ThaiPublica > คอลัมน์ > “ฟันซี่เดียว” ให้ข้อคิด

“ฟันซี่เดียว” ให้ข้อคิด

23 กุมภาพันธ์ 2023


วรากรณ์ สามโกเศศ

“ลูมุมบา” (Lumumba) อดีตประธานาธิบดีประเทศคองโก ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Patrice_Lumumba#/media/File:Patrice_Lumumba_in_1958.jpg

คนที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไปคงเคยได้ยินชื่อ “ลูมุมบา” (Lumumba) อดีตประธานาธิบดีประเทศคองโกที่สิ้นชีวิตไปในปี 1961 เมื่ออายุ 35 ปี หลังจากได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 3 เดือน เป็นเวลานานที่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเขาว่าถูกฆ่าอย่างไร ศพอยู่ที่ไหน จน 50 ปีผ่านไปความโง่เขลาที่ไม่มีขีดจำกัด ทำให้ชาวคองโกได้รับรู้ความจริงและสอนให้โลกรู้เกี่ยวกับการต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมและศาสตร์ความเป็นผู้นำอย่างน่าสนใจ

ประเทศคองโกที่เรียกกันง่าย ๆ นั้นมีชื่อจริงว่า Democratic Republic of the Congo (DRC) ตั้งอยู่กลางทวีปแอฟริกา แต่ดั้งเดิมก็อยู่กันมาแบบชนเผ่าจนตกเป็นอาณานิคมของเบลเยียมใน ค.ศ. 1879 โดยเป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้าแผ่นดินเบลเยียม (King Leopold II) ระหว่าง ค.ศ. 1885-1908 ในปี 1908 จึงเป็นอาณานิคมของประเทศเบลเยียมอย่างเต็มรูปจนกระทั่งปี 1960 จึงได้รับเอกราช

DRC มีพื้นที่ประมาณ 2.4 ล้านตารางกิโลเมตร (5 เท่าของไทย) ปัจจุบันมีประชากร 108 ล้านคน อุดมด้วยป่าไม้และทรัพยากรเหมืองแร่ ประเทศนี้เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของแร่โคบอลต์ในโลก ผลิตทองแดงมากที่สุดในแอฟริกา มีแร่ยูเรเนียม ลิเธียม ทองคำ และทองแดงคุณภาพสูงที่ยังมิได้นำมาใช้ประโยชน์อยู่เป็นปริมาณมหาศาลท่ามกลางความยากจนอย่างยิ่งของประชากรในปัจจุบันที่มีรายได้ต่อหัวต่อปีเพียง 660 เหรียญสหรัฐ (น้อยกว่าไทยกว่า 10 เท่า)

Patrice Lumumba เป็นชาวคองโกที่ได้รับการศึกษาดีจากโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ เป็นคนเฉลียวฉลาด เป็นคนกล้าพูดอย่างมีวาทะศิลป์ หลังจากทำงานไปรษณีย์อยู่ 11 ปี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของขบวนการปลดแอกประเทศ จากการเป็นอาณานิคมของเบลเยียมที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายของการดูดทรัพยากรกลับประเทศ การฆ่าคนพื้นเมืองอย่างทารุณโหดร้ายและใช้เป็นทาสแรงงานอย่างกดขี่

DRC มีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อได้รับเอกราช และลูมุมบาได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงท้าย ปี 1960 ในวัยเพียง 35 ปี ท่ามกลางกระแสการบังคับเลิกเป็นอาณานิคมหลังสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ทันทีที่เขาได้รับเลือกตั้ง มหาอำนาจก็ยุแหย่ให้ประชาชนบางส่วนของประเทศแยกตัวเป็นอิสระเพราะไม่ต้องการให้ประเทศนี้ที่มีทรัพยากรมหาศาลมีเสถียรภาพ ซึ่งอาจตกเป็นพวกของคอมมูนิสต์หรืออาจนำไปสู่การปลดเจ้าอาณานิคมในแอฟริกาซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักมากยิ่งขึ้น และส่วนหนึ่งก็คือต้องการ “จัดการ” ลูมุมบา ผู้นำหนุ่มไฟแรงซึ่งเป็นขวัญใจของประชาชนให้อยู่หมัด ไม่ไปก่อ “ความวุ่นวาย” ในเรื่องต่าง ๆ และยอมให้ “นายเก่า” ยังมีอิทธิพลอยู่

