว่าจะไม่ให้เกินสัดส่วนดังกล่าวภายในไม่เกินปี 2570
ย้ำ สทนช. – หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับมือภัยแล้ง
นายอนุชา กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีกำชับ และเน้นย้ำสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรน้ำ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) การประปาส่วนภูมิภาค กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ติดตามประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่องใกล้ชิด แม้ปัจจุบันยังไม่พบพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ทั้งนี้ เพื่อเตรียมการทุกด้านให้พร้อมรองรับทันกับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะปริมาณน้ำต้นทุนที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชน การทำเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ต้องมีการกักเก็บน้ำและบริหารจัดการน้ำต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพและเพียงต่อความต้องการในแต่ละกิจกรรม รวมถึงการเตรียมการวางแผนบริหารจัดการน้ำต้นทุนในช่วงฤดูฝน และสำรองไว้ใช้ในช่วงแล้งหน้า เนื่องจากไทยมีแนวโน้มเข้าสู่สภาวะเอลนีโญเดือนกรกฎาคมนี้
สำหรับสถานการณ์แหล่งน้ำทั่วประเทศในปัจจุบันนั้น นายอนุชากล่าวว่า จากข้อมูลของ กอนช. ระบุว่า มีปริมาณน้ำ 50,022 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็น 61% ในจำนวนนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การ 25,865 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 45% โดย กอนช. ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ณ วันที่ 1 พ.ค. 2566 จะมีปริมาณน้ำ 41,660 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 59% ซึ่งมากกว่าเมื่อปี 2565 อยู่ประมาณ 1,000 ล้าน ลบ.ม. อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงต้นฤดูฝนปีนี้ จะมีอ่างฯ ขนาดใหญ่เสี่ยงปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่า 30% จำนวน 11 แห่ง อาทิ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นต้น ซึ่ง กอนช. จะติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์และปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
ขณะที่สถานการณ์การปลูกพืชฤดูแล้งพบว่าปัจจุบันยังไม่มีการเพาะปลูกเกินแผน และขณะนี้มีบางพื้นที่ดำเนินการเก็บเกี่ยวแล้ว โดยกรมส่งเสริมการเกษตรและกรมชลประทานได้ขอความร่วมมือไปยังแต่ละจังหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์ไม่ให้มีการทำนาปรังรอบที่ 2 ซึ่งจากการติดตามประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ปัจจุบันยังไม่มีพื้นที่ขาดแคลนน้ำ
อย่างไรก็ตาม กอนช. ได้มีการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น เบื้องต้นได้ประสานกับการประปาส่วนภูมิภาค สาขาเกาะสมุยและสาขาเกาะพะงัน ซึ่งรายงานว่า ยังคงมีการจ่ายน้ำในระดับปกติ สำหรับในพื้นที่พรุควนเคร็ง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมักประสบปัญหาภัยแล้งและไฟป่านั้น ปัจจุบันกรมชลประทานได้เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำและเครื่องจักรเครื่องมือต่าง ๆ สนับสนุนในพื้นที่เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นแล้ว
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ ได้ให้ความสำคัญกับทรัพยากรน้ำของประเทศอย่างมาก โดยมีแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ และเน้นย้ำ สทนช. และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการเตรียมแผนรองรับทุกด้านทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว นำไปสู่การปฏิบัติจนเกิดผลเป็นรูปธรรม ตลอดจนการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานให้การขับเคลื่อนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง โดยเฉพาะการให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ ทั้งด้านอุปโภค บริโภค ด้านคุณภาพน้ำ และการเกษตร เพื่อวิเคราะห์หามาตรการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที”
เตรียมแผนบริหารน้ำ รับมือ “เอลนีโญ” ช่วง กค.นี้
ล่าสุดข้อมูลจากการประชุมคณะทำงานด้านประเมินสถานการณ์ กอนช. ครั้งที่ 1/2566 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 ที่ผ่านมาระบุว่า ปัจจุบันการบริหารจัดการน้ำในช่วงต้นฤดูฝนเป็นไปได้ตามแผน แต่เนื่องจากประเทศไทยมีแนวโน้มจะเข้าสู่สภาวะเอลนีโญในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 (เอลนีโญจะเกิดขึ้นในห้วงระยะเวลา 2 ปี) จึงต้องเตรียมการสำหรับการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปีหน้า รวมถึงประเมินสถานการณ์และวางแผนการดำเนินการอย่างรัดกุมรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต” นายอนุชา กล่าว
