ThaiPublica > คอลัมน์ > นักเศรษฐศาสตร์ที่ ‘เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์’

นักเศรษฐศาสตร์ที่ ‘เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์’

15 กรกฎาคม 2019


วรากรณ์ สามโกเศศ

Alan Krueger ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons

การว่างงานเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวด สร้างความรู้สึกสิ้นหวังและไร้ค่ามากกว่าความรู้สึกที่เป็นลบอื่นๆ อย่างมาก ในยามที่เทคโนโลยี ‘ป่วนโลก’ อยู่ในปัจจุบันและจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนการว่างงานเกิดขึ้นดาษดื่นนั้น ความรู้อย่างถ่องแท้ในเรื่องการว่างงานจะมีส่วนอย่างสำคัญในการช่วยบำบัดความเจ็บปวดโดยนายจ้างและภาครัฐ และสร้างพลังใจขึ้นใหม่ได้อย่างชะงัด อย่างไรก็ดี ในการศึกษาเรื่องนี้ มีผู้ศึกษาคนสำคัญของโลกคนหนึ่งที่เข้าใจกันว่า ‘อิน’ กับเรื่องความเจ็บปวดนี้มากจนถึงขั้นปลิดชีวิตตนเองอย่างน่าเสียดาย

นักเศรษฐศาสตร์ได้ชื่อว่าเป็นผู้สนใจเรื่องแรงงานมากกว่านักวิชาการในศาสตร์อื่นๆ จนถึงกับมีสาขาที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์แรงงาน (labor economics) มายาวนาน

Alan Krueger ปลิดชีพตนเองในวัย 58 ปีเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือดีของโลก เขียนสารพัดเรื่องโดยใช้เศรษฐศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษาและสร้างความรู้ความเข้าใจ สาขาที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคือ labor economics จนเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนวหน้าคนหนึ่งของโลกในเรื่องนี้

Krueger เขียนบทความวิเคราะห์เรื่องราคาตั๋วคอนเสิร์ต Rock n’ Roll ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับสาเหตุของการก่อการร้ายเศรษฐศาสตร์ของอุตสาหกรรมดนตรี (หนังสือกำลังจะวางตลาด) ผลกระทบของค่าจ้างขั้นต่ำ ฯลฯ

“Great Gatsby Curve” เป็นชื่อที่เขาใช้เรียกปรากฏการณ์ที่ประเทศซึ่งมีความเหลื่อมล้ำมาก จะทำให้มีความคล่องตัวในการไต่เต้าฐานะทางเศรษฐกิจ (economic mobility) ผ่านชั่วคนยากยิ่งขึ้น กล่าวคือการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในกลุ่มคนหนึ่งในชั่วคนหนึ่ง จะทำให้ลูกหลานของกลุ่มอื่นที่ยากจนในชั่วคนต่อๆ ไปยากที่จะเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจของตนขึ้นมาได้ (Great Gatsby เป็นชื่อนิยายดังของ F. Scott Fitzgerald ซึ่งเน้นเรื่องความเหลื่อมล้ำและการแบ่งชนชั้นของคนอเมริกันในทศวรรษ 1920)

พูดอีกอย่างหนึ่งคือ “เส้น Great Gatsby” ชี้ให้เห็นว่าการเกิดในครอบครัวที่ยากจนมีความเป็นไปได้น้อยที่จะสามารถยกฐานะทางเศรษฐกิจของตนเองในอนาคต ยิ่งประเทศมีความเหลื่อมล้ำมากเท่าใดก็ยิ่งยากเพียงนั้น

ข้อสรุปเช่นนี้อาจคาดเดาได้โดยใช้เหตุผลและทฤษฎี แต่หลายสิ่งก็ไม่เป็นจริงดังเรื่องของค่าจ้างขั้นต่ำที่เชื่อกันมานานว่าการเพิ่มขึ้นจะทำให้มีการจ้างงานน้อยลงในหมู่คนงานที่มีค่าจ้างต่ำ Alan Krueger ใช้หลักฐานจริงผสมกับเศรษฐศาสตร์พิสูจน์ว่าในเศรษฐกิจอเมริกันในทศวรรษ 1980 นั้นไม่เป็นความจริง กล่าวคือไม่เกิดผลกระทบต่อการจ้างงานแต่อย่างใด ข้อสรุปนี้มีผลอย่างสำคัญต่อการกำหนดนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา

Krueger เป็นนักเศรษฐศาสตร์แรงงานหัวสมัยใหม่ที่ดังที่สุดคนหนึ่งในรอบ 30 ปี ที่ใช้ข้อมูลซึ่งจัดเก็บอย่างเป็นระบบมาวิเคราะห์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อหาคำตอบโดยไม่ใช้เหตุผลตามทฤษฎีแต่เพียงอย่างเดียวในการสรุปดังที่มักทำกันในอดีต การใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ทำให้เขามีชื่อเสียงในด้านเศรษฐศาสตร์แรงงาน การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ

เขาได้รับการชักชวนจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามาให้ไปทำงานในกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ คือ 2009-2010 Krueger มีผลงานโดดเด่นในการใช้ข้อมูลวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจนประธานาธิบดีโอบามาเลือกเขามาเป็น Chairman of the Council of Economic Advisers (หัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดี) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก โดยดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ. 2011-2013