นี่คือพื้นฐานว่าเหตุใดลูมุมบาจึงถูกฆ่าแต่หัววัน อย่างไรก็ดีนักประวัติศาสตร์บอกว่าความกร้าวและความห้าวของเขาในเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์มีส่วนอย่างสำคัญที่เปรียบเสมือนว่าเขาลงนามในในใบมรณบัตรของตนเองในวันพิธีประกาศเอกราชของ DRC ในปลายเดือนมิถุนายน 1960 ในวันนั้นกษัตริย์โบดวง (Baudouin) ซี่งสืบทอดราชสมบัติจากพระราชบิดา (King Leopold II) ได้ตรัสข้อความว่าการได้รับเอกราชเป็นผลจากอัจฉริยภาพของพระราชบิดา และทรงยืนยันว่าตลอดเวลา 80 ปี เบลเยียมได้ส่งคน ชั้นเลิศมาปกครองประเทศนี้ ทรงเตือนว่าอย่าเอาโครงสร้างอื่นมาทดแทนสิ่งที่เบลเยียมได้ทำไว้ให้จนกว่าจะแน่ใจว่ามันทำได้ดีกว่า และต่อไปนี้เป็นความรับผิดชอบของท่านทั้งหลายที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราคิดถูกที่ได้มอบความไว้วางใจให้ท่านได้ปกครองประเทศ

การเอ่ยชื่อของพระราชบิดาและคำพูดลักษณะ “ลูบหัว” ทำให้ลูมุมบาเหลืออด เพราะ King Leopold II ได้ทิ้งความปวดร้าวอย่างหนักให้แก่ชาวคองโก ไม่ว่าในการใช้แรงงานทาสปลูกยาง การทารุณกรรมต่าง ๆ เช่น ตัดหัว ตัวมือ การหาประโยชน์ต่าง ๆ จากประเทศ ฯลฯ เขาจึงลุกขึ้นพูดแบบมิได้เตรียมตัวและไม่อยู่ในกำหนดการ

เขาบอกว่าคนคองโกจะไม่มีวันลืมว่าเอกราชนี้ได้มาด้วยการต่อสู้เสียน้ำตาและเลือดเนื้ออย่างยาวนาน เราภูมิใจในการต่อสู้เพราะมันเป็นความเป็นธรรมและมีความสูงส่งที่เราทำให้สภาพเบี้ยล่างที่เราตกอยู่อย่างอัปยศอดสูได้จบลง แผล 80 ปีแห่งการเป็นอาณานิคมยังสดและเจ็บปวดอยู่อย่างเกินกว่าที่จะลืมได้

เมื่อเขากล่าวจบลงชาวคองโกปรบมือให้แก่คำพูดที่ถูกใจนี้เป็นเวลานาน แต่โลกตะวันตกตะลึงในคำพูดที่กล้าหาญและกล้าขัดแย้งกับเจ้าอาณานิคมเก่า

รูปปั้น Lumumba สร้างขึ้นในเดือนมกราคม 2002 ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Patrice_Lumumba#/media/File

เขาเป็นวีรบุรุษของคนคองโกแต่ก็ได้มาด้วยการแลกกับชีวิตของเขาเอง สามเดือนหลังจากนั้นเขาถูกปลดโดยประธานาธิบดีด้วยแรงสนับสนุนจากเบลเยียมและสหรัฐอเมริกา ถูกคุมขังและถูกทรมานอยู่ในบ้านประมาณหนึ่งเดือนอย่างไม่มีกระบวนยุติธรรม และถูกนำไปยิงเป้าพร้อมผู้ติดตามอีก 2 คน ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของเบลเยียมในตอนต้นปี 1961