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการเตรียมการป้องกันในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ อาจจะมีผลกระทบด้านสภาพดินฟ้าอากาศ และอาจจะมีปัญหาภัยแล้งเกิดขึ้นได้ ซึ่งก็มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศปริมาณฝนที่ตก ปริมาณน้ำจากแหล่งกับเก็บน้ำต่าง ๆ
มติ ครม. มีดังนี้
เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมที่ประชุม รมว.คลังอาเซียน
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 9 พร้อมอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรอง โดยสาระสำคัญของ ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการสรุปผลการประชุมในด้านต่าง ๆ เช่น ความคืบหน้าทางด้านเศรษฐกิจ และความท้าทายเชิงนโยบาย ความร่วมมือทางสาธารณสุข และการคลัง ความมั่นคงทางอาหาร การบูรณาการและการเปิดเสรีทางการเงิน การอำนวยความสะดวกทางการค้าการลงทุน ความเชื่อมโยงด้านการเงิน บริการ และการชำระเงิน และการบริการด้านการเงินอย่างยั่งยืน
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ อยู่บนหลักการพื้นฐานของการเป็นประชาคมอาเซียน คือ การส่งเสริมความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือระหว่างกันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภูมิภาคอาเซียน และการรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) แสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ในการร่วมกันขับเคลื่อน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ยินดีต่อความสำเร็จและความคืบหน้าในการดำเนินงาน ของคณะทำงานรายสาขาภายใต้กรอบการประชุม AFMM และกรอบการประชุม AFMGM ในด้านต่าง ๆ เช่น
-
(1) ด้านการรวมตัวและการเปิดเสรีทางการเงิน เช่น การลงนามร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน ฉบับที่ 9 ปัจจุบันสมาชิกอาเซียนลงนามในพิธีสารดังกล่าวแล้ว 8 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว ฟิลิปปินส์ เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม และไทย สรุปผลการเจรจาปรับปรุงภาคผนวกบริการด้านการเงินภายใต้ความตกลง เขตการค้าเสรีอาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์- การเริ่มการเจรจาด้านบริการทางการเงินภายใต้เขตเสรีการค้าอาเซียน – แคนาดา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบการจัดทำพันธกรณีในการเปิดเสรีการค้า บริการด้านการเงินว่าจะเป็นรูปแบบของบทการค้าบริการด้านการเงิน
-
(2) ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน มีความคืบหน้าของคณะทำงานด้านภาษีอากรของอาเซียนในการสร้างเครือข่ายอนุสัญญาภาษีซ้อนแบบทวิภาคี ความคืบหน้าของศุลกากรอาเซียนในการดำเนินโครงการ และข้อริเริ่มตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านศุลกากร ปี 2564-2568 และความคืบหน้าของระบบการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ
-
(3) ด้านความเชื่อมโยงด้านบริการทางการเงินและการชำระเงิน ซึ่งมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการชำระเงินผ่านรหัสคิวอาร์ (QR Code) ข้ามพรมแดนทวิภาคี (การชำระเงินระหว่างประเทศด้วย QR Code เป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวในการซื้อสินค้าและบริการระหว่างประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องแลกเงิน และพกพาเงินสดจำนวนมาก เพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการชำระเงินของนักท่องเที่ยว ที่ไม่สามารถเข้าถึงการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในการรับชำระเงิน จากลูกค้าชาวต่างชาติ ช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียมการชำระเงินเมื่อเทียบกับ การรับชำระเงินด้วยบัตรให้ร้านค้าไทย) และการลงนามในบันทึกความเข้าใจต่อการเชื่อมโยงระบบการชำระเงิน ระดับภูมิภาคของประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน 5 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย
-
(4) ด้านการระดมทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน มีสนับสนุนกองทุนการเงินสีเขียวของอาเซียน (ACGF) แบบถาวร ซึ่งเป็นกองทุนที่สนับสนุนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริม และพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อให้โครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่ายขึ้น เพื่อสนองต่อวิกฤตการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 3 ปี มีการระดมทุนกว่า 1.9 พันล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ภายใต้ ACGF ทั้งสิ้น 8 โครงการ วงเงินกู้รวม 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ
2. รับรอง (1) มาตรฐานและเกณฑ์การจัดหใวดหมู่ด้านการเงินที่ยั่งยืนของอาเซียน เวอร์ชัน 2 และ (2) สนับสนุนให้มีการจัดการประชุม AFMGM ปีละ 2 ครั้ง เป็นประจำทุกปี