เมื่อพ้นจากตำแหน่ง เขากลับไปสอนหนังสือที่ Princeton มหาวิทยาลัยที่เขาสอนมากว่า 30 ปีจนเสียชีวิต Krueger เริ่มมีชื่อเสียงจากการใช้ข้อมูลที่เขาเก็บเองจากการสำรวจในยุคที่วิธีการนี้ยังไม่เป็นที่นิยม และมีส่วนในการช่วยเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐศาสตร์หันมาใช้การทดลองในห้อง “แล็บธรรมชาติ” (การสำรวจข้อมูลชีวิตและพฤติกรรมของผู้คน) เพื่อศึกษาผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐ สิ่งที่เขาสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องความยากจนและความเหลื่อมล้ำในสังคม ตลอดจนผลกระทบจากนโยบายและวิธีการเยียวยา

อุดมการณ์ในชีวิตของการใช้วิชาการเพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีขึ้นทำให้เขาต้องการเข้าใจความทุกข์ทรมานของมนุษย์และการใช้นโยบายสาธารณะช่วยเหลือ Krueger ได้ชื่อว่าเป็นผู้เสนอนโยบายเศรษฐกิจอย่างเข้าถึงหัวใจมนุษย์โดยเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ มิใช่เป็นเพียงตัวเลข

สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มักพิจารณาก็คือตัวเลขการว่างงาน (หรือการจ้างงานที่เป็นตัวเลขกลับกันคนละด้าน) ซึ่งถึงแม้จะรู้ว่าเป็นตัวเลขที่สำคัญมากเพราะมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและครอบครัว ตลอดจนกำลังซื้อและฐานภาษี แต่ก็มักหยุดเพียงแค่นั้น มิได้ลงลึกไปกว่านั้นว่าคนว่างงานมีความรู้สึกที่แท้จริงอย่างไรและมีผลกระทบต่อเรื่องต่างๆ มากน้อยเพียงใด

ตรรกะของ Krueger ในเรื่องการว่างงานก็คือถ้าไม่เข้าใจความรู้สึกลึกๆ ของคนว่างงานแล้วการเยียวยาที่ถูกต้องโดยภาครัฐก็ไม่มีประสิทธิภาพ เขาพบว่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดของคนว่างงานก็คือการดิ้นรนหางาน ถ้าไม่เข้าใจประเด็นนี้อย่างลึกซึ้งแล้ว นโยบายช่วยบำบัดความเจ็บปวดและช่วยให้กลับมายืนบนขาตัวเองก็จะผิดพลาด

ก่อนหน้าเขาเสียชีวิตไม่กี่ปี Krueger ศึกษาแรงงานอเมริกันและพบความเชื่อมโยงระหว่างสองเรื่องที่ดูเผินๆ เหมือนอยู่ห่างกันนั่นก็คืออัตราการอยู่ในแรงงานกับอัตราการเพิ่มขึ้นของการติดยาระงับความปวดชนิดมีฐานจากฝิ่น (opioid painkillers) ซึ่งการค้นพบนี้สร้างความตกใจให้แก่ผู้กำหนดนโยบายอย่างนึกไม่ถึง

เขาพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของชายในวัยแรงงานที่อยู่ในการทำงานนอกระบบใช้ยาระงับความปวดในแต่ละวัน แรงงานชายเหล่านี้บอกว่าเขาขาดสภาพที่ดีทางจิตใจตลอดมา และรู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีความหมายน้อย

การใช้ยาแก้ปวดประเภทนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐอเมริกา opioids เป็นประเภทของยาชนิดแรงเพื่อระงับความปวดที่มีฐานจากฝิ่น (opium) เช่น oxycodone/hydrocodone/fentanyl และ tramadol ยาเหล่านี้ใช้ระงับความปวดที่เรื้อรังและจากโรคมะเร็ง หากใช้ในปริมาณน้อยและเป็นระยะเวลาสั้นก็เป็นผลดีและไม่เป็นอันตราย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเสี่ยงในการพึ่งพิงหรือติดยาเอาเลยโดยใช้ต่อไปเรื่อยๆ จนอาจถึงจุดที่บริโภคเกินขนาดจนถึงแก่ชีวิต

ในปี 2016 มีใบสั่งยาประเภทนี้อยู่ 66.5% ในจำนวน 100 คน หนึ่งในห้าคนใช้ยาประเภทนี้สำหรับความปวดที่มิได้เกิดจากมะเร็ง ในปี 2016 มีคนตายเพราะใช้ยาเกินขนาด 64,000 คน สองในสามของจำนวนนี้มาจากการใช้ยาประเภทนี้

แรงงานที่ Krueger กล่าวถึงเป็นส่วนหนึ่งของสถิติเหล่านี้ในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอนถ้าไม่มีนโยบายที่เหมาะสมจากภาครัฐภายใต้การผลักดันของ Krueger นักเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ “economics as if people matter” (เศรษฐศาสตร์ที่ราวกับว่าคนมีความสำคัญ)

ชีวิตของ Krueger สอนให้นักเศรษฐศาสตร์ศึกษาอย่างลงลึกกับข้อมูลปฐมภูมิเพื่อค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ในเรื่องที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ โดยต้องเข้าใจความรู้สึกของเขาอย่างแท้จริง มิใช่เห็นเป็นเพียงสิ่งของหรือตัวเลข

หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันที่อังคาร 9 ก.ค. 2562