หลังจากข่าวการเสียชีวิต มีการประท้วงโดยภรรยาและนักปฏิวัติในหลายประเทศ แต่ก็ไม่เป็นผล เรื่องก็จบลงโดยไม่รู้อะไรมากกว่านั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จนผู้บังคับการตำรวจของเบลเยียมชื่อ Gerard Soete ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเชิงนวนิยายแต่คนอ่านก็รู้ว่าเป็นเขา เรื่องก็มีว่านายตำรวจกับน้องชายเป็นผู้รับผิดชอบการฆ่าลูมุมบา เมื่อฆ่าทั้ง 3 ศพแล้วก็ตัดเป็นชิ้นใส่ถังและละลายด้วยกรด ซัลฟูริก แต่ก่อนใส่ถังเขาใช้คีมถอนฟันของลูมุมบาออกมา 2 ซี่ไว้เป็นที่ระลึก

นักสังคมวิทยาชาวเบลเยี่ยมชื่อ Ludo De Witte สืบค้นคว้าเรื่องการตายนี้และเขียนออกมาเป็นหนังสือในปี 1999 จนฮือฮากัน และมีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาการตาย ในสารคดีทางโทรทัศน์ในปี 2000 Soete ยอมรับว่าเขาถอนฟันออกมาจริงแต่โยนทิ้งทะเลไปแล้ว เขาตายในปีนั้นและเรื่องก็ควรจบ แต่ด้วยความโง่เขลาของลูกสาวเขา เธอนำกรามหนึ่งซี่ที่ครอบทองของลูมุมบามาแสดงให้นิตยสารเล่มหนึ่งในปี 2015 ดู จนถูกแจ้งจับ และเป็นเรื่องราวขึ้นมาจนทางการเบลเยียมยอมคืนฟันซี่นี้ให้แก่ครอบครัวลูมุมบา โดยทำเป็นพิธีใหญ่โตอย่างสมเกียรติในปี 2022

ฟันซี่นี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของความรันทด และความชั่วร้ายของระบบอิทธิพลของมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง (มีการพบสำเนาโทรเลข ของCIA ที่บอกว่าต้อง “จัดการ” ลูมุมบาและสำเนาโทรเลขจากลูมุมบาถึง UN และสหภาพโซเวียตให้เข้ามาแทรกแซงความไม่สงบในคองโก) การคืนฟันคือการมอบความเป็นธรรมให้แก่ชาวคองโกโดยเฉพาะแก่ครอบครัวของเขา

ตั้งแต่ 1961 จนถึงปัจจุบัน DRC อยู่ในสภาพลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด ถูกปกครองโดยเผด็จการและประชาธิปไตยจอมปลอมที่ล้วนแต่ดื่มด่ำในความหวานหอมที่เลวร้ายของคอร์รัปชันสลับกันไปมา แถมด้วยสงครามที่ยาวนาน ไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าถ้าลูมุมบาไม่ได้ถูกฆ่าในปี 1961 และกลายเป็นผู้นำคนสำคัญของ DRC ในเวลาต่อมา แล้วคุณภาพชีวิตของชาวคองโกจะดีขึ้นหรือไม่ แต่ก็พออนุมานได้ว่ามันคงไม่เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแน่

ศาสตร์และศิลป์ของความเป็นผู้นำโยงใยกับบุคลิกภาพของผู้นำเสมอ การพูดที่ห้าวและกร้าวถึงแม้จริงใจจนทำให้เป็นวีรบุรุษกับเส้นบาง ๆ มองไม่เห็น ที่ข้ามไม่ได้นั้น เป็นข้อคิดที่สำคัญในทุกสังคม

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 21 ก.พ. 2566