3. รับทราบในประเด็นต่าง ๆ เช่น (1) ความคืบหน้าของการประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัท จดทะเบียนในภูมิภาคอาเซียนและการเสริมสร้างการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในอาเซียน 6 ประเทศสมาชิกอาเซียน (5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย + บรูไน) (2) ความคืบหน้าของแผนปฏิบัติการบริหารความเสี่ยงและการประกันภัย เพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติของอาเซียน ระยะที่ 2 และความสำเร็จในการจัดทำรายงานข้อมูลความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและข้อมูลความสูญเสียทางเศรษฐกิจรายประเทศ ของ 7 ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย ลาว เมียนมา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา ไทย (3) ความสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัลและสนับสนุนข้อริเริ่มในการส่งเสริม ความครอบคลุมและการจัดประเภทสินทรัพย์ของอาเซียน (ASEAN Asset Class) สำหรับโครงการจัดการลงทุนต่างประเทศในอาเซียน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติมว่า ร่างแถลงการณ์ ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุม AFMGM ครั้งที่ 9 จึงไม่เป็นสนธิสัญญา ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตาม ม. 178 ของรัฐธรรมนูญ และการให้ความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามนัย ม.169 (1) ของรัฐธรรมนูญ หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว จะเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาทราบ เพื่อแจ้งความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 9 ต่อไป
นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบความคืบหน้าในการที่ประเทศไทยเสนอตัวรับเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่จะจัดให้มีขึ้นในปี 2569 ซึ่งเรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมีการแถลงข่าวให้ทราบอีกครั้งในวันที่ 19 เมษายน 2566
ดูแลคนกรุงใช้ “บัตรทอง รับยาต้านโควิดฯฟรี ผ่าน 4 แอป
ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากเทศกาลสงกรานต์ พบว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมระบบการรักษาพยาบาลไว้รองรับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นยา เวชภัณฑ์ รวมถึงเตียงรองรับไว้อย่างเพียงพอ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกับ 4 ผู้ให้บริการด้านสุขภาพดิจิทัล ดูแลผู้ป่วยโควิด – 19 สิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือ สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผ่านบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) พร้อมบริการจัดส่งยาถึงบ้าน เฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไว้ให้บริการผู้ป่วย ดังนี้
เมื่อตรวจ ATK ขึ้น 2 ขีด พบติดเชื้อโควิด-19 ให้ดำเนินการดังนี้
1. สามารถเลือกลงทะเบียน เพื่อพบแพทย์ผ่านออนไลน์ ซักถามและจ่ายยาตามอาการ (หากเข้าเกณฑ์ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์หรือยาโมลนูพิราเวียร์ตามดุลยพินิจของแพทย์) พร้อมจัดส่งถึงบ้าน ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือเลือกบริการทางแอปพลิเคชันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
-
1.1 แอป Totale Telemed (โททอลเล่ เทเลเมด) โดย บริษัท โททอลเล่เทเลเมด https://lin.ee/a1lHjXZn รับผู้ป่วยโควิด-19 ทุกประเภท เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ กลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี, ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตวายเรื้อรัง, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคอ้วน, โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน และหญิงตั้งครรภ์) สอบถามเพิ่มเติม Line ID : @totale หรือสายด่วน 0620462944, 0618019577
1.2 แอปพลิเคชัน MorDee (หมอดี) ให้บริการโดย บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด https://form.typeform.com/to/cNKqNz3p รับผู้ป่วยโควิด-19 เฉพาะกลุ่มสีเขียว (ไม่รับกลุ่ม 608)
สอบถามเพิ่มเติม Line ID : @mordeeapp
1.3 แอปพลิเคชัน Clicknic (คลิกนิก) ให้บริการโดย บริษัท คลิกนิก เฮลท์ จำกัด https://forms.gle/hfo2Wr9jdvybn8d57 รับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว (ไม่รับกลุ่ม 608) สอบถามเพิ่มเติม Line ID : @clicknic
1.4 แอปพลิเคชัน Saluber MD (ซาลูเบอร์ เอ็ม ดี) โดยสุขสบายคลินิกเวชกรรม) ลงทะเบียนที่ www.telemed.salubermdthai.com รับผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว (ไม่รับกลุ่ม 608) สอบถามเพิ่มเติม Add Line : @SOOKSABAICLINIC หรือ โทรติดต่อ สุขสบายคลินิกเวชกรรม 02-065-3344 หรือ 095-575-5901
2. รอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อยืนยันตัวตนเข้ารับบริการ คัดกรอง ประเมินอาการเบื้องต้น และปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ให้คำแนะนำการดูแลตัวเอง
3. จัดส่งยาตามความจำเป็นให้กับผู้ป่วย โดยบางรายอาจได้รับยาฟาวิพิราเวียร์หรือยาโมลนูพิราเวียร์ขึ้นอยู่กับอาการและดุลยพินิจของแพทย์
4. เมื่อรับการดูแลครบ 48 ชั่วโมงแล้ว เจ้าหน้าที่จะพูดคุยกับผู้ป่วยอีกครั้งเพื่อสอบถามอาการ และแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองให้ครบ 7+3 วันตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข เมื่อผู้ป่วยดีขึ้นแล้วก็จะออกจากระบบการดูแลได้ หากในระหว่างนี้ผู้ติดเชื้อมีอาการเพิ่มมากขึ้นก็จะส่งข้อมูลต่อให้กับ สปสช. เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป สำหรับ กรณีคนพิการ รับดูแลคนพิการที่สามารถใช้การสื่อสารทางออนไลน์ได้ และไม่มีอัตราเสี่ยงต่อตัวผู้ป่วยเอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
“จากรายงานผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลระยะนี้ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง เนื่องจากได้รับวัคซีนหรือเคยติดเชื้อมาแล้ว ทำให้ยังมีภูมิคุ้มกันป้องกันอาการหนัก ขอย้ำให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” ดร.รัชดา กล่าว
แจก “ผ้าอ้อม” ให้ผู้ป่วยติดเตียง 3 ชิ้น/วัน
นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้มติเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 อนุมัติให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ล่าสุด สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้แจงข่าวดีว่า ตั้งแต่วันนี้ (18 เม.ย. 2566) ได้เริ่มแจกผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้กับประชาชนที่มีสิทธิทั่วประเทศ ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง/ติดบ้าน/ติดเตียง (ค่า ADL น้อยกว่าหรือเท่ากับ 6) ผู้ที่มีภาวะกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ ครอบคลุมผู้ป่วยรายเก่า/ใหม่ ทุกกลุ่มอายุ
อย่างไรก็ตาม สิทธิดังกล่าวนี้ ครอบคลุมเฉพาะผู้อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) ส่วนของสิทธิประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ รอการประกาศอีกครั้ง
นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับการแจกจ่ายผ้าอ้อมผู้ใหญ่แก่ผู้มีสิทธิในกรุงเทพฯ และต่างจะหวัดจะแตกต่างกัน โดยส่วนของกรุงเทพฯ ซึ่งจะใช้จ่ายงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพกรุงเทพมหานคร จะมีขั้นตอนดำเนินการดังนี้ 1) ประชาชนแจ้งคามประสงค์ขอรับผ้าอ้อมผู้ใหญ่ (โดยใช้ที่อยู่ปัจจุบัน) ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข คลินิกชุมชนอบอุ่น สำนักงานเขต โรงพยาบาลในระบบ สปสช. หรือหน่วยบริการ สำนักงานเขต หรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) สำรวจกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ 2)ประเมินกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้ที่กำหนด โดยพยาบาล/ผู้จัดการดูแล LTC/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ 3)หน่วยบริการ, สำนักงานเขต, กรุงเทพมหานคร จัดทำโครงการเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนหรือคณะอนุกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพเขต พิจารณาอนุมัติและสนับสนุนงบประมาณตามโครงการ
ส่วนในพื้นที่ต่างจังหวัดที่จะใช้งบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) จะมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้ 1.ประชาชนแจ้งความประสงค์ขอรับผ้าอ้อมผู้ใหญ่ (โดยใช้ที่อยู่ปัจจุบัน) แจ้งความประสงค์ได้ที่ รพ.สต. อบต./เทศบาล หรือ รพ.สต./อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่ 2)ประเมินกลุ่มเป้าหมายตามข้อบ่งชี้ที่กำหนด โดยพยาบาล/ผู้จัดการดูแล LTC/เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และ 3)รพ.สต. จัดทำโครงการเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น/พื้นที่ พิจารณาอนุมัติและสนับสนุนงบประมาณตามโครงการ
“ภายหลังโครงการอนุมัติ หน่วยงานที่เสนอโครงการจะดำเนินการจัดหาและส่งมอบผ้าอ้อมให้กับผู้ป่วยตามโครงการจำนวนไม่เกิน 3 ชิ้น/วัน จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงสิทธิประโยชน์และช่องทางการขอรับการสนับสนุนตามสิทธิ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 เพื่อรับคำแนะนำ หรือเจ้าหน้าที่จะช่วย ติดต่อประสานงานไปยังหน่วยงานในพื้นที่ของท่านต่อไป” นางสาวไตรศุลี กล่าว
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 18 เมษายน 2566 เพิ่มเติม